บทที่ 314 ประท่านเซิ่งของพวกเราต้องการพบคุณ
เมื่อรับสายจากหลินโม่เยน เสิ่นอีเวยเดินออกจากห้องโถงนิทรรศการ
“ฮัลโหล มีเรื่องอะไรหรอ?”
เพราะทั้งสองค่อนข้างสนิทกัน ดังนั้นตอนพูดคุยจึงสามารถตัดคำทักทายที่ไม่จำเป็นทิ้งไปได้
น้ำเสียงของหลินโม่เยนจากปลายสายมีความเบิกบาน:“เธออยู่ทางนั้นตอนนี้เป็นไงบ้าง?”
เสิ่นอีเวยนั่งลงบนม้านั่งข้างถนน ตอบว่า:“ทางนี้ก็เรื่อยๆ ช่วงนี้ยังไม่เกิดเรื่องอะไรที่จัดการไม่ได้ แล้วทางนั้นล่ะ?ตอนนี้ไม่มีฉันที่คอยนินทากับเธอทุกวัน ขอเดาว่าคงจะไม่ชินมากๆใช่ไหม?”
เสิ่นอีเวยหยอกล้อหลินโม่เยน
เป็นไปตามคาด คำตอบของหลินโม่เยนไม่ทำให้เธอผิดหวัง:“ก็มีบ้าง เธอไม่อยู่แล้ว ฉันทางนี้ไม่มีเพื่อนเลย ตอนนี้เธอทำงานยุ่งมาก ในหนึ่งเดือนฉันติดต่อกับเธอได้แค่ไม่กี่ครั้ง กลับไปแล้วก็ลืมฉันเลยนะ บังเอิญว่าฉันต้องการแนะนำผู้ชายให้เธอสักหน่อย!”
โทรศัพท์ในมือของเสิ่นอีเวยแทบร่วงลงพื้น เธอถามด้วยดวงตาเบิกกว้าง:“เมื่อสักครู่เธอพูดว่ายังไงนะ?อยากจะแนะนำผู้ชายให้ฉันหรอ?”
หลินโม่เยนพูดต่อไปอย่างมีความสุขจากตรงนั้น :“ใช่แล้ว ฉันต้องการแนะนำผู้ชายคนหนึ่ง เขาคือเพื่อนของฉัน แก่กว่าพวกเราหน่อย ยังไม่เคยผ่านการแต่งงาน ใครได้เจอต่างก็พูดว่าเขาค่อนข้างเชื่อถือได้ แต่ก่อนฉันไม่ใช่ลากเธอไปเที่ยวผับบ่อยๆใช่ไหมละ?ทุกครั้งเขาก็อยู่ที่นั้น แต่คาดว่าเธอคงไม่ได้สนใจ แต่เขาสนใจเธอค่อนข้างมากเลยนะ ตอนนั้นเขาถามเกี่ยวกับเธอ ก็ถูกฉันปฏิเสธไป ตอนนี้เธอกลับมาเป็นโสดอีกครั้งไม่ใช่เรื่องง่าย ทำไมไม่ลองให้โอกาสเขาดูสักครั้งล่ะ?”
ได้ฟังเสียงที่ฮึกเหิมเป็นอย่างมากของหลินโม่เยนจากปลายสาย เสิ่นอีเวยกลับไม่สนใจเลยสักนิดเดียว เธอถือโทรศัพท์ด้วยมือขวา และใช้มือซ้ายล้วงหาของในกระเป๋าสะพายข้าง กลับเจอรูปใบเล็กขนาดกว้างไม่กี่นิ้ว เป็นรูปถ่ายจากสตูดิโอถ่ายตอนวันเกิดอายุครบสี่ขวบของเหมียนเหมียนน้อย
ภาพสีใบนี้ เด็กน้อยในภาพน่ารักมากๆ แก้มสองข้างกลมเหมือนไข่ ในมือยังกอดตุ๊กตาตัวโปรดเอาไว้ ที่จริงแล้วรูปใบนี้ใหญ่มาก แต่เสิ่นอีเวยเพื่อจะเก็บไว้กับตัว ดังนั้นจึงตั้งใจสั่งให้พนักงานของสตูดิโอทำเป็นภาพขนาดเล็กให้ตนเอง
หลังจากกลับมาในประเทศยังไม่มีเวลาเปลี่ยนกระเป๋าใส่เงินใบเก่า ดังนั้นรูปของเหมียนเหมียนน้อยใบนี้จึงถูกเก็บไว้ในกระเป๋าใบนี้ก่อนชั่วคราว
ในระหว่างที่เสิ่นอีเวยกำลังคิดว่าจะตอบหลินโม่เยนอย่างไร เธอก็ตั้งอกตั้งใจจ้องมองรูปของเหมียนเหมียนน้อย ที่จริงในช่วงเวลาที่ผ่านมา ตั้งแต่รู้ตัวว่าตั้งท้องเหมียนเหมียนน้อย จนถึงวันนี้ เธอตัวคนเดียวแน่นอนว่าลำบากมาก
บางค่ำคืนในช่วงเวลาที่เงียบสงัด เสิ่นอีเวยก็เคยถามตนเองว่าแท้จริงแล้วเธอลืมเซิ่งเจ๋อเฉิงได้หรือยัง?
ถ้าคำตอบคือใช่ งั้นอย่างน้อยเธอควรเริ่มให้ใครบางคนค่อยๆเข้ามาในหัวใจได้หรือยัง?เธอรู้ดีว่า ชีวิตยังอีกยาวไกล ตนเองตอนนี้เป็นผู้ใหญ่แล้ว ดังนั้นเธอไม่ควรที่จะยึดติดกับอดีตและใช้ชีวิตที่เหลืออย่างมีความสุข
แต่เหมียนเหมียนน้อยไม่เหมือนกัน เธอยังเป็นเด็ก ตนเองไม่สามารถเห็นแก่ตัวทำให้ทั้งชีวิตของเธอไม่ได้รับความรักและการดูแลจากพ่อ
และบทบาทของ“พ่อ”ก็ไม่จำเป็นจะต้องเป็นพ่อแท้ๆอย่างเซิ่งเจ๋อเฉิงก็ได้ ขอเพียงแค่เป็นคนที่มีคุณสมบัติที่จะมาเป็นพ่อของเหมียนเหมียนน้อยได้ก็พอใช่ไหม?
หลินโม่เยนที่อยู่ปลายสายเห็นเสิ่นอีเวยเงียบไปนาน เข้าใจผิดคิดว่าตนเองพูดสิ่งที่ไม่ควรพูด จึงรีบพูดขึ้นมาว่า:“ ช่างมันเถอะ ลืมมันซะ ถ้าเธอไม่ต้องการก็อย่าไปใส่ใจเลย ฉันก็แค่เห็นเธอเลี้ยงเหมียนเหมียนน้อยมาคนเดียวหลายปี คงลำบากน่าดู ดังนั้นจึงอยากแนะนำใครให้สักคนที่สามารถดูแลเธอและเหมียนเหมียนน้อย……”
ที่จริงหลินโม่เยนยังมีประโยคที่ต้องการพูดต่อ แต่ยังไม่ทันพูดจบก็โดนเสิ่นอีเวยพูดแทรก:“ไม่มีปัญหา เธอแนะนำเพื่อนของเธอให้ฉันได้เลย!”
หลินโม่เยน:“……”
หลินโม่เยนที่อยู่ปลายสายตะลึงไปห้าวินาที ก่อนหน้านั้นที่ประเทศอังกฤษ เธอไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้กับเสิ่นอีเวย เพราะในตอนนั้นถึงแม้เธอจะเป็นเพื่อนสนิท ก็ไม่รู้แน่ชัดว่าเสิ่นอีเวยแท้จริงแล้วคิดแบบไหน
ถึงอย่างไรเธอก็ไม่แน่ใจ จนถึงทุกวันนี้ เสิ่นอีเวยยังซ่อนผู้ชายคนนั้นไว้ในใจหรือไม่
“อีเวย”หลินโม่เยนอยู่ดีๆก็พูดขึ้นมา:“เมื่อสักครู่เธอพูดจริงหรอ? ก่อนหน้านี้ฉันไม่เคยพูด เพราะไม่แน่ใจว่าแท้จริงแล้วเธอคิดอย่างไร แต่ฉันคิดไปคิดมา เธอกลับไปได้สามเดือนแล้ว แต่ไม่พูดเกี่ยวกับเรื่องของเซิ่งเจ๋อเฉิงต่อหน้าฉันเลย บางที เธอคงลืมได้แล้วจริงๆใช่ไหม?”
เสิ่นอีเวยเงียบไปครู่หนึ่ง เธอเข้าใจเพื่อนคนนี้ของเธอ ปกติตอนที่ไปมาหาสู่กับเธอ ถึงแม้หลินโม่เยนจะเป็นคนที่สบายๆ บางครั้งพูดจาไม่ทันได้คิด แต่ในตอนนี้เมื่อเธอถามอย่างจริงจัง นั้นแปลว่าเธอกำลังเป็นห่วงสถานการณ์ของตนเองจริงๆ
เสิ่นอีเวยรวบรวมสติ ตอบกลับไปว่า:“ใช่แล้ว ฉันพูดความจริง ฉันลืมเซิ่งเจ๋อเฉิงได้แล้ว และเป็นเพราะแบบนี้ ดังนั้นตอนนี้จึงไม่โกรธที่เธอจะแนะนำเพื่อนของเธอให้ฉันไง เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่เธอเคยพูด……อย่างน้อยฉันต้องปรึกษาเหมียนเหมียนน้อยสักหน่อย”
เสิ่นอีเวยเสียงเบาลง น้ำเสียงของหลินโม่เยนจากปลายสายเบิกบานมากกว่าเดิม:“เสิ่นอีเวยในที่สุดเธอก็คิดได้สักที เรื่องนี้วางใจฉันได้ รับรองไม่ทำให้เธอผิดหวัง!”
ทั้งสองคุยเรื่องเรื่อยเปื่อยต่อสักพักจึงวางสาย เสิ่นอีเวยรู้สึกมีความสุขมากหลังจากได้คุยกับเพื่อนสนิท เธอแกว่งกระเป๋าสะพายเดินไปที่จอดรถใต้ดินของนิทรรศการ ฮัมเพลงไปตลอดทาง
เมื่อเลี้ยวเข้าทางแยก คนจำนวนหนึ่งในชุดสูทสีดำก็ปรากฏตัวต่อหน้าเธอ มองดูแล้วเหมือนเป็นบอดี้การ์ด
เสิ่นอีเวยรู้สึกหวาดกลัวอยู่ในใจ เธอก้าวถอยหลังอย่างรวดเร็วโดยไม่รู้ตัว ถึงแม้มีลางสังหรณ์ว่าเป้าหมายของคนเหล่านี้คือตนเอง แต่ในใจของเสิ่นอีเวย
เธอพยายามบังคับให้ตนเองไม่สบตากับคนในชุดสูทสีดำ คิดจะหันหลังเดินกลับไปในทิศทางตรงข้าม แต่ยังไม่ทันได้หันหลัง แขนของผู้ชายคนหนึ่งก็ปรากฏสู่สายตาของเสิ่นอีเวย ขวางเธอไม่ให้ไป
“พวกคุณจะทำอะไร?” เสิ่นอีเวยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
หนึ่งในคนชุดสูทสีดำที่มองดูมีความน่าเคารพอยู่บ้าง พยักหน้าให้เสิ่นอีเวยและพูดว่า:“ คุณเสิ่น ประธานเซิ่งต้องการพบคุณ”
ห๊ะ?ถึงแม้นามสกุลนี้นานมากแล้วที่เสิ่นอีเวยไม่ได้ยินผ่านหู แต่เสิ่นอีเวยรู้ทันทีว่าเป็นใคร
การป้องกันตัวทางจิตวิทยาของเธอทำงานทันที เธอมองคนที่ขวางตนเองไว้ด้วยความเย็นชา:“ประธานเซิ่งของพวกคุณอยากพบฉัน เขาคิดว่าเขาเป็นใคร อยากพบฉัน ฉันก็ต้องให้เขาพบหรอ?”
อาจเป็นเพราะประโยคนี้ คนจำนวนหนึ่งในชุดสูทสีดำที่อยู่ตรงข้ามหน้าเริ่มขมวดคิ้วจนหน้าผากย่นเป็นเส้น