บทที่ 375 “โอ้….บังเอิญเหลือเกิน”
ชัดเจนว่าคนในสถานการณ์นั้นรู้สึกอดทนไม่ไหวแล้ว “รีบ ๆ สิ ในเมื่อเช่นแล้วก็ต้องเล่นให้ถึงที่สุด”
นอกจากจะมีคนยุยงแล้ว ก็ยังมีผู้ชายคนหนึ่งที่ได้ปลุกเร้าผู้ชายที่อยู่หน้าเสิ่นอีเวยว่า “จินลู่ เธอกลัวขนาดนี้ หรือว่าคุณจะกลัวไปด้วยล่ะ ?”
แท้จริงแล้วคนนี้ก็คือ จินลู่ เสิ่นอีเวยหันกลับไปมอง แล้วก็มองอย่างเยือกเย็น แล้วก็ไม่มีความอ่อนน้อมแต่อย่างใด
ชัดเจนว่าจินลู่ถูกคำพูดนั้นกระตุ้นออกมา แล้วมองไปยังเสิ่นอีเวย แล้วก็มีความมีจุดมุ่งหมายอะไรสักอย่าง ซึ่งทำให้เสิ่นอีเวยมีความตื่นเต้นขึ้นมา ชายคนนี้ คงไม่บ้าคลั่งขนาดนั้นหรอกมั้ง ?
ตอนที่เสิ่นอีเวยกำลังตัดสินและวิเคราะห์ชายคนนี้อยู่นั้น ก็ทำให้หน้าของเสิ่นอีเวยมีใบหน้าผู้ชายเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้น
เพราะว่าเดิมทีห่างกันก็ใกล้มากแล้ว ดังนั้นเสิ่นอีเวยก็ไม่ได้ทันระวังตัว เลยทำให้เธอนั้นรู้สึกตกใจแล้วก็ถอยไปข้างหลัง แต่ว่าท่ายืนของเธอนั้นมันไม่เป็นประโยชน์ต่อเธอ ทำให้ทั้งร่างกายของเธอนั้นถูกจินลู่ปิดไว้หมด
ถึงแม้ความเร็วของจินลู่จะไว แต่เสิ่นอีเวยได้หลบทัน ดังนั้นก็ยังไม่ได้จูบปากของเธอ แต่ความรู้สึกของเสิ่นอีเวยก็ได้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
จินลู่ได้ใช้ปากของตัวเองนั้นเลียไปรอบ ๆใบหน้าของเธอ ใจของเสิ่นอีเวยรู้สึกเต้นอย่างรุนแรง สมองก็มึนไปหมด ในใจก็เริ่มโกรธขึ้นมา ซึ่งอยากจะตบหน้าเขาสักหนึ่งที
แต่ไม่คาดคิดว่าพอกำลังจะยกมือขึ้นก็ถูกจับไว้แล้ว เสิ่นอีเวยก็ติดอยู่ตรงที่โซฟานั้น จนกระทั่งรู้สึกตัวว่าขยับไม่ได้เลย
เสิ่นอีเวยเจ็บจนจะต้องกัดฟัน จนลืมความคิดที่จะตบคนนั้นไปหมดแล้ว ตอนที่เธอกำลังจะหันหน้าไปดูว่าใครเป็นคนที่แขนเธอนั้น ทันใดนั้นก็ได้เห็นขาของคน ๆหนึ่ง ได้เหยียบอยู่บนหน้าอกของจินลู่
ทั้งห้องก็เต็มไปด้วยเสียงซุบซิบมากมาย
ถึงแม้ยังไม่ได้หันหน้าไป แต่ตอนนี้เรื่องที่เกิดขึ้น เสิ่นอีเวยในใจก็รู้แล้วว่าเป็นใคร ซึ่งในใจตอนนี้ว้าวุ่นไปหมด ไม่รู้ว่าจะต้องทำท่าทางยังไง
เสิ่นอีเวยหันไป ก็ได้เห็นสายตาที่มีความเย็นยะเยือกเช่นนั้น ผู้ชายคนนั้นดูไปแล้วมีท่าทางสง่า แต่ตอนนี้กลับมีความน่ากลัวมาก
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ในตอนนี้ตอนที่เห็นเซิ่งเจ๋อเฉิงที่มีสีหน้าที่น่ากลัวนั้น เสิ่นอีเวยก็รู้สึกตื่นไปทั้งตัวแล้ว
เซิ่งเจ๋อเฉิงใส่ชุดสูทสีเทา ซึ่งบวกกับใบหน้าเช่นนั้นเลยทำให้มีความน่ากลัวมากยิ่งขึ้น ผู้ชายคนนี้หรี่ตาเล็กลง ทำให้รู้สึกมีความน่ากลัวมากยิ่งขึ้น ไม่อาจจะห้ามอะไรได้เลย
จากผู้ชายคนนี้ไปสี่ปีเต็ม เสิ่นอีเวยก็ได้เรียนรู้ว่าอะไรคือการเก็บอารมณ์ไว้อยู่ข้างใน ซึ่งในสถานการณ์เช่นนี้ทำให้เธอนั้นสามารถเก็บอารมณ์ได้เป็นอย่างดี
ประโยคนั้นมาอย่างไร ? ถึงแม้ในใจจะตื่นตระหนกกลัวแค่นั้น แต่ต่อหน้ากับคนที่เกลียดที่สุด หน้าก็จะต้องสงบเหมือนปกติ
ก็เหมือนกับฉันคนนี้ไม่กลัวเธอเลยแม้แต่นิดเดียว
เสิ่นอีเวยมองไปยังเซิ่งเจ๋อเฉิง ใบหน้าก็ไม่ได้มีการแสดงท่าทีอะไ เพียงแต่จัดการสีหน้าเผ้าผมตัวเองแค่นั้นเอง ปากก็พูดออกมาว่า “โอ้…..บังเอิญเหลือเกินนะ”
เซิ่งเจ๋อเฉิง ก็มองเสิ่นอีเวยอยู่เช่นนั้นซึ่งมองอย่างกับที่ว่าไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง เซิ่งเจ๋อเฉิงเหมือนทำการแผ่รัศมีของตัวเอง ดูไปแล้วเหมือนกับไม่มีแรงอะไร แต่เสิ่นอีเวยที่รู้ ว่าตอนที่เขานั้นจับมือของเธอ ความจริงแล้วไม่ลดลงเลย
ในห้องนั้นทุกคนก็หยุดการกระทำทั้งหมด ไม่มีใครกล้าพูดอะไร จินลู่ที่ถูกเท้าเหยียบอยู่นั้น สายตาทุกคนนั้นก็มองไปยังผู้ชายที่บุกเข้ามาที่อยู่หลังเสิ่นอีเวย
เท้าที่เหยียบไปนั้นไม่มีความเบาเลยแม้แต่นิดเดียว ดังนั้นเสิ่นอีเวยก็อยากจะย้อนกลับไปตอนที่จินลู่นั้นถูกเหยียบ ดูว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น
เมื่อสักครู่นี้ทำให้จินลู่นั้นเหมือนกับพบกับความขมขื่นที่รันทดที่สุด เขานั้นได้จับหน้าอกของเขาเช่นนั้น ซึ่งเจ็บอยากโอดโรย ทำให้ไม่สามารถที่จะพูดออกมาได้เลย
เท้าที่เซิ่งเจ๋อเฉิงนั้นเหยียบนั้นเหมือนจะเกินไปสักหน่อย โทษของจินลู่ความจริงแล้วไม่น่าจะเกินไปกว่านี้ เสิ่นอีเวยในใจก็มีความทุกข์ในอยู่บ้างเล็กน้อย
เธอนั้นอยากจะไปดูว่าจินลู่เจ็บขนาดไหน แต่ว่ามือที่จับแขนเธออยู่นั้นเหมือนจะไม่ปล่อยเธอไป เลยทำให้เธอนั้นพูดกับเซิ่งเจ๋อเฉิงว่า “ปล่อยเดี๋ยวนี้”
ผู้ชายไม่ได้พูดอะไร แต่สายตานั้นเหมือนกำลังจะตักเตือน แต่เสิ่นอีเวยก็ไม่ได้ไปสนใจอะไรมากมาย เพราะว่าเธอนั้นรู้สึกเกลียดผู้ชายคนนี้เป็นที่สุด ตอนที่กำลังจะปล่อยมือออกไป ก็มีผู้ชายออกมาอีกหนึ่งคน
เม่อสักครู่นี้สติเธอมองแต่เซิ่อเจ๋อเฉิงคนเดียว เลยทำให้ตอนนี้เสิ่นอีเวยรู้สึกตัวว่าข้างหลังก็ยังมีอีกคนหนึ่งคือ หลินอวี้
หลินอวี้เดินไปมาข้างหน้าเสิ่นอีเวย แล้วก็พูดอย่างมีมารยาทว่า “คุณนายเซิ่ง อาการบาดเจ็บของผู้ชายคนนี้ เราได้ให้คนไปจัดการเรียบร้อยแล้ว ขอให้ท่านสบายใจได้”
เสิ่นอีเวยก็ยังไม่ได้ทันพูดออกมา แล้วหลินอวี้ก็ได้ใช้ภาษามือ ให้ชายชุดดำนั้นนำตัวออกไป
“พวกคุณจะเอาเขาออกไป ?” เสิ่นอีเวยถาม
แน่นอนว่าเธอนั้นไม่ค่อยจะชอบห้องที่มีวัยรุ่นในค่ำคืนนี้สักเท่าไหร่ โดยเฉพาะจินลู่ที่ถูกคำยุยงของคนอื่นหน่อยก็จะมาบังคับเธอ แต่ในเวลาเดียวกัน เธอก็ไม่ได้ชอบใจกับการกระทำของเซิ่งเจ๋อเฉิงเท่าไหร่นัก ดังนั้นเลยถามประโยคนั้นไป
แต่เสิ่นอีเวยคิดไม่ถึงก็คือการกระทำของเธอนั้นกลับทำให้เซิ่งเจ๋อเฉิงโมโหเป็นที่สุด
เสียงของผู้ชายนั้นมีความกดต่ำลง ไอแห่งความร้อนนั้นก็ได้มาพูดตรงหูเธอ “เป็นห่วงเขาขนาดนี้ จะให้ผมนั้นเอาชื่อโรงพยาบาลและก็เลขห้องคนไข้ให้คุณดีไหม ? จะได้ไปหาสะดวก”
เซิ่งเจ๋อเฉิงที่ให้คำพูดเสียดสีนั้น ทำให้เสิ่นอีเวยไม่ได้พูดอะไร แต่ตอนนี้ต้องยอมรับว่า เธอนั้นมีความกลัวผู้ชายคนนี้ที่ทำให้คนนั้นรู้สึกมีความกดดัน
เสิ่นอีเวยในใจก็ได้แต่เก็บอารมณ์โมโหอยู่ในใจ แล้วก็พูดออกมาโดยที่ไม่คิดก็คือ “ไม่ขอรบกวนคุณชายเซิ่งหรอกค่ะ ชื่อโรงพยาบาลและเลขห้องคนไข้ ฉันสามารถไปสืบหาได้ค่ะ”
สีหน้าของผู้ชายนั้นก็ยิ่งเพิ่มความเยือกเย็นเข้าไปอีก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร แล้วก็เงยหน้าไปมองคนรอบ ๆ ทั้งหมดในห้องนั้นแล้วพูดว่า
“อะไรกัน ยังไม่ออกจากที่นี่อีกหรือ ? ”