บทที่ 397 เจียงเฉิงหวินกำลังตามจีบเธออยู่ไม่ใช่หรอ
เซิ่งเจ๋อเฉิงตะโกนเสียงดั่งลั่นจนเสิ่นอีเวยตกใจต้องหันหลังกลับมาปรามใส่เขา: “คุณเบาเสียงหน่อยได้ไหม! เหมียนเหมียนนอนหลับไปแล้วเดี๋ยวลูกตื่นขึ้นมาจะทำยังไง?”
เซิ่งเจ๋อเฉิงเห็นเสิ่นอีเวยมีการอาการร้อนอกร้อนใจ สีหน้าที่แสดงออกมายิ่งน่าแกล้ง: “ทำไม กลัวว่าเหมือนเหมียนจะตื่นเพราะฉันเสียงหรอ? งั้นฉันแนะนำเธอว่าอย่าให้ฉันไปนอนในห้องรับแขกเลยไม่งั้นการที่จะปลุกเจ้าตัวเล็กนั่นมันง่ายแค่พลิกฝ่ามือ หากฉันจำไม่ผิด ห้องนอนรับแขกมันใกล้ห้องลูกแค่นิดเดียวใช่ไหม?”
เสิ่นอีเวยถูกเซิ่งเจ๋อเฉิงป้อนข้อมูลเป็นชุด ในความจริงเซิ่งเจ๋อเฉิงก็พูดถูกอยู่นะ ถ้าคืนนี้เธอให้ผู้ชายคนนี้ไปนอนห้องนอนรับแขก เดี๋ยวเกิดอาการไม่พอใจขึ้นมาแล้วคิดแผนอื่นขึ้นมาตลบหลังเธออีก งั้นได้ ถูกทำให้เสียหน้านิดๆหน่อยก็ต้องทำ!
ถ้าเขาเกิดทำเรื่องมิดีมิร้ายขึ้นมา เธอก็จะทำเหมือนเมื่อครู่ที่ถีบเขาตกเตียง ให้หน้าเขาขมำไถลถูพื้นไป!
เสิ่นอีเวยตัดสินใจได้แล้ว: “ได้ งั้นคุณนอนที่นี่ แต่ฉันมีข้อเงื่อนไข”
“เธอพูดมาเลย” ท่านประธานที่ถูกละเว้นโทษ อารมณ์ดูดีทีเดียว
เสิ่นอีเวยเท้าเอวถามเขา : “งั้นคืนนี้คุณก็นอนที่นี่แต่ห้ามคุณทำอะไรฉันมากกว่านั้น!”
“ได้” เซิ่งเจ๋อเฉิงตอบรับอย่างดีอกดีใจ
เสิ่นอีเวยขมวดคิ้วแล้วทำหน้าสงสัยถามเซิ่งเจ๋อเฉิง: “ตอบรับออกอาการดีใจขนาดนี้? มันไม่ใช่นิสัยของคุณเลยนะ คงไม่ใช่มีแผนร้ายอะไรใช่ไหม?”
เซิ่งเจ๋อเฉิงยกมือขวาขึ้นมาพลางเอ่ยว่า: “ฉันสาบานเลยว่าจะไม่ทำอะไรเธอ แค่นี้พอไหม?”
เสิ่นอีเวยพยักหน้าอย่างมีพิรุธ
โดยปกติแล้วเสิ่นอีเวยคำนึงถึงความปลอดภัยในบ้านเป็นอันดับแรก นอกจากวางรองเท้าผู้ชายไว้ที่ประตูทางเข้า บริเวณที่ตากผ้าระเบียงชั้นสองยังตั้งใจที่จะแขวนเสื้อเชิ้ตตัวใหญ่ๆของผู้ชายเอาไว้หลายตัว หลังจากที่ทั้งคู่อาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ พอดีเลยเธอเลยเอาเสื้อพวกนั้นมาให้เซิ่งเจ๋อเฉิงใส่เป็นชุดนอนในคืนนี้
เซิ่งเจ๋อเฉิงถือเสื้อเชิ้ตสีขาวไว้ในมือสีหน้าแสดงท่าทีรังเกียจอย่างเห็นได้ชัด
เสิ่นอีเวยถามเขา: “เป็นอะไรหรอ?”
เซิ่งเจ๋อเฉิงถึงกับขมวดคิ้วแถมน้ำเสียงที่เอ่ยมายังถากถางเธออีก: “นี่เป็นชุดผู้ชายที่เธอเป็นคนเลือกมาหรอ?”
เสิ่นอีเวยเป็นถึงนักออกแบบคนหนึ่ง เมื่อก่อนก็ออกแบบชุดแต่งงาน ตอนนี้ออกแบบเครื่องประดับแทน ความสามารถในการแยกแยะความสวยความงามนั้นก็ไม่ได้แย่มาก แล้วทำไมถูกผู้ชายคนนี้ถึงมาดูถูกเธอง่ายๆได้ล่ะ?
เธอกรอกตาใส่เซิ่งเจ๋อเฉิง: “ฉันว่ามันก็สวยดีนะ คุณไม่อยากใส่ก็ไม่ต้องใส่”
“หืม? เธอหมายความว่า ฉันไม่ใส่ก็ได้ใช่ไหม?” เซิ่งเจ๋อเฉิงเห็นเสิ่นอีเวยที่โมโหอยู่เนืองๆเลยอยากจะแกล้งเธอต่อ
เสิ่นอีเวย : “……”
ผู้ชายโรคจิต เธอไม่อยากจะคุยกับเขาอีกแล้ว1
ทั้งสองคนต่างเข้านอน เสิ่นอีเวยตั้งใจที่จะเว้นระยะห่างจากเขา เว้นไว้ขนาดที่ตรงกลางสามารถให้คนอีกคนเข้าไปนอนได้
พวกเขาไม่ได้ปิดไฟโคมไฟบริเวณหัวเตียงทว่ามันกลับมีแสงสีเหลืองอันอบอุ่นแผ่ซ่านสาดส่องทั่วทั้งห้อง
เซิ่งเจ๋อเฉิงเห็นหลังเสิ่นอีเวยเว้นระยะห่างจากเขาไกลมากจนเขาไม่พอใจเอามากเลยพูดน้ำเสียงแข็งๆ: “เขยิบเข้าใกล้ฉันหน่อย”
เสิ่นอีเวยรีบปิดตาไว้แน่นแล้วทำเหมือนหูไม่ได้ยินแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินเสียงที่เขาพูด เธอหวังว่าผู้ชายที่อยู่ข้างหลังจะคิดว่าเธอคงหลับไปแล้วเลยไม่อย่าก่อกวนเธออีก
ทว่าเสิ่นอีเวยไม่คิดเลยว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงเขาจะรู้ทันเธอ: “อย่าแกล้งหลับ ฉันรู้ว่าเธอยังไม่หลับ ฉันพูดครั้งสุดท้ายนะ เขยิบเข้ามาหาฉัน ช่องว่างระหว่างเรามันว่างซะจนเอาอีกคนมานอนได้เลย หรือว่าเธออยากให้ฉันไปอุ้มเหมียนเหมียนมาวางตรงกลางนี่หรือไง?”
หลังจากฟังเซิ่งเจ๋อเฉิงพูดจบ เสิ่นอีเวยถึงกับตกใจแล้วรีบพลิกตัวกลับมาแล้วเขยิบไปนอนใกล้ๆเซิ่งเจ๋อเฉิงอย่างรวดเร็ว
“เขยิบอีกนิด” เขารู้สึกไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่
เพราะเสิ่นอีเวยรู้ดีว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงเป็นคนพูดจริงทำจริง เธอเป็นห่วงว่าเขาจะโกรธขึ้นมาจริงๆแล้วลุกไปอุ้มเหมียนเหมียนเข้ามานอนด้วยแล้วจะเป็นยังไงต่อ?
แม้ว่าสองแม่ลูกกลับประเทศมานานแล้วก็ตาม เหมียนเหมียนกับเซิ่งเจ๋อเฉิงเคยเจอกันแค่ครั้งเดียวเอง อีกทั้งเหมียนเหมียนก็เพิ่งจะรู้ตัวว่าตัวเองมีพ่อชื่อเซิ่งเจ๋อเฉิง
ทว่าเสิ่นอีเวยไม่อยากให้พ่อกับลูกมาทำความรู้จักกันในตอนนี้
เรื่องที่เธอมั่นใจอยู่เรื่องหนึ่งก็คือ เรื่องที่เธอกับเซิ่งเจ๋อเฉิงจะกลับมาจดทะเบียนกันใหม่มันไม่มีทางเป็นไปได้เลย ที่เธอยกธงขาวสงบศึกกับเขาลงได้ก็เพราะเหมียนเหมียนเท่านั้นแหละ
เสิ่นอีเวยคิดมาตั้งแต่แรกแล้วว่าจะไม่ให้เหมียนเหมียนมาเห็นภาพพ่อกับแม่ทะเลาะกันต่อหน้าลูก หากเป็นเช่นนั้นเด็กคงจำฝังใจไปตลอด เธอหวังให้ลูกสาวสุดที่รักของเธอใช้ชีวิตท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่มีแต่ความรักและความอบอุ่น
ทั้งหมดนี่เป็นหลักการอันแน่วแน่ในการสอนลูกสาวเสิ่นอีเวยที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
เสิ่นอีเวยเอาแต่คิดนู่นคิดนี่ไปเรื่อยเปื่อย ในเวลานั้นเองเซิ่งเจ๋อเฉิงก็ยื่นแขนทั้งสองข้างออกมา เสิ่นอีเวยถึงกับตกใจกับท่าทีของเขาเลยพยายามกระเถิบหนีถอยหลัง แต่อย่างที่บอกเซิ่งเจ๋อเฉิงเป็นคนมือยาวเหยียด เสิ่นอีเวยยังไม่ทันกระเถิบพ้นเลยก็โคนเขาคว้าตัวเธอให้เข้ามาอยู่ในอ้อมอกของเขาเรียบร้อย
ปลายจมูกของเสิ่นอีเวยแนบชิดกับหน้าอกแกร่งของเซิ่งเจ๋อเฉิง จนเธอได้กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มอ่อนๆหอมฟุ้งมาจากเสื้อเชิ้ตตัวที่เธอซักแล้ว อีกทั้งน้ำหอมกลิ่นไม้หอมบนเรือนกายของเซิ่งเจ๋อเฉิงทำให้เธอรู้สึกว่าหอมมาก
จนเธอเขยิบเข้าหาเขาใกล้ๆอย่างไม่รู้ตัว….
เสิ่นอีเวยคิดว่าตัวเองเป็นคนทำอะไรว่องไวปานจรวดอยู่แล้ว ยังไงเซิ่งเจ๋อเฉิงก็ไม่ทันเห็นอยู่แล้ว ทว่ากลับมีเสียงทุ้มของผู้ชายดังขึ้นเหนือศีรษะเธอ : “หอมมากไหม?”
เสิ่นอีเวยตัวเกร็งไปชั่วขณะไม่กล้าขยุกขยิก
คำถามของเซิ่งเจ๋อเฉิงหากตอบกลับไปก็จะอายเอาได้ แต่ถ้าไม่ตอบจะอายหนักกว่าเดิมอีก เพราะที่การแสดงออกของเธอมันช่างชัดเจนมาก สุดท้ายเสิ่นอีเวยเลยตกลงตอบคำถามเขา
สมองที่วิ่งปรู๊ดปร๊าดเพื่อครุ่นคิดหาตำตอบ จนท้ายสุดแล้วเธอถึงอ้าปากตอบตามความจริงไป: “อืม หอมมาก…”
เดิมทีเธอคิดว่าตอบไปแล้วเรื่องนี้ก็คงจบแล้ว แต่เซิ่งเจ๋อเฉิงกลับพูดขึ้นมา: “ถ้าเธอรู้สึกว่ามันหอมขนาดนั้น เดี๋ยวฉันถอดเสื้อผ้าให้เธอหอมให้ถนัด”
เสิ่นอีเวย: “……”
“ไม่ๆ ไม่ต้องแล้ว” เสิ่นอีเวยรีบใช้เสียงห้ามปรามเขาไว้
ผู้ชายคนนี้เป็นจอมมารตัวไหนกันนะ? ถึงได้ตีหน้าตายพูดเรื่องพวกลามกจกกระเปรตอย่างไม่อายเลยได้ยังไงกัน?
“เมื่อก่อนเธอไม่ใช่ว่าชอบกลิ่นน้ำหอมที่อยู่บนตัวฉันหรอกหรอ? หลายปีที่ผ่านมา ฉันไม่เคยเปลี่ยนกลิ่นเลยนะ” เขาอธิบายเสียงทุ้มต่ำแถมในน้ำเสียงยังมีการทิ้งความคาดหวัง
ร่างกายเสิ่นอีเวยอยู่แนบชิดบริเวณหน้าอกของเขาเพราะฉะนั้นการที่เขาพูดออกมาทุกคำนั้น เธอฟังแล้วก็เหมือนมันอึดอัด การที่เธอฟังเสียงเขานั้นมันก็เหมือนเสียงที่ออกมาจากอกเขาแบบนั้น มันช่างดึงดูดใจเอาเสียจริง
ประโยคเมื่อครู่ยังทำให้เธอเขินอายอยู่เลย พอประโยคถัดมาของเขากับกลายเป็นทิ้งระเบิดอานุภาพร้ายแรงเอาไว้ซะงั้น
“ได้ข่าวว่าเจียงเฉิงหวินกำลังตามจีบเธออยู่หรอ?”