บทที่ 401 คุณคิดว่าตัวเองเป็นถังเหล้าเหรอ
ตอนที่เซิ่งเจ๋อเฉิงมาถึงผับที่เสิ่นอีเวยอยู่นั้น เวลาก็ล่วงเลยมายี่สิบนาทีแล้ว
การทิ้งงานในมือเพื่อไปทำธุระส่วนตัวนั้นไม่ใช่วิสัยของเซิ่งเจ๋อเฉิงจริงๆ แต่เมื่อจิตใจของเขาแปรเปลี่ยนท่าทีและทัศนคติที่มีต่อเสิ่นอีเวยแล้ว ก็เกิดเรื่องแบบนี้มาสามครั้งแล้ว
แม้แต่เซิ่งเจ๋อเฉิงเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
ตอนที่เดินเข้าประตูมา พนักงานก็จำท่าทีและการสวมใส่เสื้อผ้าดูดีมีราคาของเซิ่งเจ๋อเฉิงได้ เขาจึงรีบมาต้อนรับด้านหน้าด้วยรอยยิ้ม พร้อมถามว่า: ” ไม่ทราบว่าท่านอยู่ห้องไหนครับ เดี๋ยวผมพาไป”
เซิ่งเจ๋อเฉิงสีหน้าเคร่งเครียด ยกมือขึ้นบอกปัด: “ไม่เป็นไร ผมมาหาคน”
ความกระตือรือร้นของพนักงานต้อนรับเหมือนถูกสาดด้วยน้ำเย็น สีหน้าอึ้งชะงักไปเล็กน้อย: “ครับ ครับ”
เซิ่งเจ๋อเฉิงเหลือบไปเห็นเงาของร่างเล็กที่ดื่มจนไม่ได้สติฟุบอยู่บนเคาร์เตอร์บาร์ เขารีบเข้าไปประคองเสิ่นอีเวยขึ้นมา ยื่นมือไปตบที่หน้าหล่อนเบาๆ อีกฝ่ายไม่มีท่าทีว่าจะตื่นขึ้นมา
ปกติเสิ่นอีเวยเป็นคนที่คออ่อนอยู่แล้ว อีกทั้งยังแสดงออกทางสีหน้าอย่างชัดเจน ดังเช่นตอนนี้ใบหน้าหล่อนแดงก่ำ ร้อนผ่าว ภายใต้แสงสีในผับที่สาดส่องลงมา ทำให้หล่อนยิ่งดูมีอ่อร่าน่าค้นหา
เซิ่งเจ๋อเฉิงยื่นมือไปตบหน้าหล่อนเบาๆ หญิงสาวในอ้อมกอดเหมือนจะรู้สึกตัวขึ้นมาบ้าง แต่ก็แค่ดวงตาเปิดๆปิดๆกึ่งหลับกึ่งตื่น ปากก็พึมพำไม่รู้ว่าพูดอะไร
เซิ่งเจ๋อเฉิงเริ่มโกรธ ตะโกนถามไปยังบาร์เทนเดอร์ที่ยืนผสมเครื่องดื่มในเคาร์เตอร์บาร์ว่า:” เธอดื่มหนักขนาดไหนแน่เนี่ย”
บาร์เทนเดอร์เหมือนจะอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย มองไปทางเซิ่งเจ๋อเฉิงแต่กลับถูกทำให้ตกใจด้วยสายตาเยือกเย็นของอีกฝ่าย เขาทำงานเป็นบาร์เทนเดอร์ที่นี่มาก็นานแล้ว และเจอคนใหญ่คนโตมาไม่น้อย
แต่ผู้ชายคนนี้ที่กำลังถามเขาอยู่นั้น หน้าตาหล่อเหลา รอบกายแผ่ซ่านไปด้วยเสน่ห์อย่างหนึ่งที่ดึงดูดความสนใจจากคนรอบข้าง
บาร์เทนเดอร์มีสายตาจริงจัง ตอบว่า:”เอ่อ คุณผู้หญิง น่าจะดื่มไปสักสามสิบกว่าแก้วได้ครับ”
เซิ่งเจ๋อเฉิง “…….”
กระดกไปสามสิบกว่าแก้ว นี่เธอคิดว่าตัวเองเป็นถังเหล้ารึไงห๊ะ เซิ่งเจ๋อเฉิงก้มมองใบหน้าแดงก่ำของเสิ่นอีเวย อยากจะตบสักฉาดหนึ่งให้หล่อนตื่น แล้วจากนั้นก็โยนลงไปในสระแช่น้ำอยู่สัก20-30นาที จนหล่อนได้สติตื่นขึ้นมา
เซิ่งเจ๋อเฉิงถอนใจอยู่ในใจ ถอดเสื้อคลุมสูทตัวนอกของตนออกมา ก้มลงมาเพื่อที่จะอุ้มเสิ่นอีเวย ยามเมื่อก้มลงใกล้ชิดมากขึ้น เขาจึงพบบางสิ่งที่ผิดปกติ
เขายื่นมือไปลูบที่ใบหน้าของเสิ่นอีเวยหนึ่งครั้ง พบว่าครึ่งซีกของใบหน้าที่ห้อยลงไปด้านล่างเต็มไปด้วยคราบน้ำตา ในใจเซิ่งเจ๋อเฉิงดัง”ตึกตัก”
เพราะเป็นเวลาดึกมากแล้ว ลมด้านนอกจึงค่อนข้างเย็น เสิ่นอีเวยสวมชุดที่ค่อนข้างบาง เซิ่งเจ๋อเฉิงจึงใช้เสื้อสูทของตนคลุมร่างหล่อนไว้ เพราะถนนเส้นที่เขาเดินอยู่นี้เมื่อถึงเวลาเลิกงานรถจะค่อนข้างติด ดังนั้นรถของเซิ่งเจ๋อเฉิงจึงต้องจอดไว้ด้านหน้า
เซิ่งเจ๋อเฉิงอุ้มเสิ่นอีเวยเดินไปข้างหน้าทีละก้าวๆ คืนนี้หล่อนดื่มมากเกินไป หรืออาจจะร้องไห้เป็นเวลานานทำให้เครื่องสำอางไหลเลอะเทอะไปหมด บวกกับผมเผ้าที่ยุ่งเหยิง ทำให้ดึงดูดสายตาของคนบนถนนรอบข้าง
หลังจากเซิ่งเจ๋อเฉิงวางเสิ่นอีเวยลงบนเบาะ เขาก็หยิบกระเป๋าสะพายของหล่อนขึ้นมา หยิบโทรศัพท์มือถือออกมา พบว่าเครื่องถูกล็อคเอาไว้
เซิ่งเจ๋อเฉิงพยายามครุ่นคิด แล้วก็คว้านิ้วหัวแม่มือของหล่อนขึ้นมาปลดล็อค แลัวเปิดไปที่บันทึกการโทร โทรออกไปหาหยางอันหราน
หยางอันหรานในเวลานี้นั้น อยู่ถ่ายโฆษณาเป็นเพื่อนเหมียนเหมียน อันที่จริงแล้วจะต้องถ่ายเสร็จเรียบร้อยตั้งแต่ห้าโมงเย็น แต่คิดไม่ถึงว่าอุปกรณ์การถ่ายทำจะเสียจึงทำให้เลื่อนเวลาเลิกกองช้ามาถึงตอนนี้
หยางอันหรานหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเห็นเป็นเบอร์ของเสิ่นอีเวยโทรมาจึงยิ้มแล้วรับสาย:”ฮัลโหล เวยเวย มารับเหมียนเหมียนกลับบ้านได้”
แต่ว่าเสียงจากปลายสายนั้น หาใช่เสียงของเสิ่นอีเวยไม่
น้ำเสียงของเซิ่งเจ๋อเฉิงค่อนข้างทุ้มต่ำ : “เสิ่นอีเวยวันนี้ไม่ได้กลับบ้านนะ รบกวนคุณดูแลเหมียนเหมียนด้วย”
คำพูดสั้นๆได้ใจความ เซิ่งเจ๋อเฉิงคิดว่าตนเองพูดออกไปอย่างชัดเจนแล้ว จากนั้นจึงวางสาย ชั่ววินาทีก่อนที่เขาจะวางสายนั้นยังได้ยินเสียงของหยางอันหรานที่ปลายสาย
“ห๊ะ เดี๋ยวก่อน”
แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
หยางอันหรานหยิบโทรศัพท์ออกจากข้างหู ใบหน้าตกตะลึง นี่มันเรื่องอะไรกัน ผู้ชายคนหนึ่งใช้โทรศัพท์ของเสิ่นอีเวยโทรมาหาหล่อน และฟังจากน้ำเสียงแล้วเป็นผู้ชายที่หน้าตาดีไม่น้อย
วินาทีนั้น ใบหน้าของเซิ่งเจ๋อเฉิงก็ผุดขึ้นในสมองของหล่อน เป็นเขาจริงๆเหรอ
หยางอันหรานหยุดคิดฟุ้งซ่านไม่ได้จึงกดโทรออกไปหาเสิ่นอีเวย แต่ครั้งนี้ไม่มีคนรับสาย
ในใจหยางอันหรานคิดว่า เวยเวยของฉันคืนนี้คงต้องแย่แน่
หลังจากเซิ่งเจ๋อเฉิงวางสายแล้วก็โยนโทรศัพท์ของเสิ่นอีเวยไปอีกทาง หันไปมองคนที่เมาไม่ได้สติ ในใจไม่ได้มีความโกรธ แต่มากกว่านั้น คือปวดใจ
ปกติผู้หญิงคนนี้แข็งแกร่งนักเวลาอยู่ต่อหน้าเขา ทำไมพอเวลาไม่สบายใจถึงได้ดื่มจนกลายเป็นแบบนี้ไปได้
ถ้าไม่ใช่ว่าวันนี้เขาอยากได้ยินเสียงหล่อน จึงคิดโทรมาหาหล่อน ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่มีทางรู้เรื่องที่หล่อนมาเมาหมดสภาพอยู่ที่บาร์นี่
เซิ่งเจ๋อเฉิงเหยียบคันเร่ง ผ่านไป20นาที รถก็มาจอดอยู่ที่หน้าประตูคฤหาสน์ตระกูลเซิ่ง
เซิ่งเจ๋อเฉิงวางเสิ่นอีเวยไว้ที่บนโซฟาก่อน แล้วเข้าไปในห้องครัวจัดการทำซุปแก้แฮงค์ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาทำสิ่งนี้ด้วยตนเอง ว่าแต่เขาต้องเริ่มทำอะไรก่อนล่ะ
ปกติลูกคุณหนูอย่างเขา ซุปแก้แฮงค์แม่บ้านจะเป็นคนทำแล้วยกขึ้นมาให้เขาดื่มตรงหน้า ตอนนี้มาถึงคราวที่เขาต้องลงมือทำเองแล้ว จึงรู้ว่าสิ่งนี้สำหรับเขาแล้วมันยากขนาดไหน
ไม่มีวิธีอื่นแล้ว เซิ่งเจ๋อเฉิงโทรหาหลินอวี้
ฝ่ายหลังรับสายเจ้านายตอนสี่ทุ่ม คิดว่าที่บริษัทมีเรื่องด่วนอะไรเกิดขึ้น
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอครับเจ้านาย”น้ำเสียงร้อนใจถามขึ้นหลังจากรับสาย
ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า เซิ่งเจ๋อเฉิงโทรหาเขาก็เพราะเกิดเรื่องสำคัญหรือมีเรื่องสำคัญให้เขาไปจัดการ แต่ครั้งนี้ หลินอวี้คิดว่าตัวเองคงฟังผิด
“คุณรู้มั้ยว่าซุปแก้แฮงค์ทำยังไง”
เซิ่งเจ๋อเฉิงถามอย่างเรียบเฉย สายตากลับมองไปที่หญิงสาวที่นอนอยู่บนโซฟา
หลินอวี้ที่อยู่ปลายสายอึ้งไปชั่ววินาทีอย่างชัดเจน: “ท่านพูดก็ว่าอะไรนะครับ”
เซิ่งเจ๋อเฉิงพูดซ้ำอีกรอบอย่างใจเย็น: “ซุปแก้แฮงค์”
หลินอวี้แน่ใจแล้วว่าตัวเองได้ยินไม่ผิด: “ผมเข้าใจแล้วครับ ต้องการวิธีทำใช่มั้ยครับหรือจะให้ผมทำแล้วส่งไปให้ครับ”
เซิ่งเจ๋อเฉิงเหลือบมองไปเสิ่นอีเวยที่อยู่บนโซฟา แล้วปฏิเสธทันควันว่า: “ไม่ทันแล้ว บอกวิธีทำมา”