บทที่ 441 มีคนคอยปกป้อง
หลังจากการพูดจาฟาดฟันกันอย่างดุเดือดของผั้งจื่อ เขาเงียบอยู่นานเพื่อจะรอคอยคำตอบของท่านฉินจนผ่านไปสักพักกลับไม่มีคำตอบใดๆตอบกลับมาเลย ผั้งจื่อได้แต่เงยหน้าขึ้น ถึงได้เห็นภาพที่ท่านฉินกับฉีเฟิงกำลังจ้องตากันอยู่ ส่วนใบหน้าของท่านฉินนั้นแสดงออกถึงความลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด
“ฉีเฟิง เรื่องนี้คุณว่ามันควรจะจัดการอย่างไรดี?” ท่านฉินเปิดปากสอบถาม
ฉีเฟิงใช้หางตามองผั้งจื่อแล้วตอบอย่างช้าๆ : “เรื่องจะจัดการอย่างไรก็ตามที่ท่านฉินคิดตามปกติเลย แต่เมื่อครู่ผมพูดชัดเจนแล้วว่า ผู้หญิงคนนี้ผมจะเอาไปด้วย ไม่ว่าใครจะพูดว่าอย่างไรผมก็ไม่ให้ เพราะเรื่องนี้ท่านฉินก็ตกลงกับผมแล้วเมื่อครู่”
สายตาที่สื่อออกมาของฉีเฟิงไม่ได้มีความเกรงกลัวต่อสายตาของท่านฉินแม้สักนิด ส่วนอีกคนที่ถูกสายตาอีกฝ่ายมองกลับมาด้วยกองไฟแห่งความโกรธจนตะลึงพรึงเพริด คำพูดของฉีเฟิงที่เอ่ยมานั้นช่างพูดอย่างสบายอกสบายใจทำตัวเหมือนไม่เดือดไม่ร้อนอย่างกับไม่เกี่ยวข้องกับตัวเองแบบนั้น
ยามเมื่อผั้งจื่อได้ยินที่ฉีเฟิงพูดออกมา ในใจที่รู้ดีอยู่แล้วว่าสถานะเขาอยู่สูงกว่าตัวเองกลับลืมมันไปเสียซะสนิท แถมยังชี้นิ้วอันอ้วนๆนั่นไปทางฉีเฟิงแล้วพูดขึ้นอย่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง: “หานฉีเฟิงแกมันกลั่นแกล้งคนอื่น! ตัวแกเองถูกใจผู้หญิงคนนี้เลยตั้งใจที่จะเอาหล่อนต่อหน้าฉัน แกคิดว่าวิธีจะทำให้ฉันไม่สามารถแตะต้องหล่อนได้หรอ? แกคิดว่าท่านฉินจะเข้าข้างแกใช่ไหม?”
คำพูดของผั้งจื่อที่พูดออกมามีการเหน็บแนมอย่างชัดเจนขนาดท่านฉินก็ฟังออก ท่านฉินไม่ได้นิ่งนอนใจพร้อมที่พูดแทรกอย่างแคร่งขรึมออกมาแทน: “แกหุบปากไปเลย! เรื่องนี้ฉันรับปากกับฉีเฟิงไปแล้ว ผู้หญิงคนนี้ฉันยกให้เขาไปแล้ว เรื่องที่เขาไม่ยินยอมนั้นมันอีกเรื่องหนึ่ง ฉันไม่มีทางไปบีบบังคับเขาได้ แกอย่าพูดมั่วซั่ว!”
คำพูดที่ท่านฉินพูดออกมานั้นทำให้คนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นถึงกับตกตะลึงไปตามๆกัน เพราะโดยปกติท่านฉินเป็นคนที่ไม่ค่อยโมโหใครจริงๆต่อหน้าคนอื่น ด้วยนิสัยของท่านฉินที่ทุกคนเข้าใจเป็นอย่างดี ท่านเป็นคนที่ใช้ความสามารถในการสื่อสารจัดการเรื่องราวต่างๆได้ดี ทว่าไม่มีการแสดงความโกรธออกมาให้เห็น
เรื่องนี้ช่างเป็นเรื่องที่ไม่เหมือนกับวงการมาเฟียรายอื่นๆ พี่ใหญ่ของทีมอื่นมักวู่วามใจกล้าตายเป็นตาย ทว่าท่านฉินไม่ใช่แนวนั้น เพราะฉะนั้นคนในวงการมาเฟียต่างให้สมญานามแก่ท่านฉินว่า เสือยิ้มยาก
เรื่องนี้ ทุกคนที่อยู่กับเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้าต่างมองออกว่าท่านฉินนั้นโกรธขึ้นมาจริงๆ เพราะที่ฉีเฟิงกับผั้งจื่อนั้นทะเลาะกันก็เพราะผู้หญิงที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าคนนี้
ท่านฉินหันกลับมามองเสิ่นอีเวยด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์แล้วย้ายสายตาไปมองฉีเฟิงแทน จนสุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
เสิ่นอีเวยถึงกับสบายใจไปเปลาะหนึ่ง เพราะหล่อนไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าเมื่อครู่หล่อนคิดว่าฉีเฟิงจะไม่รักษาหน้าแล้วยกเธอให้ หล่อนคิดว่าคนอย่างฉีเฟิงไม่ได้เลวร้ายมากนัก หากตัวหล่อนตกอยู่ในมือเขาไม่แน่อาจมีโอกาสที่สามารถรอดพ้น
ช่างไม่เหมือนกับผั้งจื่อนั้นสักนิด เห็นอยู่ว่าผั้งจื่อนั่นเป็นอันธพาลแถมยังถูกหล่อนตีจนหัวแตก หากหล่อนตกอยู่ในมือมันจริงๆ เสิ่นอีเวยแทบไม่อยากจะคิดว่าตัวเองจะมีสภาพเป็นยังไงบ้าง
ผั้งจื่อเห็นว่าท่านฉินเข้าข้างฉีเฟิงอย่างชัดเจนไม่คิดจะเป็นตัวกลางรักษาความยุติธรรมให้ตัวเองเลยเกิดอาการโมโหจนอยากหาเรื่องทะเลาะกับเขา ยามเมื่อผั้งจื่อเตรียมจะเถียงกลับนั้น ท่านฉินกลับจ้องตาเขม็งสายตาเย็นยะเยือกจนผั้งจื่อต้องเงียบปากไปแทน
อีกอย่างหานฉีเฟิงเพิ่งจะทำงานสำเร็จ ท่านฉินจะให้เขาลำบากใจได้ยังไง? หลักการแบบนี้ใครต่างเข้าใจกันทั้งนั้นแหละ ผั้งจื่อทราบดีว่าเรื่องในคืนนี้กล้ำกลืนฝนทนไปก่อน แต่ผู้หญิงคนนี้….. เขาไม่ปล่อยหล่อนไปแน่ๆ
ขนาดท่านฉินยังออกปากแทน เช่นนั้นตัวเองก็ไม่กล้าพูดอะไรต่อจนถึงเวลาที่มีพนักงานยกอาหารและเครื่องดื่มเข้ามาวาง ทุกคนที่อยู่ท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียดในห้องรับรองค่อยๆคลายลงไปเยอะ
ในเวลาต่อมา ยามเมื่อท่านฉินกับเหล่าลูกน้องต่างเริ่มสังสรรค์ดื่มเหล้าสัพเพเหระนั้น เสิ่นอีเวยและกลุ่มเด็กผู้หญิงต่างถูกพาตัวเข้าไปยังทางเดินด้านในที่จัดไว้โดยเฉพาะเพื่อเตรียมตัวอาบน้ำ
เสียงคุยกันดั่งผึ้งแตกรังที่อยู่ในห้องรับรองดังออกมายังทางเดินด้านใน ทุกคนต่างถูกบังคับให้เดินตรงไปยังด้านหน้า สุดทางของทางเดินนั้นเป็นห้องอาบน้ำ ใจเสิ่นอีเวยเหมือนกำลังบีบแน่น เรื่องต่างๆนานาที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร หล่อนมักเกิดความคิดว่าหานฉีเฟิงตั้งใจที่จะปกป้องตัวหล่อนไว้ถึงขนาดไม่ยอมไว้หน้าผั้งจื่อเลยด้วยซ้ำ
ทว่าการที่หล่อนคาดเดาเอาเองนั้นมันถูกต้องหรือมันแค่คิดไปเอง?
เมื่อครู่ที่หล่อนหันตัวเพื่อกลับไปส่งสายตาหาหานฉีเฟิง ช่างบังเอิญที่เขาก็จ้องมองเธออยู่เช่นกัน สายตาของเขาที่จ้องมองมาที่เธอนั้นมันสื่อความหมายราวกับคำว่า: อย่ากลัว
แต่ว่าจะไม่กลัวได้ยังไงกันเล่า? เพราะตอนนี้ที่ตัวเองกำลังอยู่นี่มันคือแหล่งซ่องสุมของเหล่ามาเฟียอันตรายรอบด้าน
หล่อนมั่นใจว่าหานฉีเฟิงที่หล่อนจับความรู้สึกได้ว่าเขาไม่เหมือนกับคนอื่นๆในหมู่มาเฟีย เสิ่นอีเวยมีความรู้สึกว่าหานฉีเฟิงเป็นคนที่กำลังแสดงละครเป็นคนเลวเพื่อให้อยู่ในหมู่คนพวกนี้
ทว่ายังมีสุภาษิตอีกประโยคหนึ่งที่เคยพูดกันมาว่าไงนะ? รู้หน้าไม่รู้ใจ
ถึงแม้ว่าพฤติกรรมของหานฉีเฟิงเมื่อครู่นั้นกำลังปกป้องตัวเธอเองเอาไว้มากๆ แต่หล่อนก็ไม่มั่นใจว่าการที่เขาทำแบบนี้นั้นยังมีจุดประสงค์อื่นๆอยู่หรือป่าว
เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งวางใจง่ายๆ
เสิ่นอีเวยไม่เคยเห็นห้องอาบน้ำที่สภาพย่ำแย่ขนาดนี้มาก่อนเลย ในห้องนั้นมีขนาดกว้างใหญ่เอามาก พื้นห้องน้ำมีคราบตะไคร่น้ำเกาะอยู่บนกระเบื้องที่แตกร้าว ทุเรศลูกกะตาสุดๆ ผนังอันเย็นเฉียบก็มีตะปูหลายตัวติดไว้อย่างแน่นหนา บนตะปูก็มีก๊อกน้ำวางมั่วซั่วพาดไว้แบบขอไปที
เมื่อครู่ตอนที่เดินกันมา เสิ่นอีเวยก็นับแล้วนับอีก ผู้หญิงที่มาพร้อมหล่อนในรถในคืนนี้มีประมาณสิบกว่าคน อีกทั้งคนที่อยู่ในนี้มีประมาณยี่สิบกว่าคน เพราะฉะนั้นในยามนี้ในห้องอาบน้ำยัดคนอยู่ประมาณสามสิบกว่าคน อีกทั้งทุกคนต่างไม่มีอะไรบดบังร่างกายเอาไว้เลย ประสบการณ์แบบนี้มันช่างย่ำแย่เสียจริง
เสิ่นอีเวยกำลังขมวดคิ้วแน่น อยู่ดีๆก็มีเสียงดัง “โครม” ทุกคนต่างตกใจพร้อมทั้งกรีดร้องโวยวายและพยายามหาที่หลบซ่อน
เสิ่นอีเวยหันกลับไปดูก็พบว่ามีผู้ชายคนหนึ่งเป็นคนเปิดประตูแล้วก็โยนขวดครีมอาบน้ำหลายขวดลงบนพื้น เขาด่าทอไม่หยุด: “อีพวกนี้มึงจะกรี๊ดห่าไร? ยังไม่รีบอาบน้ำให้เร็วๆกันอีกหรือไงห๊า!”
เมื่อเขาพูดจบก็ยื่นมือมาปิดประตูดัง “โครม”
ทั้งห้องก็เงียบสนิททันที สักพักก็เสียงเซ็งแซ่ดังขึ้น
ภายใต้สถานการณ์ที่น่าหวาดกลัวและวุ่นวายขนาดนี้ขนาดคนที่ดูเข้มแข็งยังไม่สามารถอดทนอดกลั้นอารมณ์จนร้องไห้ไปตามๆกัน น้ำเสียงของสาวๆต่างสั่นเทาจนน้ำเสียงสั่นพร่าเพราะหัวใจแหลกสลายที่มีแต่ความโศกเศร้า: “ทำยังไงดี…. พวกเราจะกลับบ้านไม่ได้อีกแล้วใช่ไหม…”
เรื่องอนาถแบบนี้หากมีคนใดเอ่ยถึงทำให้ต่างคนก็รับไม่ไหว