ตอนที่ 285 คนที่ไม่มีความน่าเชื่อถืออย่างลั่วเฉียว
“พูดจริงๆนะคะคุณพ่อ หนูก็กังวลใจอยู่เหมือนกัน แต่ยังไง หนูก็ปรึกษากับทนายแล้ว ตอนนี้หนูสามารถเอาตัวเด็กๆมา อยู่ด้วยได้ และหนูคิดว่าโอกาสที่เขาจะชนะความครั้งนี้ได้ก็มี ไม่มาก…
“ถ้างั้นก็คงไม่มีปัญหาอะไร” โม้จึงเฉิงพยักหน้า “ลูกก็ บอกพ่อแล้วกันว่าจะเอาไงหลังจากนี้ เพราะเดี๋ยวพ่อจัดการ เรื่องที่นี่เสร็จ พ่อก็จะกลับมาเลเซียแล้ว เพราะป้าเจียเธอรอ
พ่ออยู่….
พอพูดถึงป้าหรูเจี้ย ฮอนก็ยิ้มออกมา
บางครั้งเธอก็อิจฉาความรักที่พ่อของเธอมีให้ช้าหรูเจี้ย
พอเธอคิดถึงเป้หมิง โม่ เธอก็ขมวดคิ้วขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว…
พอพ่อของเธอกลับไปแล้ว ลั่วเฉียวก็โทรมา : “ฮอน เธอ รีบมาสตูดิโอฉือจึงซานเร็ว! ฉันมีอะไรสนุกๆจะให้ดู!
ฮอนฟังอย่างนั้น ก็รู้สึกคุ้นชินไปกับคนที่ไม่มีความน่า เชื่อถืออย่างลั่วเฉียวไปแล้ว
เธอไม่ต้องการที่จะไปที่นั่น แต่ว่าห้องตรงข้ามก็ยังคง ซ่อมแซมปรับปรุงห้องเสียงดังระงมไปหมด
เธอจึงเลือกขับรถไปหาลั่วเฉียวที่สตูดิโอฉืองซาน ทันทีที่ไปถึง เธอก็เห็นลั่วเฉียวที่กำลังแต่งตัวอยู่ในห้อง
แต่งตัวอยู่
“มีอะไรถึงรีบเร่ง ให้ฉันมาที่นี่เร็วๆ” ฮอนพูดแล้วนั่งลง ข้างๆลั่วเฉียว
“เฮ้ ละครเรื่องนี้เป็นละครเรื่องแรกที่ฉันกลับมาแสดงที่นี่ เลยนะ เรื่องนี้มีชื่อว่า “เฟย” และแน่นอนว่าฉันเล่นเป็น นางเอกที่ชื่อเฟยด้วย… ตื่นเต้น ” ลั่วเฉียวพูดให้กู้ฮอนฟังด้วยความ
แล้วไงต่อ มีเรื่องไรอีก!” ฮอนไม่สนใจเรื่องที่เธอพูดสัก “ เท่าไหร่
“ประเด็นก็คือเธอรู้มะว่าใครที่เล่นเป็นศัตรูของฉัน” ลั่ว เฉียวเอนตัวพลางพูดกัดฟัน : “ซูยิ่งหวั่นไง แล้ววันนี้จะมีฉาก ที่ฉันต้องตบผู้หญิงนั่น เธอรอดูเลยว่าฉันจะแก้แค้นให้เธอยัง ไง!”
กู้ฮอนลูบริมฝีปากตัวเอง : “นี่เธอเรียกให้ฉันมาดูฉากที่ เธอตบซูยิ่งหวั่นเนี่ยนะ
“ก็ใช่ไง เป็นไง ฉันเป็นเพื่อนที่ดีพอปะ
“พอ” กู้ฮอนยอมรับแล้วพูดต่อ : “และก็น่าเบื่อพอกัน
ด้วย..”
อนถูกลั่วเฉียวลากเข้าไปในฉากการถ่ายทำด้วย
ซูยิ่งหวั่นชะงักไปชั่วครู่เมื่อเห็นว่าลั่วเฉียวมาพร้อมกับ ฮอน แต่ก็ไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆออกมา
ฉากนี้เป็นฉากที่ มีเฟย หรือลั่วเฉียวต้องตบซูยิ่งหวั่น ซูยิ่งหวั่นที่ยืนอยู่ตรงหน้าของถั่วเฉียวพูดเบาๆ “พี่ม
เฟย…”
เพียะ!
ทันใดนั้นลั่วเฉียวก็ตบเข้าที่หน้าของซูยิ่งหวั่นโดยไม่มี
สัญญาณใดๆ!
ซูยิ่งหวั่นตกใจ!
เธอจ้องไปที่ลั่วเฉียวด้วยความตกตะลึงพลางกัดริมฝีปาก ของตัวเอง เธอไม่คิดว่าดาวดวงใหม่นี้จะกล้าเล่นกับเธอแบบ
ผู้กำกับเห็นอย่างนั้นก็รีบถามขึ้น : “ลั่วเฉียว ทำไมเธอไม่
เล่นตามคิว”
ลั่วเฉียวแสร้งทำเป็นยิ้มอย่างไร้เดียงสา : “ขอโทษค่ะกํากับ ขอแก้ตัวอีกเทคนิงนะคะ… ต่อด้วยเทคที่สอง… สาม… สิบเอ็ด…
เพียง เพีย: เพียะ !
ตอนนี้หน้าของซูยิ่งหวั่นแตงและบวมไปหมด
“อ๊ะ! ขอโทษค่ะพี่ซู ฉันยังเป็นเด็กใหม่อยู่ เลยทำพลาดไป
หลายครั้งหน่อย ทนหน่อยนะคะ… ด้วยรอยยิ้ม ” ลั่วเฉียวพูดกับซูยิ่งหวั่น ฮอนมองซูยิ่งหวั่นที่กำลังอดทนอดกลั้นอยู่ ถึงยิ่งหวั่น
เธอจะร้ายก็จริง แต่ลั่วเฉียวก็ไม่ควรทำกับเธอถึงขนาดนี้
ซูยิ่งหวั่นหันหน้ามามองฮอนกลับด้วยความเคียดแค้น
ซูยิ่งหวั่นสูดหายใจเข้า พร้อมกับหันไปหาลั่วเฉียวแล้วพูด กับเธอว่า : “ทักษะการแสดงของน้องลั่วเฉียวคงจะยังไม่ดีพอ เดี๋ยวฉากนี้พี่จะสอนเองว่าต้องทำยังไง…
เพียะ!
“โอ๊ย…” ลั่วเฉียวกรีดร้องพลางจับแก้มของตัวเอง : “ตบ
ฉันหรอ!”
“ก็สองน้องลั่วเฉียวเล่นฉากนี้ไง” ซูยิ่งหวั่นยกริมฝีปาก ของเธอขึ้นพลางพูดกับผู้กำกับอีกครั้ง “ผู้กำกับคะ ฉันว่า ฉากแบบนี้มันไม่ค่อยเหมาะกับบทมีเฟยที่เป็นผู้หญิงที่อ่อนโยนและจิตใจดีเลยนะคะ ฉากนี้เหมาะกับบทพระสนมเอก ว
มากกว่านะคะ
“ก็สมเหตุสมผลอยู่…” ผู้กำกับผงกหัว
“ผู้กำกับคะ!” ลั่วเฉียวตกใจ “บทเฟยถูกข่มเหงมาตลอด นะคะ เพราะงั้นสุดท้ายแล้วเธอก็ต้องสู้ไม่ใช่หรอ
“ฉันว่าเอาตามที่ยิ่งหวั่นเสนอดีกว่า”
แต่ผู้กำกับ…” ลั่วเฉียวพยายามทักท้วง
ด้วยความที่ผู้กำกับต้องรักษาหน้ายิ่งหวั่น เลยทำให้เขา ตัดสินใจแบบนี้ ยังไงก็รู้ได้ไม่แน่ชัดว่าเธอเป็นคนรักของเป็น มิ่งโมรึเปล่า ตอนนี้เขาก็เลยต้องทำดีกับเธอไว้ก่อน
และบทละครเรื่องนี้เดิมทีก็เป็นตอนที่พระสนมเอกถั่วต้อง โหดร้ายทารุณกับเฟยอยู่แล้วด้วย
อีกอย่าง ดาวดวงใหม่อย่างลั่วเฉียวจะสู้ยิ่งหวั่นได้ยังไง
เพียะเทียะ เพียะเหียะ!
หน้าของลั่วเฉียวบวมแดงขึ้นหลังจากที่ถูกตบไปหลายสิบ
ครั้ง
ในที่สุด การถ่ายทำก็เสร็จสิ้นลง ลั่วเฉียวรีบวิ่งไปที่ฮอ นอย่างไม่พอใจ
“ฮอน ฉันเกลียดนังนั่น… ฉันเกลียดเธอ…”
ยอนเอาก้อนน้ำแข็งมาประคบใบหน้าของถั่วเฉียวพลาง ขมวดคิ้ว : “ไหนบอกจะให้ฉันดูอะไรสนุกๆไง! แล้วนี่อะไร คุ้มกันไหมเนีย กับการที่ช่วยแก้แค้นแทนฉัน!
“ก็ฉันอดไม่ได้กับความเย่อหยิ่งของนังนั่นนี่!” ลั่วเฉียวขน เขียวเคี้ยวฟัน : “เธอไม่รู้สึกดีบ้างรึไงที่เห็นนั่งนั่นถูกฉันตบ เข้าไปตอนแรก!”
“ต่อไปอย่าไปยุ่งกับซูยิ่งหวั่นอีก เพราะเธอไม่ใช่คู่แข่ง อะไรกับฉัน ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรเลยสักนิด
“แต่นั่งนั้นไม่ได้คิดอย่างงั้น! นังนั่นคิดจะกำจัดเธออยู่ทุก เมื่อไม่รู้บ้างหรอไง! ” ลั่วเฉียวพูดไปก็เหลียวมองซูยิ่งหวั่น ไป : “ดูสายตานังนั่นสิ ที่จริงไม่จำเป็นต้องเล่นบทพระสนมเอ กกัวเลยด้วยซ้ำ เพราะเธอก็เป็นคนแบบนั้น ในชีวิตจริงอยู่ แล้ว!”
พอกู้ฮอนแยกกับลั่วเฉียวแล้ว เธอก็เห็นว่า ยิ่งหวั่นกำลัง
ดักรอเธออยู่
“ไม่ได้เจอมาแค่สองปี ไม่นึกเลยว่าจะกลายมาเป็นนัก เขียนดาวรุ่งคนใหม่!” ชูยิ่งหวั่นยืนขวางรถฮอนพลางพูด เยาะเย้ย
“ค่ะคุณชู แต่ยังไงนักเขียนตัวเล็กๆ คนนี้ก็เทียบเท่าดารา ดังอย่างคุณ ไม่ได้หรอกค่ะ ถ้าไม่มีอะไรแล้วช่วยหลีกทาง ให้หน่อยนะคะ” เธอพูดอย่างไม่ใส่ใจ
ยิ่งหวั่นขยับตัวเล็กน้อย : “เธอคิดว่าฉันไม่รู้ไงว่าเธอสั่ง ให้ลั่วเฉียวทํากับฉันแบบนั้น!”
สอนขมวดคิ้วพลางจ้องหน้าซูยิ่งหวั่น แต่เธอฉุกคิดขึ้นมา ได้ว่าถ้าเธอปฏิเสธคนที่จะตกที่นั่งลำบากก็คือลั่วเฉียวเพราะ พวกเธอยังต้องถ่ายทำด้วยกันอีกในอนาคต : “ค่ะ!”
“หึ! เธอนี่ร้ายเหมือนกันนะ!” ฮอนมองอย่างเย็นชา : “แล้วที่เธอเขียนหนังสือนั่นขึ้นมา อย่านึกว่าฉันไม่รู้นะว่าเธอ เขียนเพื่อที่จะป่าวประกาศให้ทุกคนรู้ว่าเธอเป็นแม่ของเด็ก สองคนนั้น! แล้วก็เพื่อที่จะกลับไปหาเป้หมิงไม่ด้วย!”
กู้ฮอนรู้สึกว่าตัวเองกำลังฟังเรื่องที่ไร้สาระอยู่ : “ก็ตามที่ คุณพูดนั่นแหละ”
ไม่รู้จะมีใครเชื่อรึเปล่าว่าเธอกับเป้หมิงโม่ไม่มีโอกาสที่จะ กลับมาอยู่ด้วยกันตั้งแต่ที่ตัดสินใจสู้กันในศาลเมื่อสองปี ก่อนแล้ว สิ่งเดียวที่เธอต้องการตอนนี้ก็คือความรักของเป็น มิงโม่ที่จะมีให้กับเด็กๆ ความรักที่ทำให้เด็กๆ เติบโตขึ้นมา อย่างเข้มแข็ง
“งั้นก็ไม่ต้องมาทำเป็นว่าตัวเองสูงส่ง! ทำไมเธอต้องเข้า มาขัดขวางผู้หญิง ที่อยู่ข้างๆ เปหนึ่ง โม่ด้วย ฉันจะบอกให้นะถึงแม้เธอจะกําจัดฉันได้ แต่ก็ยังมีผู้หญิงอีกคนที่เธอไม่ สามารถกําจัดได้ อยากรู้ไหมว่าผู้หญิงคนนั้นคือใคร
“ขอโทษค่ะ ฉันไม่อยากรู้
สอนขมวดคิ้ว พลางขึ้นไปนั่งบนรถแล้วสตาร์ทเครื่อง
“เฟยเอ๋อไง! ผู้หญิงคนนั้นคือเฟยเอ๋อ!” ซูยิ่งหวั่นตะโกน อย่างดื้อรั้น ไม่สนใจว่าเธอจะอยากรู้หรือไม่อยากรู้
มือของฮอนที่จับพวงมาลัยอยู่กระตุกเล็กน้อย
“เฟยเอ๋อคือผู้หญิงที่อยู่ในเหตุการณ์ไฟไหม้เมื่อสิบสองปี ก่อนที่สเปน ทุกคนคิดว่าเธอโดนไฟคลอกตายไปแล้ว แต่ไม่ ใช่! เธอรู้ไหมว่าเฟยเอ๋อเป็นคนที่เป็นมิงโม่แคร์ที่สุด เปรียบ เป็นแสงจันทร์สีขาวที่อยู่ในใจของเหมิงไม่มาโดยตลอด…
หลังจากที่ได้ยินคำว่า “แสงจันทร์สีขาว ดูเหมือนว่ามีบาง อย่างแทงเข้าหัวใจเธออย่างจัง
เธอเจ็บเหลือเกิน!
หลังจากนั้นเธอก็เหยียบคันเร่งออกไป…
ซูยิ่งหวั่นกำมือมองรถของฮอนเคลื่อนออกไปอย่าง เงียบๆ…
ในที่สุดห้องตรงข้ามก็ปรับปรุงซ่อมแซมเสร็จสักที หลัง จากที่กู้ฮอนต้องทนกับเสียงดังรบกวนอยู่สองอาทิตย์
แม้จะเป็นฤดูหนาว แต่ในบ้านก็ไม่ได้หนาวเหมือนกับข้าง นอกนั่น
กู้ยอมเปิดคอมพร้อมกับกำลังจะนั่งเขียนหนังสือเล่มที่สอง ของตัวเอง
ตั้งแต่ที่หนังสือเล่มแรก “Years when his father couldn’t do it’ ของเธอวางจําหน่าย ก็มีหลายสำนักพิมพ์ พยายามจะติดต่อนัดหมายกับเธอ
ตอนแรกเธอคิดว่าชีวิตเธอจะผ่านไปอย่างราบรื่น
แต่มันไม่ใช่อย่างนั้น
จู่ๆเสียงของห้องตรงข้ามที่ก่อนหน้านี้เงียบลงไปแล้วนั้น กลับมีเสียงดังขึ้นมาอีกระลอก
เธอรีบเปิดประตูไปดูอย่างกระวนกระวาย เธอเห็นคน หลายคนกำลังพากันขนเฟอร์นิเจอร์เข้าไปยังห้องนั้น
เธอช่าเลืองมองเฟอร์นิเจอร์พวกนั้น เฟอร์นิเจอร์พวกนั้น ล้วนแต่เป็นเฟอร์นิเจอร์หรูคุณภาพดี ถ้าไม่มีเงินคงซื้อของ พวกนี้ไม่ได้แน่
“ขอโทษค่ะ… ช่วยเบาเสียงกว่านี้นิดนึงได้ไหมคะ
“ขอโทษครับ พอดีเราต้องรีบขนเข้ามาตามที่ลูกค้าสั่ง เขาขอโทษขอโพยเธอด้วยสำเนียงเมืองเหนือ
“งั้นรบกวนเร็วๆหน่อยนะคะ!!
เธอขมวดคิ้วบอก พลางมองไปที่เฟอร์นิเจอร์พวกนั้นอีก
คร่ง
จริงๆแล้วเจ้าของห้องไม่ควรจะมาอยู่ห้องราคาถูกอย่างที่ นี่เลย ถ้าจะมีเงินซื้อเฟอร์นิเจอร์ราคาแพงพวกนี้เข้ามา ไม่สม เหตุสมผลเลยจริงๆ
พอปิดประตูลง เธอก็ปิดคอมแล้วมานั่งดูทีวีบนโซฟา
บอกตามตรง เธอคิดถึงช่วงเวลาหลายปีก่อนที่หยางหยาง นั้นอยู่ข้างกายเธอ ภาพของเด็กทารกที่อยู่ในอ้อมแขนของ เธอ เธอยังคงคิดถึงช่วงเวลาเหล่านั้นอยู่เสมอ…
สิ่งที่เธอรู้สึกเสียใจและรู้สึกพลาดก็คือเธอไม่มีช่วงเวลา เหล่านั้นกับเฉิงเฉิง เธอนึกภาพอยู่เสมอว่าถ้าเธอกับเฉิงเฉิงมี ช่วงเวลาเหล่านั้นมันจะดีสักแค่ไหน
เธอยังคงคิดถึงพวกเขาอยู่เสมอ
คิดไปคิดมาเธอก็เผลอหลับไปพร้อมกับรอยยิ้มบน
ใบหน้า…
เวลาสามทุ่ม
ปัง ปัง ปัง!
ประตูห้องของฮอนถูกเคาะโดยใครบางคน
พอได้ยินเสียงเคาะประตูนั้น เธอก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาอย่างหัว
จะมาเคาะอะไรตอนนี้เนี่ย เธอกำลังฝันถึงลูกๆ อยู่แท้ๆ
ปัง ปัง ปัง!
ประตูนั่นยังคงถูกเคาะไม่หยุด
ใครคะ” เธอลุกขึ้นเกาหัวตัวเองพร้อมกับกำลังจะเดินไป เปิดประตู