ตอนที่ 7 พบสาวงาม
“โอ้? เหตุใดข้าจึงต้องการทาสรับใช้เช่นเจ้าด้วยเล่า? จะไม่ดีกว่ารึหากข้าจะบดขยี้เจ้าเสียตรงนี้?” หลงเฉินเอ่ยกล่าวขึ้นพร้อมกับแสยะยิ้มกว้างไม่หุบ และนั่นยิ่งทำให้หลงมั่นเทียนหวาดกลัวมากกว่าเดิม
“ได้โปรด…ได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วยนายน้อยเทียน ข้า…ข้าจะไม่ทำเช่นนี้อีกแล่ว ข้าสัญญา!”
ยามนี้หลงมั่นเทียนถึงกับน้ำตาคลอเบ้า
“อย่าทำร้ายข้าเลยนายน้อยเทียน มัน..มัน..มันผิดกฏของตระกูล กฎบัญญัติไว้ว่าห้ามสมาชิกตระกูลทำร้ายกันเอง โดยเฉพาะการเข่นฆ่ากัน ข้าก็เด็กคนหนึ่งที่มาจากสาขาเล็กๆ…ได้โปรดอย่าทำอะไรข้าเลย!”
หลงมั่นเทียนยังคงกล่าวทั้งน้ำตา
“ประการแรก หากเจ้าตายข้าไม่พูดใครจะรู้? ประการที่สอง ในสายตาของทุกคน ข้าก็แค่เด็กปัญญาอ่อนคนหนึ่งที่แม้แต่แมลงยังฆ่าไม่ตายด้วยซ้ำ แล้วผู้ใดจะเชื่อว่าข้าฆ่าเจ้ากันเล่า?”
หลงเฉินหยุดหายใจชั่วขณะ ก่อนกล่าวต่อว่า
“และที่สำคัญที่สุด…เจ้าก็รู้ว่าตอนนี้ข้าหาใช่อัจฉริยะอีกต่อไปไม่ แต่ครั้งหนึ่งข้าก็เคยอยู่ในสายตาของเหล่าผู้อาวุโส นอกจากนี้ตำแหน่งของข้าก็มิใช่ว่าเล็กๆ แม้จะฆ่ามดปลวกตัวเล็กๆอย่างเจ้าทิ้งไปแล้วอย่างไร? คิดหรือว่าคนเช่นข้าจะโดนโทษร้ายแรง?”
หลงเฉินเอ่ยกล่าวพลางยิ้มเยาะ
หลงมั่นเทียนรู้สึกหวาดกลัวสุดขีด ขณะที่หลงเฉินยังคงบีบคอเขาแน่นอย่างไร้ปราณี หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเห็นว่าหลงมั่นเทียนจวนเจียนจะขาดอากาศหายใจจนเป็นลมหมดสติ หลงเฉินจึงคลายมืออ่อนลงเล็กน้อย อีกฝ่ายดิ้นรนไปมากและพยายามสูดเอาอากาศเข้าไปในร่าง แต่ทันใดนั้นหลงเฉินก็กระชับฝ่ามือบีบคอแน่นอีกครั้งเพื่อทรมานอีกฝ่าย ก่อนจะเอี้ยวตัวเข้าใกล้พลางกระซิบข้างหูว่า
“หากมีผู้ใด…โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับหลงอัน หากให้พวกมันรู้ว่าข้าในยามนี้เป็นปกติดีแล้ว คงไม่ต้องให้ข้าบอกใช่หรือไม่ว่า…เจ้าจะมีสภาพเยี่ยงไร? แต่เจ้าวางใจได้…ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า แต่…จะค่อยๆตัดแขนขาเจ้าออกทีละส่วน จากนั้นจึงค่อยเตะเจ้ากลิ้งไปมาราวกับก้อนเนื้อมีชีวิต…”
หลงเฉินฉีกยิ้มแสยะเย็นให้อีกฝ่าย
ทันทีที่หลงมั่นเทียนเห็นรอยยิ้มนี้ เขาก็ตระหนักทันทีว่า ตนเองกำลังตกอยู่ในเงื้อมของมือปีศาจอย่างแน่แท้ เขาบอกกับตัวเองภายในใจว่า หากรอดตายจากหายนะครั้งนี้ไปได้ เขาจะไม่ทำเช่นนี้อีกแล้ว เขาขอสัญญา…สัญญาว่าจะอยู่ให้ไกลจากหลงเทียนผู้นี้จนชั่วชีวิต!
“แม้ตอนนี้ข้ายังไม่ต้องการทาสรับใช้ แต่สักวันเจ้าคงจะมีประโยชน์ต่อข้าแน่ แต่ตอนนี้จงจำเอาไว้ว่า ข้าจะมาพบเจ้าในวันที่ข้าอยากเห็นหน้าเท่านั้น ทำตัวให้เหมือนปกติเช่นทุกๆวัน วันใดที่ข้าเรียกใช้ เจ้าก็จงทำตัวให้เป็นประโยชน์ เข้าใจหรือไม่เจ้าเศษสวะ?”
หลงเฉินกล่าวกับหลงมั่นเทียนด้วยรอยยิ้มที่มิใช่รอยยิ้ม ยามนี้อีกฝ่ายรู้สึกโล่งใจเป็นอย่างยิ่งที่วันนี้ยังมิใช่วันตายของตน
“ข้า…ข้าสัญญา!”
หลงมั่นเทียนยังคงกล่าวตอบทั้งน้ำตา หลังจากนั้นหลงเฉินจึงวางอีกฝ่ายลงในท้ายที่สุด
“กลับกันได้แล้ว หากผู้ใดถามว่าเจ้าว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บได้อย่างไร? ก็แก้ตัวไปตามแต่จะคิดได้ อย่างเช่น…ข้าเดินสะดุดล้ม อะไรทำนองนี้”
ใบหน้าของหลงเฉินยังคงเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มที่เย็นยะเยือกไม่จางหาย พร้อมยกตัวอย่างข้อแก้ตัวไปดังเช่นที่พวกมันเคยใช้กับเขา
คล้อยหลังกล่าวจบ หลงเฉินก็ก้าวเดินออกไปยังบริเวณอื่นทันที เขาตั้งใจว่าจะเดินเตร่ไปทั่วทั้งตำหนักตระกูลหลงสักเที่ยวหนึ่ง
เมื่อหลงเทียนเดินจากไป หลงมั่นเทียนยังคงยืนนิ่งจนแน่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายเดินออกไปไกลจนลับสายตา ในที่สุดเขาก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอกยิ่ง ก่อนจะเพิ่งสังเกตเห็นว่า ยามนี้บริเวณเป้ากางเกงของตนกลับเปียกแฉะไปหมด พร้อมกลิ่นเหม็นบริเวณทวารหนัก จึงรีบวิ่งแจ้นกลับห้องในบัดดล
ขณะที่หลงเฉินกำลังเดินเตร่ไปรอบๆตำหนัก เขาก็มีโอกาสได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์มากมาย ทั้งสถานที่ใหญ่โตและจุดสำคัญต่างๆ
มีทั้งโถงวรยุทธของตระกูลหลง ซึ่งภายในเก็บรักษาวรยุทธไว้มากมาย เมื่อเขายังเด็กโดยส่วนให้เขามักใช้เวลาไปกับการเรียนรู้ศึกษาวรยุทธระดับมนุษย์ และระดับวิญญาณบางส่วนที่ไม่ค่อยมีโอกาสได้พบเจอบ่อยนัก
ตัวอาคารเป็นสีทองอร่ามมีทั้งหมดสามชั้น ความกว้างประมาณหนึ่ง และจุดเด่นก็คือสัญลักษณ์มังกรล่องเมฆาที่สลักอยู่หน้าประตูทางเข้า
ชั้นแรกของโถงวรยุทธ์จะเป็นส่วนที่เก็บวรยุทธระดับมนุษย์ ไล่ตั้งแต่ขั้นต่ำถึงขั้นสูงสุด มีตำราวรยุทธนับร้อยภายในชั้นนี้ ในขณะที่ชั้นสองจะมีแต่วรยุทธระดับวิญญาณ ผู้ที่จะสามารถขึ้นไปได้จำต้องทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรผสานวิญญาณแล้วเท่านั้น พวกเขาจึงจะมีสิทธิ์ขึ้นไปในชั้นนี้และอนุญาตให้เลือกวรยุทธต่อสู้ได้ตามใจชอบ
ชั้นที่สามไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าไปได้ทั้งนั้นนอกจากประมุขตระกูลและผู้อาวุโสระดับสูงเพียงไม่กี่คน ที่เหลือมิได้รับอนุญาตเข้าไปข้างในโดยเด็ดขาดไม่ว่าจะกรณีใดก็ตาม แต่ว่ากันว่าภายในนี้ได้เก็บรักษาวรยุทธระดับดินที่ผู้คนทั่วผืนพิภพปรารถนาเอาไว้ นี่เป็นคำอธิบายเดียวที่เขาทราบเกี่ยวกับโถงวรยุทธ์ในชั้นที่สาม
“นี่หาใช่เวลาเหมาะสมนักที่จะเข้าไปข้างในแม้พวกเขาจะอนุญาตก็ตาม เพราะข้าเรียนรู้วรยุทธต่อสู้ระดับมนุษย์ไปหมดแล้ว และปัจจุบันก็ไม่มีคุณสมบัติขึ้นชั้นสองได้ ถึงอย่างไรข้าก็ยังไม่สามารถทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรผสานวิญญาณได้”
หลงเฉินพึมพำกับตัวเองครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจเดินผ่านไป ไม่นานเขาก็เดินมาเห็นอาคารหลังใหญ่อีกแห่ง
สถานที่ต่อไปที่พบเจอทำให้เขาประหลาดใจอย่างมาก มันเป็นโถงขนาดใหญ่ที่มีสามชั้นเช่นกัน แต่ทั้งกว้างและยาวกว่าโถงวรยุทธเสียอีก นี่เรียกว่า โถงสมบัติ เป็นสถานที่เก็บรักษาสมบัติมากมายสำหรับเหล่าผู้ฝึกยุทธ์โดยเฉพาะ นอกจากยุทธ์ภัณฑ์ระดับมนุษย์แล้ว ภายในนี้ก็ยังมียุทธภัณฑ์ระดับวิญญาณอีกด้วย
ซึ่งชีวิตนี้หลงเฉินไม่เคยเห็นยุทธ์ภัณฑ์ระดับดินมาก่อน กระทั้งเบาะแสยังไม่เคยได้ยินแม้นสักครั้ง แต่ถึงแบบนั้นเขาก็มั่นใจอย่างมากว่า ภายในตำหนักตระกูลหลงจักต้องมียุทธ์ภัณฑ์ระดับดินเก็บซ่อนอยู่แน่นอน และเหล่าสมาชิกตระกูลหลงจะสามารถเลือกยุทธ์ภัณฑ์ระดับวิญญาณประจำตัวคู่กายได้ โดยมีเงื่อนไขว่าจำต้องทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรผสานวิญญาณระดับห้าให้ได้เสียก่อน
ไม่ว่าพวกเขาจะได้ยุทธภัณฑ์ระดับวิญญาณขั้นต่ำ ขั้นกลาง หรือขั้นสูง มิได้เลือกได้ตามใจชอบ แต่ต้องขึ้นอยู่กับความสามารถของตนเองเช่นกัน ยุทธภัณฑ์ขั้นใดที่เขาต้องการ หลังหยิบไปแล้วจำต้องได้รับการทดสอบจากโถงสมบัติเสียก่อน จึงจะนำติดตัวออกไปได้
เมื่อตอนที่หลงเทียนผ่านการทดสอบครั้งแรก เขาอายุได้เพียงเจ็ดขวบและอยู่ในอาณาจักรปรับวิญญาณระดับเจ็ด ยุทธภัณฑ์ที่เขาได้รับตอนนั้นเป็นถึงดาบระดับมนุษย์ขั้นสูงสุดชื่อว่า‘ดาบสะบั้นบรรพต’ แต่น่าเสียดายที่เขาในอดีตไม่ค่อยชอบพกมันติดตัวไปไหนมาไหน บางทีหากตอนนั้นเขาพกดาบสะบั้นบรรพตติดตัวไปด้วย เขาอาจจะทำอะไรได้มากกว่านี้กับมือสังหารสวมหน้ากากนั้น
แม้จะถ่วงเวลาได้อีกสักเล็กน้อย แต่นั้นก็ยังดีกว่าไม่มีตัวเลือกอะไรเลย ถึงอย่างไรอีกฝ่ายมีระดับพลังมากกว่าเขาตั้งสองอาณาจักร ทั้งยังมีมีดระดับวิญญาณขั้นต่ำอีก
ขณะที่หลงเฉินกำลังจะเดินจากไป ทันใดนั้นกลับมีสาวน้อยหน้าตางดงามหมดจดนางหนึ่งเดินออกมาจากโถงสมบัติ