บทที่ 569 เป่หมิงเอ้อที่ผิดปกติ
เป่หมิงยันยืนขึ้นแล้วตอบอย่างเป็นเรื่องเป็นราวมาก “คือแบบนี้ครับ บางวันผมจะเลิกงานดึกเกินไป พอกลับบ้านแล้วไม่อยากรบกวนใคร จึงต้มมาม่ากินเองครับ”
“ถ้างั้น คุณแอนโทนี่ก็เป็นคนขยันทำงานมากเลยสิคะ”
เป่หมิงยันหัวเราะแล้วเกาหัวตัวเอง “แฮะ ๆ ก็ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ” เขาพูดต่อด้วยสีหน้าจริงจัง “ผมคิดว่าความสุขของผมคือการได้แสดงหนังให้ทุกคนดู ฉะนั้นต่อให้ผมต้องลำบากมากแค่ไหนก็คุ้มค่าสำหรับมันครับ”
เมื่อคำพูดคำนี้ออกจากปากของเขา ซึ่งก็นำมาสู่เสียงปรบมือจากผู้ชมในงาน “แอนโทนี่ เรารักคุณ”“แอนโทนี่ เราสนับสนุนคุณ”
บางคนชอบใจเกินเหตุ แล้วตะโกนพูดว่า “แอนโทนี่ ฉันต้องการมีลูกกับคุณ”
เมื่อเป่หมิงยันหันไปมองเสียงนั้น ก็เห็นสาวอ้วนใส่แว่นตาแล้วมีหนวดที่ปากเล็กน้อย
 ̄□ ̄||
*
มันช่างไร้สาระเลยจริง ๆ เป่หมิงโม่คงไม่ยอมเสียเวลากับเรื่องแบบนี้เหมือนเขาหรอก
เมื่อมองดูนาฬิกา เข็มชั่วโมงก็ชี้อยู่ที่เลขหนึ่งแล้ว
เช้าที่วุ่นวายนี้ นอกจากได้ทานอาหารเช้ากันมา ก็ไม่ได้ทานอะไรกันอีกเลย
เขานั่งอยู่กับที่แล้วจัดระเบียบเสื้อของเขา จากนั้นพูดกับกู้ฮอนว่า “เราไปจากที่นี่กันเถอะ” จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินไปยังทางออก
ฉิงฮัวที่อยู่ข้างหน้าก็ได้เปิดทางให้พวกเขาเดินไปยังทางออก
***
“ลูกรัก เราไปกันเถอะ” กู้ฮอนพูดจบแล้วรีบจุงมือลูกชายทั้งสองตามเป่หมิงโม่ไป
“คุณแม่ครับ ผมยังให้สัมภาษณ์ไม่จบเลย” หยางหยางมุ่ยปากพูด
“นายพูดให้น้อยลงหน่อยจะดีกว่านะ ไม่งั้นต้องเสียหน้าทั้งครอบครัวของเราแน่” เฉิงเฉิงไม่ได้พูดผิด เพราะหยางหยางเป็นคนซื่อ และเขาจะเล่าทุกความลับที่เขารู้โดยไม่ต้องมีใครถาม
“พี่รอง รอผมหน่อยสิ” เป่หมิงยันตะโกนเรียกเป่หมิงโม่ แล้วหันไปยิ้มพูดกับนักข่าว “ต้องขออภัยนะครับ ผมต้องไปก่อนแล้ว” เมื่อพูดจบเขาก็ส่งสัญญาณให้เหล่าบอดี้การ์ด
เหล่าบอดี้การ์ดก็เปิดทางให้เขาเดินตามเป่หมิงโม่ไป
แต่พวกนักข่าวก็ยังไม่ปล่อยเขา พยายามเดินตามไป “คุณแอนโทนี่คะ เราขอถามคำถามสุดท้ายค่ะ……”
*
โรลส์-รอยซ์ แฟนทอมสีดำของเป่หมิงโม่ได้ขับออกจากโรงเรียน
“คุณพ่อไม่รถอาสามกลับบ้านคุณปู่ด้วยกันเหรอครับ” เฉิงเฉิงหันกลับไปมองโรงเรียน
“เรายังไม่กลับ” เป่หมิงโม่ตอบอย่างเย็นชา
กู้ฮอนมองเป่หมิงโม่จากที่นั่งแถวหลัง “เราไม่กลับบ้าน แล้วจะไปไหนกัน”
“คุณจะพาเราไปไหน” กู้ฮอนมองออกไปบนท้องถนนที่รถขับผ่านตึกอาคารและยานพาหนะของผู้คน
“ไปทานข้าว”
*
เสียงเปียโนนุ่มนวลและไพเราะซึ่งกำลังบรรเลงอยู่ในภัตตาคารฝรั่งเศสที่ตกแต่งอย่างหรูหรา
และมีพนักงานแต่งชุดเดรสสีดำมือไขว้หลังไว้ข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างถือถาดเงินแล้วกำลังเดินเข้ามาโต๊ะที่นั่งใกล้เสียงดนตรีนั้น เพื่อให้บริการอย่างมีมารยาท
โต๊ะอาหารปูด้วยผ้าปูโต๊ะสีขาวและด้านข้างของโต๊ะเป็นชั้นวางขวดไวน์ที่มีรูปทรงรถม้าพร้อมไวน์ลาเฟตตั้งอยู่ข้างใน
แต่ขวดนี้ไม่ได้ผลิตในปี 82 เพราะไวน์ลาเฟตปี 82 ที่วางขายในท้องตลาดนั้นมากกว่าจำนวนที่ผลิตในปีนั้น
ข้างขวดไวน์แดงนั้นยังมีขวดไวน์คริสทัลวางอยู่ ซึ่งด้านในขวดบรรจุของเหลวสีแดงเข้ม และข้างขวดสองด้านก็มีแก้วไวน์คริสทัลสวยงามวางอยู่สองใบ
เป่หมิงโม่ที่ใส่ชุดสูทแล้วนั่งตัวตรงเหมือนเจ้าชายเย็นชาที่หล่อเหลาอยู่หัวโต๊ะ ส่วนหยางหยางนั่งอยู่ข้าง ๆ ซึ่งการแต่งตัวและบุคลิกของเขาทั้งสองเหมือนกันไม่มีผิด
ส่วนอีกด้านกู้ฮอนแต่งชุดกระโปรงเดรสสีสันสวยงามซึ่งมีหยางหยางนั่งอยู่ด้านข้าง
ก่อนหน้านี้พวกเขาออกมาอย่างกระทันหัน เด็ก ๆ ทั้งสองจึงต้องเปลี่ยนชุดในรถ
“คุณผู้ชายครับ หอยทากเอสคาโก้ เดอ บูร์กอญที่ท่านสั่งได้แล้วครับ” เมื่อพูดจบเขาก็นำอาหารที่ใส่ในถาดเงินนั้นวางบนโต๊ะ แล้วค่อย ๆ เปิดฝาออก ทันทีก็มีกลิ่นหอมลอยออกมา
จากนั้นพนักงานเริ่มเสิร์ฟอุปกรณ์อาหารด้วยความระมัดระวัง แล้วนำคีมวางไว้ข้างจานของทุกคน
“คุณผู้ชาย คุณผู้หญิง ขอให้รับประทานอย่างมีความสุขนะครับ” เมื่อพูดจบพนักงานเสิร์ฟก็เดินจากไป
วันนี้หยางหยางถูกเฉิงเฉิงแกล้งจนหาที่ระบายไม่ได้
“กิ้ง ๆ ๆ……” เสียงตีจานดังขึ้นอย่างชัดเจนจนได้ยินทั้งภัตตาคาร
สายตาเย็นชาของเป่หมิงโม่มองไปที่หยางหยาง แต่ยังไม่ได้พูดอะไร
กู้ฮอนจึงรีบหยิบคิมในมือของหยางหยางมา แล้วพูดเสียงเบา ๆ “เราไม่ได้อยู่ในบ้านนะ รักษาความสงบหน่อย ได้ยินไหม”
หยางหยางมุ่ยปาก แล้วเหลือบมองไปรอบ ๆ ในภัตตาคารนั้นนอกจากสายตาของเฉิงเฉิงและพ่อนกของเขาไม่ได้มองมาที่ตัวเขา แต่สายตาของคนทั้งภัตตาคารก็หันมองมาที่ตัวเขา จึงทำให้เขารู้สึกตกใจจนต้องหดตัวลง
กู้ฮอนจึงยิ้มให้คนรอบข้างด้วยความรู้สึกผิด
เฉิงเฉิงมองไปที่หยางหยางแล้วส่ายหัว
หยางหยางมองดูหอยทากเอสคาโก้ เดอ บูร์กอญในจานนั้น แล้วเอื้อมมือไปหยิบมาตัวหนึ่ง จากนั้นก็เอาเข้าปากแล้วดูดมันด้วยความแรง
“ซี๊ด ซี๊ด ซี๊ด……”
***
และเป็นเสียงที่สะดุดหูของทุกคนออกมาจากปากของหยางหยางอีกครั้ง
ในที่สุดเสียงบรรเลงอันไพเราะของเปียโนนั้นก็ถูกแทรกด้วยเสียงรบกวนของหยางหยาง
กู้ฮอนรู้สึกเหงื่อแตกเลย และขณะนั้นเธออยากเอาเทปกาวมาปิดปากเขาให้สนิทไปซะ
เธอคว้าหอยทากในมือของหยางหยางไปอย่างกระทันหัน แล้วจ้องหน้าข่มขู่เขาไว้ “เธอหยุดส่งเสียงดังซะแปปได้ไหมเนี่ย”
หยางหยางมองหน้ากู้ฮอนด้วยความน้อยใจ “คุณแม่ครับ แล้วหอยทากแม่น้ำนี้ต้องกินยังไงครับ ผมดูดแทบตายก็ดูดไม่ออกสักทีครับ”
เมื่อคำพูดนี้ออกจากปากหยางหยางปุ๊บ ในหัวทุกคนก็มีแค่คำเดียวที่เหมือนกัน ‘ไอ้ซื่อบื้อเอ้ย’
หยางหยางเอ๋ยหยางหยาง นี่มันหอยทากเอสคาโก้ เดอ บูร์กอญจากประเทศฝรั่งเศสนะ นายจะดูดกินเหมือนหอยทากแม่น้ำบ้านเราไม่ได้……
ความจริงเขาแค่ตั้งใจอยากหาอะไรทำก็แค่นั้น
ในเวลานี้ เฉิงเฉิงมองหยางหยางด้วยสายตาที่ดูถูกเขา จากนั้นหยิบคีมขึ้นมาคีบหอยทากเอสคาโก้ไว้ตัวหนึ่ง แล้วหยิบไม้จิ้มฟันขึ้นมาจากโต๊ะอาหาร ค่อย ๆ แคะเนื้อหอยออกมาจากเปลือกแล้วจิ้มมันลงไปที่น้ำจิ้ม จากนั้นค่อย ๆ ใส่เข้าปาก กินก็กินไปสิ ทำไมต้องมองหน้าหยางหยางแล้วทำหน้าอร่อยด้วย
หยางหยางมองหน้าเฉิงเฉิงด้วยสีหน้าอันขมขื่น ไอ้แสบคนนี้ทำไมน่ารำคาญจริง ๆ : ด้วยไอคิวที่สูงกว่าเขา จากนั้นเปลี่ยนสคริปต์เพื่อแกล้งเขา แล้วกินข้าวยังต้องมากวนเขาด้วย……
ไม่ไหว ต้องหาวิธีเอาคืนให้ได้
ในเวลานี้ พนักงานนำกับข้าวจานที่สองมาเสิร์ฟ
“คุณผู้ชายครับ สเต็กพริกไทยดำได้แล้วครับ ชุดนี้มีเดียมแรร์ของคุณผู้ชายนะครับ ส่วนสามชุดนี้สเต็กพริกไทยดำระดับเวลดันของคุณผู้หญิงและคุณชายทั้งสองครับ”
เมื่อพูดเสร็จ พนักงานเสิร์ฟวางสเต็กของแต่ละคนไว้ตรงหน้า
เป่หมิงโม่มือข้างหนึ่งถือมีด ข้างหนึ่งถือซ่อม จากนั้นหั่นสเต็กเนื้อนั้นเบา ๆ แล้วค่อย ๆ กินเข้าไปอย่างช้า ๆ จากนั้นหยิบไวน์แดงขึ้นมาจิบหนึ่งคำ
เมื่อหยางหยางเห็นสเต็กมาเสิร์ฟ อาการหิวจนตาลายนั้นก็ค่อย ๆ จางหายไป ถึงแม้ในระหว่างการแสดง หยางหยางมีฉากที่ได้กินขนมปัง แต่ก็ได้กินเพียงคำเดียวเท่านั้น
เหมือนไม่มีอะไรเข้าไปในกระเพาะเลย แถมยังรู้สึกหิวมากกว่าเดิม เพราะมีฉากต่อสู้กับเฉิงเฉิงจนใช้พลังงานไปหมดแล้ว
เขาไม่ใช้มีดตัดสเต็กนั้นแล้ว ใช้ซ่อมแทงเข้าไปแล้วกัดมันกินเลย
เรื่องที่ว่ากันว่าคนเล็กแต่กระเพาะใหญ่นั้นมีจริง
มื้อนี้เฉิงเฉิงและหยางหยางกินสเต็กเข้าไปคนละสองชิ้น ยังไม่พอ แถมปิดท้ายด้วยขนมมาการองคนละชิ้นถึงจะรู้สึกอิ่มท้อง แล้วเดินออกจากภัตตาคารอย่างสบายใจ
เมื่อทานอาหารเรียบร้อย เขาก็พากันขึ้นรถไป
ตามที่กู้ฮอนคิดว่า ฉิงฮัวไม่ได้ส่งเขากลับบ้าน
แต่สิ่งที่เธอคาดไม่ถึงก็คือ พวกเขาได้เดินทางไปถึงสวนสนุกที่ใหญ่ที่สุดในเมือง A
เมื่อเงยหน้าขึ้นแล้วมองเห็นปราสาทดั่งเทพนิยายที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา นอกจากกู้ฮอนรู้สึกประหลาดใจแล้ว เด็ก ๆ ทั้งสองก็ไม่กล้าเชื่อในสิ่งที่เห็นเหมือนกัน
ในสายตาของพวกเขาสามคน เป่หมิงโม่ก็คือคนหัวโบราณคนหนึ่ง ไม่รู้จักเฮฮา ทั้งชีวิตของเขามุ่งเน้นแต่การงานอย่างเดียว
น้อยมากที่เขาจะไปไหนมาไหนกับครอบครัว โดยเฉพาะสำหรับเฉิงเฉิงแล้วเขาเข้มงวดมาก
นอกจากต้องไปโรงเรียนแล้ว เขายังต้องเข้าโรงเรียนสอนพิเศษอีกด้วย ส่วนที่เฉิงเฉิงฉลาดและเรียนรู้ไวกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันก็เพราะสิ่งนี้ แต่ไอคิวที่เหนือกว่าเพื่อน ๆ นั้น ได้มาจากตัวเขาเองเพียงแค่ครึ่งเดียว ส่วนอีกครึ่งหนึ่งนั้นก็ล้วนได้มาจากเป่หมิงโม่คนนี้
วันนี้ไม่รู้จริง ๆ เลยว่าเป่หมิงโม่ไปกินยาตัวไหนมา หรือว่าเพราะผู้ชมต่างพากันชื่นชมการแสดงที่สมจริงของเฉิงเฉิงและหยางหยางส่งผลทำให้เป่หมิงโม่คิดมากจนเป็นบ้าไป
ไม่เพียงแต่กู้ฮอนคนเดียวที่รู้สึกสงสัยแบบนี้ นอกจากเป่หมิงโม่แล้ว ทุกคนก็สงสัยแบบนี้เหมือนกัน
ทั้งสี่คนอยู่หน้าประตูแล้ว แต่ไม่กล้าเดินเข้าไป นอกจากเป่หมิงโม่ที่ยังคงหล่อเหลาเหมือนนายแบบแล้วได้ก้าวเข้าประตูนั้นเป็นคนแรก
***
เป่หมิงโม่เดินเข้าไปในสวนสนุกได้เพียงสองก้าว ก็สังเกตเห็นว่าไม่มีใครเดินตามเขาเลย จึงหันหลังกลับมามองสี่คนนั้นที่ยังคงยืนลังเลอยู่หน้าประตู
เขาทำหน้าสงสัย แล้วก้มมองตัวเอง มันก็ไม่มีอะไรผิดปกตินี่นา
เกิดอะไรขึ้นกับสี่คนนี้ เขาจึงโบกมือแล้วตะโกนเรียก “เข้ามาให้หมดเลยนะ”
การพูดเสียงดังก็มีประโยชน์เหมือนกันนะ สามารถสั่งให้เขาทั้งสี่คนเข้ามาอย่างเชื่อฟังได้
ไม่จริง ต้องมีบางอย่างผิดปกติแน่นอน กู้ฮอนกระซิบคุยกับฉิงฮัวเบา ๆ “นายลองไปถามเจ้านายดูสิ สรุปว่าฉันหรือลูก ๆ หรือว่าใครทำอะไรผิดต่อเขารึเปล่า ถ้าจะด่าจะว่าก็ตามใจ แต่อย่าทำแบบนี้ มันรู้สึกใจไม่ดีเลย”
สีหน้าที่ขมขื่นของฉิงฮัวได้แต่ทำตามคำสั่ง จากนั้นค่อย ๆ เดินเข้าไปหาเป่หมิงโม่แล้วกระซิบพูดกับเขา “นายท่านครับ วันนี้มีเรื่องไม่สบายใจรึเปล่าครับ ที่มาแบบนี้ ทำให้คุณนายหญิงกับนายน้อยทั้งสองรู้สึกไม่ดีเลยครับ”
เป่หมิงโม่หันมองเขาแล้ว แต่ไม่ได้พูดอะไรแล้วเดินต่อไป
ฉิงฮัวหันหลังแล้วรีบกลับไปบอกกู้ฮอน นายท่านของเขาเหมือนไม่อยากคุยด้วย
ดูเหมือนว่าเธอต้องไปคุยกับเป่หมิงโม่ให้เข้าใจด้วยตัวเองแล้วล่ะ กู้ฮอนจึงรีบเดินเข้าไปดักหน้าเขาไว้
เมื่อเป่หมิงโม่เห็นเธออยู่ข้างหน้า เขาก็หยุดเดิน
“นายท่านครับ ผมไปดูแลนายน้อยทั้งสองก่อนนะครับ” ฉิงฮัวฉวยโอกาสนี้พาเฉิงเฉิงและหยางหยางเดินออกห่างจากพวกเขา
กู้ฮอนมองซ้ายมองขวา เมื่อเห็นว่าไม่มีคนอื่นแล้ว เธอจึงเดินเข้าไปหาเป่หมิงโม่ “คุณจะเอายังไงกันแน่ ตั้งแต่จบการแสดงแล้วนะ คุณไม่พอใจเรื่องอะไรก็รีบระบายออกมาให้หมด ที่คุณทำแบบนี้มันทรมานคนอื่นนะรู้ไหม”
เป่หมิงโม่มองหน้ากู้ฮอนที่กำลังรู้สึกโกรธอยู่ แต่เขากลับยิ้มตอบเธอ จากนั้นเดินเข้าไปหากู้ฮอนแล้วยื่นมือออกมา
“คุณคิดจะทำอะไร!” กู้ฮอนมองเขาด้วยความกลัว หรือว่าเขาโกรธจนจะลงไม้ลงมือทำร้ายผู้อื่นหรือ ร่างกายของเธอรู้สึกเกร็ง แล้วค่อย ๆ เดินถอยหลังไป
แต่เป่หมิงโม่ไม่ได้พูดอะไร เขาก้าวตามเธอไปสองก้าว แล้วเอื้อมมือไปแตะที่เส้นผมของเธอเบา ๆ จากนั้นเขาก็เข้าไปกระซิบข้างหูเธอ “คุณลืมไปแล้วเหรอ ว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของสัญญาการเป็นคู่สมรสชั่วคราวของเรา ผมแค่อยากทำหน้าที่สามีที่ดีและเป็นพ่อที่ดีเท่านั้นเอง”
เมื่อพูดจบ เขาก็จับมือกู้ฮอนไว้เบา ๆ
และเมื่อกู้ฮอนได้ยินคำพูดจากเขา ก็รู้สึกตกใจจนยืนอยู่กับที่ วันนี้เป็นวันอะไรนั้นเธอจำได้อย่างแน่นอน และอีกอย่างเธอยังหวังให้วันนี้ผ่านพ้นไปให้เร็วที่สุด
ถ้าอย่างนี้ เธอจะได้หลุดพ้นจากเป่หมิงโม่สักที และเธออยากกลับไปมีชีวิตที่เรียบง่ายเหมือนก่อน ชีวิตที่ไม่มีอะไรสบายใจมากกว่านั้นแล้ว
แต่คิดไม่ถึงเลย เป่หมิงโม่จะกลายเป็นคนที่หวงแหนทุก ๆ วินาทีที่เขาได้ใช้เวลากับเธอและลูก ๆ นี่ก็เป็นสาเหตุที่เขาค่อย ๆ ขยับที่นั่งเข้าไปหากู้ฮอนในเวลาที่ดูการแสดงอยู่