บทที่ 568 ครอบครัวซุปเปอร์สตาร์
หยางหยางคิ้วชนกัน ข้าเองที่ถูกเอาเปรียบมากกว่า
เมื่อเห็นหยางหยางยังคงลังเลอยู่ เฉิงเฉิงก็เริ่มกังวล “ถ้านายยังไม่ฟัง ทุกอย่างจะถูกเปิดเผยแล้วนะ”
“แล้วนายจะทำยังไงละ” หยางหยางถามด้วยความเหลือทน
“นายแกล้งแพ้แล้วหนีไป ที่เหลือข้าจัดการเอง” เฉิงเฉิงตอบ
หยางหยางคิดในใจ คงไม่มีทางเลือกอื่นแล้วล่ะ “เฉิงเฉิง นายจำไว้ดี ๆ ข้าไม่ได้สู้นายไม่ไหวหรอกนะ ถ้าไม่คิดถึงคุณแม่ ข้าจะไม่ยอมแพ้นายแบบนี้หรอก”
เฉิงเฉิงพยักหน้า “ได้ เอานายว่าก็แล้วกัน”
หยางหยางถึงจะรู้สึกพอใจ จากที่ต่อสู้กันจริงก็เริ่มกลายเป็นการแสดง แต่จมูกของเขาทั้งสองก็แตกแล้ว และมีเลือกไหลออกมาด้วย
หยางหยางแกล้งโดนเฉิงเฉิงถีบแล้วล้มลงไป จากนั้นเอาเลือดป้ายหน้า “ไอ้คนขายถั่ว วันนี้ข้าสู้นายไม่ไหว ไม่ได้หมายความว่าข้าจะยอมแพ้นาย ถึงยังไงแค้นนี้ข้าต้องชำระ” เมื่อพูดจบ เขาก็เดินซวนเซลงจากเวที
ในเวลานี้ ผู้ชมด้านล่างถึงกับลุกขึ้นเพื่อปรบมือให้กับการแสดงของพวกเขา ยังมีเสียงกระซิบคุยกันว่า ดูเขาแสดงได้สมจริงแค่ไหน ถึงกับต้องใช้อุปกรณ์ถุงเลือดด้วย สุดยอดจริง ๆ
จากนั้นมีเสียงตะโกนจากด้านล่างเวที “แต่งเลย แต่งเลย แต่งเลย……”
เฉิงเฉิงยืนอยู่กลางเวทีนั้น ยกมือขึ้นมาเช็ดคราบเลือดบนจมูกออก จากนั้นหันกลับไปก้มเก็บเชือกแดงที่ผูกกับจ้าวจิ้งอี๋ไว้ แล้วค่อยๆ เดินเข้าไปหาเธอ
และขณะนี้ ก็มีเสียงบรรยายอีกครั้ง : คำนับครั้งที่หนึ่ง……คำรับครั้งที่สอง……
หยางหยางกอดอกแล้วพิงอยู่กล่องเครื่องเสียงหลังเวทีนั้น มองดูเฉิงเฉิงที่กำลังปิดฉากละครเรื่องนี้อย่างสวยหรู เขาก็ได้แต่โกรธจนใจเต้นรัว
***
ในเวลานี้ด้วยเสียงเชียร์และเสียงปรบมือของผู้ชม ตามด้วยแสงไฟในฮอลล์ค่อย ๆ สว่างขึ้น
เมื่อครูใหญ่และครูหลี่ได้เห็นจุดจบสมบูรณ์แบบของละครเรื่องนี้ ต่างก็รู้สึกขอบคุณปาฏิหาริย์
เขาทั้งสองปรบมือไปด้วยแล้วเดินขึ้นเวที ตามด้วยนักแสดงตัวน้อยทั้งหมดในหลังเวทีนั้นก็ขึ้นมาบนเวที “ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี และเรียนแขกผู้มีเกียรติทั้งหลาย บัดนี้การแสดงวรรณกรรมและศิลปะของโรงเรียนคุณหนูก็ได้จบสิ้นลงแล้ว และเราหวังว่าการแสดงของเราทั้งหมดในวันนี้จะสามารถทำให้ผู้ชมทุก ๆ ท่านรู้สึกมีความสุขจากการรับชม”
ในขณะที่ผู้ชมกำลังเตรียมตัวออกจากฮอลล์การแสดง ทันใดนั้นประตูฮอลล์ก็ถูกเปิดออก แล้วมีบอดี้การ์ดชุดดำร่างสูงหลายคนก็เดินเข้ามาจากประตูนั้น
นักข่าวที่ถูกปิดกั้นอยู่หน้าประตูนั้นก็พากันเข้าไปในฮอลล์การแสดงเป็นร้อยคน
มีการปรากฏตัวของใครบางคนที่หน้าประตู ทำให้ดึงดูดสายตาทุกคนในฮอลล์นั้น
ความหล่อเหลาของเขามันมีความแตกต่างกับเป่หมิงโม่ผู้เย็นชา
ในตัวเขาเปล่งประกายความอ่อนโยนและความแข็งแกร่งออกมาพร้อมกัน อาจเป็นสาเหตุนี้ที่ทำให้สาว ๆ รายล้อม
“แอนโทนี่ เขาคือแอนโทนี่” ทันใดนั้นก็มีคนในฮอลล์ประชุมจำเขาได้ แล้วตะโกนขึ้นมาอย่างสุดแรงเกิด
ทันใด ในฮอลล์นั้นก็มีเสียงซุกซิกวุ่นวายขึ้นอีกครั้ง
กู้ฮอนก็มองไปทางนั้น เมื่อได้ยินเขาตะโกนเรียกชื่อแอนโทนี่ เธอก็เกิดความสงสัย เพราะไม่มีใครแจ้งเขาเลยว่าเด็ก ๆ มีการแสดงในวันนี้ แล้วเขาได้ข่าวนี้ได้อย่างไรกัน
เมื่อเป่หมิงโม่รู้ว่าไอ้สามมา เขาก็ยังคงไม่แยแส แล้วนั่งนิ่งอยู่กับที่
“เฮ้……สวัสดีทุกคน……” ภายใต้การคุ้มกันของบอดี้การ์ดร่างยักษ์ เขาได้เดินตรงไปยังหน้าเวทีนั้น
วันนี้เป็นวันอะไรเนี่ย เกิดแต่เรื่องไม่คาดคิดทั้งวันเลย แต่เรื่องไม่คาดคิดนี้มันมีแต่สิ่งดี ๆ ทั้งนั้น
จากนั้นครูใหญ่ก็รีบลงจากเวทีด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แล้วเดินไปต้อนรับแอนโทนี่ “ยินดีต้อนรับ ยินดีต้อนรับครับ ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่คุณมาเยือนครับ”
เป่หมิงโม่ที่นั่งอยู่เฉย ๆ ก็ถอนหายใจขึ้นมา
แอนโทนี่ก็ถือว่าเป็นคนที่มีไหวพริบดีพอสมควร ถึงแม้เสียงจะเบา แต่เขาก็สัมผัสมันได้
เขาหันหน้ามามองและตกใจกับสิ่งที่เห็น เมื่อเขาเห็นเป่หมิงโม่นั่งอยู่ข้าง ๆ และยังเห็นกู้ฮอนด้วย
ซึ่งสิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกไม่คาดคิดเหมือนกัน
*
เขาได้รับโทรศัพท์จากเป่หมิงโม่ก่อนหน้านี้เหมือนกัน ว่าให้เขาหาเวลากลับบ้านทานข้าวกับครอบครัวบ้าง แต่เนื่องด้วยตารางเวลาของเขา วันนี้ถึงเพิ่งลงจากเครื่อง
เมื่ออยู่ในสนามบินเขาก็ได้ข่าวว่ามีการแสดงวรรณกรรมของโรงเรียนคุณหนูนี้แล้ว
เขาจึงรู้สึกอยากมีส่วนร่วมในการรับชมด้วย
ดังนั้น จึงนำกระเป๋าสัมภาระของเขาทุกอย่างก็มอบให้กับผู้ช่วยส่วนตัวของเขาไป
ความจริงแล้วในระหว่างที่เขาอยู่เมือง A นี้ เมื่อได้ข่าวว่ามีการจัดแสดงวรรณกรรมและศิลปะที่ไหน เขาก็จะไปเข้าร่วมทุกครั้ง
ไม่ใช่เพราะสาเหตุใด ๆ หรอก เป็นเพราะว่าเขาก็เป็นศิษย์เก่าโรงเรียนคุณหนูแห่งนี้เหมือนกัน อีกอย่างที่เขาสามารถไปถึงวงการบันเทิงได้ก็เพราะมีสะพานเชื่อมจากการสนับสนุนของโรงเรียนนี้
และครั้งนี้ก็ตั้งใจไปดูโรงเรียนเก่าของตน ว่าจะมีนักแสดงคนไหนมีแววจะได้เป็นดาวดวงใหม่ของวงการบันเทิงหรือไม่
*
“เป่หมิงเอ้อ……พี่ชาย วันนี้มีเวลามาร่วมงานด้วยเหรอ” ปกติแล้วเป่หมิงยันจะเรียกชื่อเป่หมิงเอ้อ แต่วันนี้เจอกันในงาน เขาจึงฝืนเติมคำว่า ‘พี่ชาย’ อยู่หลังชื่อเป่หมิงเอ้อ
คุณชายทั้งสามของตระกูลเป่หมิงในเมือง A ซึ่งวันนี้ได้ออกงานพร้อมกันถึงสองคนเลยทีเดียว
อีกทั้งการแสดงที่เพิ่งจบไป เป่หมิงซิเฉิงที่รับบทเป็น ‘คนขายถั่ว’ เผชิญกับเป่หมิงซีหยางที่รับบทเป็น ‘ตัวร้าย’จากการแสดงที่มีความเป็นเอกลักษณ์ของทั้งสองและการแสดงที่สมจริงนั้น ทำให้เขาทั้งสองกลายเป็นไฮไลท์ของงานนี้ไป
***
เป่หมิงโม่นั่งอยู่เฉย ๆ ไม่มีการตอบสนองใด ๆ กู้ฮอนจึงต้องตอบแทน “คืองี้ เฉิงเฉิงกับหยางหยางเขาได้ร่วมแสดงนี้ด้วย เราจึงมาให้กำลังใจพวกเขา”
“อ๋อ แล้วเฉิงเฉิงหยางหยางอยู่ไหนล่ะ” เมื่อเป่หมิงยันได้ยินว่าเฉิงเฉิงกับหยางหยางร่วมการแสดงนี้ด้วย เขาจึงสนใจขึ้นมากระทันหัน จากนั้นหันไปรอบ ๆ
ด้วยเสียงตะโกนที่ชัดเจนจากบทเวที “อาสามค้าบบบ” เห็นเพียงหยางหยางที่กระโดดลงจากเวทีเหมือนลิงตัวน้อย ตามด้วยเฉิงเฉิงอยู่ข้างหลัง แล้ววิ่งตรงเข้ามาหาเป่หมิงยัน
เป่หมิงยันรู้สึกดีใจขึ้นมาทันที เมื่อเห็นตัวแสบสองคนนี้
เขาก้มลงเล็กน้อย แล้วเอามือแตะที่จมูกเล็ก ๆ ของหยางหยางและเฉิงเฉิง “นายสองคนไปสู้รบมาเหรอ ดูสิ ช้ำไปหมดเลย”
เมื่อได้ยินคำพูดของเป่หมิงยัน หยางหยางก็มองไปที่เฉิงเฉิงด้วยความไม่พอใจ จากนั้นสีหน้าที่น้อยใจของเขาเงยหน้ามองเป่หมิงยันด้วยน้ำตาคลอ “อาสามครับ เป็นเพราะเฉิงเฉิงคนเดียวเลย เกือบทำผมขายหน้าแล้ว……”
เฉิงเฉิงยืนอยู่อีกข้างแล้วจับมือกู้ฮอนไว้ “นายดูการซ้อมของนายเมื่อวานสิ ต้องทำให้ทุกคนขายหน้าไปด้วยอย่างแน่นอน เพราะงี้ถึงต้องแก้ไขสคริปต์ไง นายจะขายหน้าก็เรื่องของนาย ส่วนข้าไม่ยอมหรอก”
“เห็นมั้ย ๆ เฉิงเฉิงยอมรับแล้วว่าเป็นฝีมือของมันเอง” เมื่อพูดถึงจุดนี้ หยางหยางก็ได้ใจขึ้นมาอีกครั้ง “แต่นายก็เหมือนดูถูกข้าไปหน่อยนะ หยางหยางคนนี้ไม่ได้ถูกหลอกง่าย ๆ แบบนั้นหรอก ด้วยไหวพริบของข้าเอง สุดท้ายก็แสดงจบอย่างราบรื่น”
กู้ฮอนรีบหยิบทิชชูเปียกออกมาเช็ดคราบเลือดให้กับลูก ๆ แล้วพูดต่อ “เธอสองคนพูดจาต้องระมัดระวังหน่อยนะ เป็นพี่น้องกันแท้ ๆ ยังต่างคนต่างไม่ยอมกัน อย่าทำให้แม่ต้องขายหน้าตอนนี้ล่ะ”
เฉิงเฉิงเงยหน้ามองกู้ฮอน นัยน์ตาที่รู้สึกผิด “รู้แล้วครับคุณแม่ จะไม่ทำผิดอีกแล้วครับ”
ส่วนหยางหยางเปลี่ยนไปเร็วกว่าที่คิด เขายื่นมือออกไปแตะไหล่เฉิงเฉิงไว้ แล้วพูดกับคนรอบข้าง “เป็นไงบ้างครับ ทักษะการแสดงของพวกผมสองพี่น้อง เมื่อกี้ที่พวกผมแกล้งสู้กันมันเหมือนจริงมากเลยใช่มั้ยล้ะ”
คนรอบข้างนั้นทำตัวไม่ถูก แล้วมองหน้าซึ่งกันและกัน
ดูไม่ออกเลยจริง ๆ อายุน้อย ๆ ยังมีทักษะการแสดงที่ดีขนาดนี้ หรือว่าเป็นกรรมพันธุ์เฉพาะตระกูลเป่หมิงรึเปล่านะ……
หลังจากเงียบไปสักพัก นักข่าวก็เริ่มสัมพาษณ์ เผ่ามังกรตระกูล ‘เป่หมิง’ อีกครั้ง
“สวัสดีครับคุณแอนโทนี่ ผมเป็นนักข่าวจาก Herald Entertainment เท่าที่ทราบกันมาว่า ปกติคุณแสดงหนังอยู่ต่างประเทศ แล้วครั้งนี้ที่กลับเมือง A เพราะตั้งใจจะกลับมาให้กำลังใจกับการแสดงของหลานชายทั้งสองของคุณหรือไม่ครับ”
เป่หมิงยันยกคิ้วขึ้นแล้วยิ้มรับไมโครโฟนจากนักข่าว “ความจริงที่กลับมาครั้งนี้ ไม่ได้ตั้งใจกลับมาเพราะหลานชายสองคนนี้ครับ แต่ผมสละตารางเวลางานเพื่อตั้งใจกลับบ้านเยี่ยมพ่อแม่ของผมครับ”
เมื่อพูดถึงจุดนี้ เขาก็เหลือบมองเป่หมิงโม่ที่ยังคงนั่งเงียบอยู่ เป่หมิงเอ้อ นายได้ยินแล้วยัง การกลับมาครั้งนี้เพื่อตั้งใจจะมาหาแม่นะ ส่วนที่แวะเข้ามาที่นี่ก็แค่การตัดสินใจกระทันหันเท่านั้น
ต่อมาก็มีนักข่าวอีกคนถามว่า “สวัสดีค่ะ คุณแอนโทนี่ คุณรู้สึกอย่างไรกับการแสดงของคุณชายน้อยตระกูลเป่หมิงทั้งสองท่านนี้คะ”
“เฮอ ๆ ผมรู้สึกอย่างไรงั้นเหรอ พอดีตอนที่ผมมาถึงการแสดงก็จบลงแล้ว ถ้าพวกคุณอยากรู้ ก็ถามท่านผู้ชมในนี้เลยสิ” จากนั้นเป่หมิงยันหันตัวแล้วยืนไมโครโฟนไปยังผู้ชม
แน่นอนว่าผู้ชมทั้งหมดต้องให้เกียรติคนตระกูลเป่หมิงอยู่แล้ว และทุกคนตะโกนอย่างพร้อมเพรียงกันว่า “แสดงได้ยอดเยี่ยมมาก……”
***
ซึ่งเป่หมิงยันพอใจมากกับคำตอบที่ได้มา เขาดึงไมโครโฟนกลับไปแล้วโบกมือให้กับผู้ชม “ขอบคุณทุก ๆ ท่านที่ชื่นชอบหลานชายของผมทั้งสองนะครับ”
จากนั้นหันกลับมาที่นักข่าวคนนั้น “นี่คือคำตอบจากผู้ชมทุกท่าน”
“คุณแอนโทนี่คะ ในเมื่อหลานชายทั้งสองก็มีฝีมือการแสดงที่ยอดเยี่ยมแบบนี้ คุณจะสนับสนุนพวกเขาในวงการบันเทิงหรือว่าให้พวกเขาได้มีโอกาสร่วมแสดงกับคุณเลยไหมคะ”
เมื่อได้ยินคำถามนี้ เป่หมิงโม่ทำหน้าสงสัย แล้วหันมามองที่เป่หมิงยัน ดูว่าเขาจะตอบคำถามนี้อย่างไร
ส่วนเป่หมิงยันก็แอบเหลือบมองไปสบตาเป่หมิงโม่เหมือนกัน สายตาที่เยือกเย็นของเขาทำให้รู้สึกใจไม่ดีเลย ถ้าตอบคำถามได้ไม่ถูกใจเขาล่ะก็ คงไม่มีผลไม้ดี ๆ ให้กินแน่
อย่าหาเรื่องใส่ตัวหาเหาใส่หัวดีกว่า พูดอะไรที่เป่หมิงเอ้อฟังแล้วรู้สึกสบายหูดีกว่า
จากนั้นเขายิ้มอย่างนุ่มนวลแล้วตอบกลับนักข่าวคนนั้น “สำหรับการพัฒนาการของเด็ก ๆ ผมคิดว่าให้เขาได้เป็นไปตามธรรมชาติก่อนดีกว่า อีกอย่างตอนนี้พวกเขายังเด็กมาก ยังไม่รู้เป้าหมายในอนาคตของตัวเองจริง ๆ ฉะนั้นผมคิดว่าให้พวกเขาได้ตั้งใจเรียนก่อน ค่อยเป็นค่อยไปครับ” เมื่อพูดจบเขาได้แต่แอบถอนหายใจอยู่ในความคิด
นักข่าวคนนั้นนั่งลง จากนั้นยิ้มแล้วส่งไมโครโฟนไปที่เฉิงเฉิง “คุณชายน้อยเป่หมิงคะ เมื่อครู่นี้คุณก็คงได้ยินคำชมจากท่านผู้ชมทั้งหลายแล้ว อยากจะทราบว่าคุณชายไปฝึกการแสดงจากที่ไหนคะ หรือว่าปกติคุณอาแอนโทนี่จะสอนตอนอยู่บ้านคะ”
“ความจริงแล้วเป็นแบบนี้ครับ” เฉิงเฉิงยังไม่ทันตอบ ก็ถูกหยางหยางเบียดออกไป “ผมเรียนจากทีวีเองครับ เขาไม่เคยสอนพวกผมเลย อาสามของผมนะ ปกติอยู่บ้านก็คุยแต่โทรศัพท์ แล้วก็……หม้อ……อุ๊บ……”
เมื่อหยางหยางพูดถึงตรงนี้ ก็ถูกแอนโทนี่รีบก้มลงแล้วปิดปากเขาไว้
เพราะเขารู้ดี หลานชายคนนี้กล้าพูดทุกอย่าง โดยที่ไม่นึกถึงผู้คน ไม่นึกถึงสถานที่
เป็นปกติของผู้สื่อข่าวทั่วไป ที่จะยิงคำถามให้ถึงที่สุด เมื่อเขาพูดไม่จบ ก็ควรถามต่อ “นอกจากอยู่บ้านคุณอาแอนโทนี่ชอบคุยโทรศัพท์แล้ว แกยังทำอะไรอีกนะคะ”
“เหอะ ๆ จะมีอะไรอีกล่ะ ก็ต้มมาม่าในหม้อไง” เป่หมิงยันพูดด้วยรอยยิ้มที่อึดอัด
“ต้มมาม่าในหม้อ?” ผู้สื่อข่าวรู้สึกสับสนกับคำพูดนั้น