ตอนที่ 744 ว่าจ้างทนายความ
หลังจากประตูถูกปิดลง หยินปู้ฝันก็เอ่ยถามอย่างเป็นห่วงว่า “เมื่อวานนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเธอและเป่หมิงโม่”
กู้ฮอนส่ายหน้า เธอเล่าเรื่องเมื่อที่เกิดขึ้นเมื่อวานตอนบ่ายจนถึงตอนกลางคืนให้หยินปู้ฝันฟังคร่าวๆรอบหนึ่ง
เพียงแต่มีรายละเอียดมากมายที่เธอเล่าข้ามไป โดยเฉพาะข่าวที่หวีหรูเจี๋ยตามมาเมือง A ด้วย
เพราะเธอรู้ว่า ทุกคนล้วนคิดว่าหวีหรูเจี๋ยตายไปแล้ว ถ้าหากว่าผลีผลามพูดออกไปแล้วล่ะก็ เกรงว่าจะทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นมา
เมื่อหยินปู้ฝันได้ยินชื่อโม้จิ่งเฉิงชื่อนี้ เขาก็มีท่าทางตะลึงเล็กน้อย
“ปู้ฝัน นายเป็นอะไรไปน่ะ” กู้ฮอนเห็นสีหน้าเขาผิดปกติเล็กน้อย
“ไม่มีอะไร ฉันเพียงแค่จะยืนยันสักหน่อย เธอบอกว่าโม้จิ่งเฉิงใช่หรือไม่ โม้จิ่งเฉิงคนที่อยู่ด้วยกันกับคุณป้าหวีหรูเจี๋ยของฉันคนนั้น” หยินปู้ฝันเอ่ยถาม
นี่ไม่ได้ทำให้กู้ฮอนรู้สึกประหลาดใจอะไร เพราะเธอรู้ว่าเดิมคุณป้าหวีหรูเจี๋ยกับคุณแม่ของหยินปู้ฝันนั้นเป็นพี่สาวน้องสาวแท้ๆ
ดังนั้นเธอจึงพยักหน้าอย่างเงียบๆ
“เขามาทำอะไรที่นี่ แล้วรู้จักกับเธอได้อย่างไร ตอนแรกได้ยินคุณแม่ฉันบอกว่าเขาไปเมืองซาบาห์แล้วก็ไม่เคยมาปรากฏตัวที่นี่อีกเลย” หยินปู้ฝันคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจอยู่บ้าง
“ที่จริงแล้ว ฉันนับถือเขาเป็นพ่อบุญธรรมตั้งนานแล้ว ตอนแรกที่อาศัยอยู่ที่บ้านแอนนิในเมืองซาบาห์ ล้วนอาศัยเขาช่วยเหลือพวกเรา” กู้ฮอนเล่าคร่าวๆ
หยินปู้ฝันเข้าใจได้ในทันที “ที่แท้เรื่องก็เป็นแบบนี้นี่เอง”
ตอนนี้ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูห้องทำงานของเขาเบาๆ จากนั้นประตูก็เปิดออก ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาจากด้านนอก
***
หยินปู้ฝันหันหน้าไปมองชายหนุ่มที่เดินเข้ามา ใบหน้าเผยรอยยิ้มบางๆ พลางเอ่ยถาม “ขออนุญาตสอบถามครับ คุณผู้ชายท่านนี้มีเรื่องอะไรหรือ”
กู้ฮอนหมุนตัวกลับไป ใบหน้าก็ปรากฏแววตะลึงออกมา เธอรีบลุกขึ้นยืน “พ่อบุญธรรม คุณมาที่นี่ได้อย่างไรคะ”
พ่อบุญธรรมหรือ หยินปู้ฝันมองชายหนุ่มเบื้องหน้า หรือว่าเขาจะเป็นโม้จิ่งเฉิง
โม้จิ่งเฉิงยิ้มบางๆ ยกมือขึ้นมา เห็นในมือของเขาถือกระเช้าผลไม้อยู่กระเช้าหนึ่ง
กู้ฮอนรีบเดินเข้าไปอยู่ข้างกายเขา “พ่อบุญธรรม คุณหาที่นี่เจอได้อย่างไรคะ ทั้งยังเอาของมาด้วย” เธอเอ่ยแล้วก็รีบรับกระเช้าผลไม้มา วางไว้มุมหนึ่งบนโต๊ะน้ำชา
จากนั้นก็ชี้ไปที่หยินปู้ฝัน “พ่อบุญธรรม นี่คือเจ้านายควบคู่ไปกับเพื่อนสนิทของหนูค่ะ……”
เธอกำลังจะเอ่ยแนะนำต่อ แต่โม้จิ่งเฉิงยิ้มพลางตัดบทเธอ แล้วชี้ไปทางหยินปู้ฝัน “เธอน่าจะคือปู้ฝันสินะ”
นี่ทำให้หยินปู้ฝันตะลึง “พวกเราเคยพบหน้ากันหรือครับ” ภายในความทรงจำของเขาไม่เคยพบหน้ากับโม้จิ่งเฉิงมาก่อน
กู้ฮอนก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน
โม้จิ่งเฉิงเอ่ยต่อว่า “ไม่ต้องคิดหรอก ตอนที่ลุงเจอเรา เรายังเกาะอยู่บนร่างของคุณแม่เราอยู่ ลุงเพิ่งจะอุ้มเรา เราก็ร้องไห้แงๆ……”
หยินปู้ฝันถูกพูดจนใบหน้าแดงก่ำขึ้นมาในทันที รีบเอ่ยตัดบทเขาอย่างเกรงใจว่า “คุณ คุณโม้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องในวัยเด็กของผมก็ได้ครับ”
กู้ฮอนหันหน้ากลับไปก็เห็นท่าทางกระอักกระอ่วนของหยินปู้ฝัน “พ่อบุญธรรม คุณรู้จักเขามาตั้งนานแล้วหรือคะ รีบเล่าให้หนูฟังหน่อยค่ะว่าสถานการณ์ตอนนั้นเป็นอย่างไร”
เดิมห้องทำงานที่มีบรรยากาศน่าอึดอัดก็เปลี่ยนเป็นมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที
หยินปู้ฝันส่งสายตาให้กับกู้ฮอนหลายครั้ง จากนั้นก็รีบชี้ไปที่ที่นั่งด้านข้าง “คุณโม้ อ่อ ไม่สิ ลุงโม้ เชิญนั่งครับ เชิญนั่ง”
กู้ฮอนนั่งเป็นเพื่อนกับโม้จิ่งเฉิงบนเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้างโต๊ะน้ำชา หยินปู้ฝันรีบชงชาแล้ววางบนโต๊ะน้ำชา
รอจนทุกคนนั่งเรียบร้อยแล้ว หยินปู้ฝันก็เอ่ยว่า “ลุงโม้มาครั้งนี้ คงไม่ได้มาเยี่ยมผมกับกู้ฮอนหรอกใช่ไหมครับ”
กู้ฮอนไม่รอให้โม้จิ่งเฉิงพูดก็แย่งตอบแทนว่า “อย่างไร พ่อบุญธรรมไม่ได้มาเยี่ยมฉันแล้วจะมีอะไรอื่นอีกหรือ”
โม้จิ่งเฉิงยิ้มบางๆ “ปู้ฝันพูดไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย ครั้งนี่ที่ฉันมา นอกจากจะมาเยี่ยมพวกเธอสองคนแล้ว ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่อยากให้พวกเธอช่วยเหลือฉันเล็กน้อย”
หยินปู้ฝันมองกู้ฮอน ยิ้มอย่างได้ใจ “ลุงโม้ มีเรื่องอะไรที่พวกเราสามารถทำได้ ก็รีบพูดมาเถอะครับ”
“ที่จริงแล้วก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพียงแค่ตอนนี้สำนักงานของบริษัทฉันจำเป็นจะต้องว่าจ้างทนายความมาช่วยเหลือพวกเราจัดการภารกิจในชีวิตประจำวันสักหน่อย” โม้จิ่งเฉิงพูดคร่าวๆ
หยินปู้ฝันพยักหน้า “นี่ไม่มีปัญหาอะไร ขออนุญาตถามชื่อบริษัทของคุณลุงคือ….”
“บริษัทGT” โม้จิ่งเฉิงเอ่ย หยิบแก้วขึ้นมาดื่มชา
เมื่อคำพูดนี้ถูกพูดออกมา หยินปู้ฝันก็ตะลึงค้างอยู่ที่นั่น “บริษัทGTหรือครับ!” แม้ว่าเขาจะไม่อยู่ในวงการธุรกิจไปทั่วสารทิศอย่างเป่หมิงโม่ แต่ก็ไม่ได้ไม่รู้อะไรเลยบริษัทGTเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีทุนมหาศาลมาก
เขาเอ่ยต่อว่า “ลุงโม้ ผมมีข้อสงสัยอยู่ข้อหนึ่ง คุณลุงอย่าคิดเป็นอื่นนะครับ ผมได้ยินมาว่ากระทั่งคนในบริษัทยังพบหน้ากับประธานบริษัทของบริษัทGTน้อยมาก…..”
“เอาเถอะ ลุงรู้แล้วว่าเราอยากจะถามอะไร” โม้จิ่งเฉิงเอ่ยหยุดคำพูดหลังจากนั้นของเขา “บริษัทGTของพวกเรานั้นได้ทำสัญญาออกแบบตึกสำนักงานใหญ่กับบริษัทเป่หมิง ถ้าหากว่าเรามีข้อสงสัยอะไร ถามพวกเขาก็ชัดเจนแล้ว”
หยินปู้ฝันได้ยินว่าบริษัทเป่หมิงมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยแล้ว ยังจะพูดอะไรอีก เป่หมิงโม่ คนที่ฉลาดเฉลียวอย่างไอ้หมอนั่น เขายังอนุมัติในเรื่องนี้ ตัวเองยังจะมีอะไรให้พูดอีก
“ได้ ลุงโม้ งานนี้พวกเรารับแล้ว ผมจะส่งทนายความไปในไม่ช้านี้ครับ” หยินปู้ฝันพูดพลางยื่นมือออกไปทางโม้จิ่งเฉิง
โม้จิ่งเฉิงยิ้มบางๆ “ปู้ฝัน เราควรจะเรียกลุงว่าลุงเขยถึงจะถูก”
***
ลุงเขยหรือ! นี่ทำให้หยินปู้ฝันมึนงงยิ่งกว่าเดิม
แน่นอนว่ากู้ฮอนรู้สาเหตุที่มานี้ คุณป้าหวีหรูเจี๋ยใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันกับโม้จิ่งเฉิง
หวีหรูเจี๋ยก็เป็นคุณป้าของหยินปู้ฝัน โม้จิ่งเฉิงไม่ใช่ลุงเขยของเขาแล้วจะเป็นอะไร
แต่ว่าเธอไม่ทำลายหน้าต่างกระดาษบางๆ( เป็นการเปรียบเปรยเกี่ยวกับการพูดจาในเรื่องที่ทุกคนต่างทราบอยู่แล้ว ว่าเอ่ยตรงๆ ไม่อ้อมค้อมอะไร)ชั้นนี้
ที่จริงแล้วหยินปู้ฝันก็เคยได้ยินคุณแม่พูดเกี่ยวกับเรื่องของคุณป้ามาบ้าง จัดการความสัมพันธ์แล้วก็เป็นเรื่องแบบนี้จริงๆ
“ลุง……เขย” หยินปู้ฝันไม่เคยเรียกมาก่อนก็รู้สึกไม่คุ้นชินอยู่บ้างจริงๆ
โม้จิ่งเฉิงยิ้ม โบกมือไปมา “ช่างมันเถอะๆ เราอยากจะเรียกอะไรก็เรียกเถอะ”
ตอนนั้นเองกู้ฮอนที่รู้สึกขบขันก็เอ่ยเรียกหยินปู้ฝันไปตรงๆประโยคหนึ่ง “พี่บุญธรรม”
⊙﹏⊙!
ประโยคนี้เหมือนกับมีค้อนเหล็กทุบเข้ามาที่หัวใจที่เต้นเร็วด้วยความปีติยินดีอย่างแรง
แตกละเอียด ไม่เหลือแม้แต่เศษเสี้ยวเดียว
หยินปู้ฝันมองไปทางกู้ฮอนเศร้าใจ คราวนี้เขาก็ไม่สามารถคิดเพ้อเจ้อได้อีกแล้ว ไม่อย่างนั้นอาจจะกลายเป็นการร่วมประเวณีกันระหว่างพี่น้องได้
โม้จิ่งเฉิงมองไปที่พวกเขายิ้มๆ ที่จริงแล้ว เมื่อสักครู่เขามองออกเล็กน้อยว่าหยินปู้ฝันนั้นปฏิบัติกับกู้ฮอนแตกต่างจากคนทั่วไป
“ใช่แล้วปู้ฝัน คุณแม่ของเธอเป็นอย่างไรบ้าง 20 กว่าปีแล้วที่ไม่ได้พบเธอ” โม้จิ่งเฉิงเอ่ยถามแทนหวีหรูเจี๋ย
เธออยู่ที่เมืองซาบาห์มาหลายปี นอกจากคิดถึงเป่หมิงโม่แล้วที่เหลือก็คือน้องสาวเพียงคนเดียวของเธอหวีหรูซิน
เมื่อเอ่ยถึงมารดา หยินปู้ฝันก็ผ่อนคลายอย่างเห็นได้ชัด “คุณแม่ของผมร่างกายแข็งแรงดีครับ ลุงเขย คุณลุงมีเวลาว่างเมื่อไร ผมจะพาคุณลุงกลับไปพบเธอ”
โม้จิ่งเฉิงพยักหน้า “นั่นก็ดี ถึงเวลาลุงจะจัดการกำหนดการก็แล้วกัน” เขาเอ่ยจบก็ก้มหน้ามองนาฬิกา “โอ้ เวลาไม่เช้าแล้ว ลุงยังมีเรื่องที่ต้องไปทำ ต้องขอตัวก่อนล่ะ ปู้ฝัน เราจัดการเรียบร้อยแล้วก็ให้เขามาที่สำนักงานของลุงที่โรงแรมแมนดารินเลยแล้วกัน หาคนรับผิดชอบก็พอแล้ว”
หยินปู้ฝันกับกู้ฮอนส่งโม้จิ่งเฉิงออกไปจากสำนักงาน
หยินปู้ฝันโบกมือให้เขา “วางใจเถอะ ผมจะต้องเลือกทนายความที่มีความสามารถให้กับคุณลุงแน่นอน”
ส่งโม้จิ่งเฉิงจากไปแล้ว หยินปู้ฝันก็มีความรู้สึกที่บรรยายไม่ออกอย่างหนึ่งจริงๆ
เขามองกู้ฮอนที่ยืนอยู่ข้างกายตัวเอง “กู้ฮอน เธอว่าโลกใบนี้เล็กเกินไปหรือไม่ อ้อมไปอ้อมมาก็กลายเป็นครอบครัวเดียวกัน”
กู้ฮอนยักไหล่ ถอนหายใจแล้วหันหน้าไปมองหยินปู้ฝัน “ใช่แล้วๆ”
พวกเขากลับไปในห้องทำงาน หยินปู้ฝันพลิกอ่านข้อมูลทนายความทั้งหมดของสำนักงานตัวเอง
สุดท้ายก็รู้สึกว่าไม่มีใครที่เหมาะสมแม้แต่คนเดียว
สุดท้ายเขาก็เบนสายตามองไปกู้ฮอนที่นั่งอยู่ตรงข้ามโต๊ะทำงาน
“พี่บุญธรรม พี่มองฉันทำไมกัน” กู้ฮอนทำท่าทางตกตะลึงเป็นอย่างมากออกมา
หยินปู้ฝันได้ยินเธอเรียกตัวเองแบบนี้ หน้าผากก็มีเส้นเอ็นปูดขึ้นมาหลายเส้น “กู้ฮอน เธออย่าเรียกฉันแบบนี้ได้ไหม”
กู้ฮอนยิ้มบางๆ “นี่ไม่ได้ ก่อนหน้าที่เรียกแบบนั้นก็เพราะไม่รู้ว่ามีความสัมพันธ์กันแบบนี้ ในเมื่อตอนนี้รู้แล้วก็ไม่อาจจะเสียมารยาทได้ พี่ว่ามาเถอะ พี่บุญธรรม”
หยินปู้ฝันนั้นถูกเธอโจมตีใส่จนแพ้แล้วจริงๆ เขาจัดการอารมณ์ของตัวเองใหม่อีกครั้ง “ในเมื่อลุงเขยต้องการหาทนายความคนหนึ่งไปช่วยเขาจัดการภารกิจในชีวิตประจำวัน แต่ฉันดูแล้วล้วนไม่พอใจ ดังนั้นฉันตัดสินใจส่งเธอไป”
กู้ฮอนยื่นนิ้วชี้มาที่จมูกตัวเอง เอ่ยอย่างตะลึงว่า “ฉันหรือ”
หยินปู้ฝันพยักหน้า “ให้เธอไปเป็นตัวเลือกที่ดีและสมเหตุสมผลมากที่สุด ฉันคิดว่า ลุงเขยเป็นประธานบริษัทGTเธอก็เป็นลูกสาวบุญธรรมของเขา ถือว่าญาติของผู้มีอำนาจ คนอื่นๆล้วนไม่กล้ารังแกเธอ บวกกับครั้งนี้ที่พวกเขาร่วมมือกับบริษัทเป่หมิง อาศัยความสัมพันธ์ของเธอกับเป่หมิงโม่ การจัดการเรื่องระหว่างสองบริษัทนั้น ฉันไม่ต้องพูด เธอก็เข้าใจสินะ”
กู้ฮอนคิดอยู่ชั่วครู่ “แม้ว่าจะพูดเช่นนี้ แต่ความรู้ฉันยังน้อย จะรับหน้าที่นี้ได้อย่างไรกัน”
หยินปู้ฝันมองเธออย่างจริงจัง “กู้ฮอน เชื่อในตัวเอง เธอทำได้”
***
ในฐานะตัวแทนทนายความชั่วคราวของบริษัทGTสำหรับกู้ฮอนนั้นดูเหมือนว่าไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีมากเสียเท่าไร
เพราะแบบนี้ต้องคบค้าสมาคมกับบริษัทเป่หมิง พันธมิตรใหม่ของพวกเขา
นี่ก็หมายความว่า อาจจะต้องเห็นใบหน้าท่าทางเย็นชา ยากที่จะใกล้ชิดสนิทสนมได้ของเป่หมิงโม่บ่อยๆ
แม้ว่าเธอไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเป่หมิงโม่อีกแล้ว แต่มักจะมีเรื่องราวบางอย่างเกิดขึ้น ทำให้พวกเขาต้องติดต่อกัน
เหมือนกับว่าโชคชะตากำลังล้อเล่นกับเธอไม่มีที่สิ้นสุด
นอกจากต้องคบค้ากับบริษัทเป่หมิงมากขึ้นแล้ว อีกอย่างที่ทำให้เธอปวดหัวก็คือ ตอนนี้เธอต้องทำงานให้พ่อบุญธรรม แบบนี้ก็ต้องพบหน้าคุณป้าหวีหรูเจี๋ยบ่อยๆ
นับตั้งแต่คืนวันนั้น กู้ฮอนก็พบว่าความเกลียดแค้นที่ตัวเองมีต่อหวีหรูเจี๋ยนั้นไม่ได้ลึกล้ำอย่างที่เธอจินตนาการเอาไว้
บางทีเพราะผ่านประสบการณ์ขึ้นๆลงๆมา สามารถมองเรื่องราวมากมายได้อย่างเฉยเมยไม่น้อย
แต่แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ เธอก็ยังคงรู้สึกว่าตัวเองไม่มีทางจะเผชิญหน้ากับหวีหรูเจี๋ยอยู่บ้าง อย่างนั้นก็คือช่วงระยะเวลาในตอนนี้
สองวันมานี้ กู้ฮอนนั้นใช้ชีวิตไปๆมาที่โรงแรมแมนดารินกับโรงพยาบาล
รอจนจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว กลับไปหาลั่วเฉียว เด็กๆก็เข้านอนหมดแล้ว
การใช้ชีวิตแบบนี้ทำให้เธอรู้สึกเหนื่อยมาก แต่กลับรู้สึกมีคุณค่า
ตอนที่ทำงาน เธอติดต่อเพียงแค่โม้จิ่งเฉิง พยายามไม่ไปยุ่งกับหวีหรูเจี๋ย
ส่วนหวีหรูเจี๋ยนั่นก็เป็นเพราะสาเหตุต่างๆนาๆ ตั้งแต่เริ่มจนจบก็อยู่ภายในห้องพัก แทบจะไม่ได้เดินออกไปจากโรงแรมแม้แต่ครึ่งก้าว
ใช้คำพูดของเธอมาอธิบาย สำหรับเมืองนี้นั้น เธอตายไปแล้ว ยังดี ที่เธอคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตแบบนี้แล้ว เพียงแต่เธอมักจะหยิบรูปภาพของเป่หมิงโม่มาดูบ่อยๆ บางทีนี่อาจจะเป็นความหวังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในใจของเธอ
เวลาสองวันนั้นมาถึงยังรวดเร็ว เป่หมิงโม่ให้ฉิงฮัวไปเรียกเป่หมิงยี่เฟิงมาพบ