ตอนที่ 779 เหม่อลอย
โม้จิ่งเฉิงถอนหายใจยาว “พ่อคิดว่าตอนนั้นหวีหรูเจี๋ยบ้าไปแล้วจริงๆ ไม่อยากนั้นจะใจร้ายลงมือกับโม่ได้อย่างไรกัน ตอนนั้นพ่อตัดสินใจไม่ให้เธอกลับไปบ้านตระกูลเป่หมิงอีก เดิมเธอก็ถูกเป่หมิงเจิ้งเทียนแย่งเอาไป วันนี้หลังจากเธอวางยาพิษกับลูกชาย ถ้าหากว่ายังส่งเธอกลับไปอีก อย่างนั้นเธอจะต้องไม่มีชีวิตเหลือแล้ว ดังนั้นพ่อจึงซ่อนเธอเอาไว้ ในช่วงเวลานั้นพ่อก็ยังได้ยินว่าเป่หมิงเจิ้งเทียนใช้เงินทั้งใต้ดินและแบบที่ถูกกฎหมาย สาบานว่าจะต้องฆ่าหวีหรูเจี๋ยให้ได้ พ่อเห็นว่าเรื่องนี้ท่าทางไม่ดีแล้วจึงฝากให้คนแอบพาพ่อกับหวีหรูเจี๋ยออกไปส่งที่เมืองซาบาห์เงียบๆ”
“พ่อบุญธรรม คิดไม่ถึงเลยว่าหลังจากเรื่องนี้แล้วจะมีเรื่องเกิดขึ้นอีกมากมาย แต่หนูก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมคุณป้าหวีหรูเจี๋ยถึงได้กลายเป็นแบบนี้ได้ หนูก็ได้ยินคุณแม่เล่าเรื่องที่พวกเธอเคยอยู่ด้วยกัน แต่ว่าจากปากเธอ คุณป้าหวีหรูเจี๋ยนั้นมีนิสัยใจกว้าง ชอบพูดชอบหัวเราะ แต่เมื่อคิดถึงตอนที่หนูได้พบกับคุณป้าหวีหรูเจี๋ยเป็นครั้งแรกนั้น เธอก็มีท่าทางเหมือนกับตอนนี้แล้ว” กู้ฮอนก็เอ่ยคำถามที่สงสัยอยู่ในใจออกมาทีเดียว
เธอคิดว่านิสัยที่เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของหวีหรูเจี๋ยจะต้องมีสาเหตุอย่างแน่นอน
“ฮอน ลูกพูดไม่ผิดเลย นิสัยของหวีหรูเจี๋ยนั้นเปลี่ยนแปลงไปมากจริงๆ พ่อค้นพบตั้งนานแล้ว แต่ว่าในตอนนั้นเธอเป็นคนของเป่หมิงเจิ้งเทียนแล้ว พ่อไม่มีหนทางที่จะช่วยเหลือเธอได้แล้ว” โม้จิ่งเฉิงเสียดายและเสียใจอยู่เล็กน้อย
ในเวลานั้น กู้ฮอนก็คิดถึงเรื่องที่ลูกพูดกับเธอขึ้นมาได้กะทันหัน เธอหยั่งเชิงถามโม้จิ่งเฉิงอีกว่า “พ่อบุญธรรม นับตั้งแต่ที่คุณป้าหวีหรูเจี๋ยแต่งให้กับคุณท่านเป่หมิงไปแล้ว เธอมักจะไปมาหาสู่กับใครหรือคะ”
โม้จิ่งเฉิงคิ้วขมวดพลางครุ่นคิด “หวีหรูเจี๋ย เธอมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคุณแม่ของเธอและท่านนายเป่หมิงในตอนนี้มาโดยตลอด ถ้าให้พูดว่าดีที่สุดล่ะก็ อย่างนั้นก็ควรจะเป็นคุณแม่ของเธอ ไม่อย่างนั้นในตอนนั้นเธอจะฝากฝังลูกให้หวีหรูเจี๋ยดูแลทำไมกัน เพียงแต่หลายวันก่อนจะทำลูกหายไป พ่อได้ไปหาหวีหรูเจี๋ยมาก่อน ไม่กลัวว่าลูกจะเห็นเป็นเรื่องตลกหรอกนะ แม้ว่าตอนนั้นเธอจะแต่งให้กับเป่หมิงเจิ้งเทียนไปแล้ว แต่พ่อกับเธอก็ยังคงมีการไปมาหาสู่กันอยู่ ไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบนั้น แต่เป็นเหมือนเพื่อนกัน พ่อเพิ่งจะเข้าไปหลังเวทีก็เห็นเจียงฮุ่ยซินเดินออกมาจากห้องแต่งหน้าของหวีหรูเจี๋ยอย่างร้อนรน ตอนนั้นพ่อยังถามเธอเลย”
กู้ฮอนฟังถึงตรงนี้แล้ว สติก็ตึงเครียดขึ้นมา
***
สำหรับความทรงจำในอดีตของโม้จิ่งเฉิงนั้นทำให้กู้ฮอนตั้งสติให้มีสมาธิมากขึ้น อาศัยความคุ้นชินในสายอาชีพของตัวเองมาจับเบาะแสเล็กๆที่อาจจะปรากฏขึ้นในทุกประโยคของเขา
โม้จิ่งเฉิงเอ่ยต่อว่า “ตอนที่พ่อเดินเข้าไปหาหวีหรูเจี๋ยที่ด้านหลังเวทีนั้นก็เห็นเจียงฮุ่ยซินเดินออกมาจากห้องแต่งหน้าของเธอ พ่อถามเธอว่ามาหาหวีหรูเจี๋ยใช่หรือไม่ เธอก็บอกว่ามาช่วยหวีหรูเจี๋ยหาของ”
กู้ฮอนฟังถึงตรงนี้แล้วคิ้วก็ขมวดเล็กน้อย พลางพยักหน้าเบาๆ บางทีอาจเป็นเบาะแสสำคัญเบาะแสหนึ่ง
เธอเอ่ยถามต่อว่า “พ่อบุญธรรม อาการปวดหัวของคุณป้าหวีหรูเจี๋ยถูกค้นพบตั้งแต่เมื่อไรหรือคะ”
“อาการป่วยนี้มีมานานมากแล้ว ดูเหมือนว่าจะพบหลังจากที่ทำลูกหายไป อาการป่วยนี้ทรมานเธอมา 20 กว่าปีแล้ว ถ้าหากว่าเธอทำลูกหายไปแล้วต้องได้รับบทลงโทษแล้วล่ะก็ อย่างนั้นบางทีอาการป่วยนี้ก็กำลังลงโทษเธออยู่ ที่จริงแล้วพ่ออยากให้อาการเจ็บปวดนั้นอยู่ที่พ่อ เธอทุกข์ทรมานมากพอแล้ว”
โม้จิ่งเฉิงเอ่ย หน่วยตาเขาแดงระเรื่อ
ในความทรงจำของกู้ฮอน พ่อบุญธรรมเป็นผู้ชายที่เข้มแข็งมากคนหนึ่ง
แต่เมื่อพูดถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคุณป้าหวีหรูเจี๋ยแล้ว เขาก็จะกลายเป็นคนอ่อนแอ
ถ้าหากว่าทุกคนมีจุดอ่อนแล้วล่ะก็ อย่างนั้นคุณป้าหวีหรูเจี๋ยก็คือจุดอ่อนของเขา
*
กู้ฮอนเฝ้าอยู่ข้างเตียงผู้ป่วยของคุณแม่ ลมหายใจของลู่ลู่นั้นสม่ำเสมอเป็นอย่างมาก
กู้ฮอนอดไม่ได้ที่จะนึกถึงบทสนทนาระหว่างตัวเองกับพ่อบุญธรรมที่สนามหญ้าเมื่อครู่นี้อีกครั้ง
ผนวกกับเรื่องที่ลูกๆเล่าให้เธอฟัง ชั่วขณะนั้นทำให้เธอรู้สึกกลัวจนตัวสั่นเล็กน้อย
ถ้าหากว่าการหายตัวไปของตัวเองเป็นแค่แผนร้ายแผนหนึ่งล่ะก็ อย่างนั้นคนที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุดคือใคร
คือเจียงฮุ่ยซินหรือ ดูจากหลักฐานที่ตัวเองมีอยู่นั้นก็เหมือนว่าจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ
แต่เธอไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าล้วนเป็นเพื่อนสนิทที่ผ่านความยากลำบากมาด้วยกัน แล้วเกิดความโลภเมื่ออยู่ต่อหน้าผลประโยชน์อย่างนั้นหรือ ไม่ใช่เพียงเท่านี้ ยังเปลี่ยนไปจนน่ากลัวอีกด้วย
ในตอนนั้นลู่ลู่ก็รู้สึกตัวขึ้นมา เธอขยับมือเล็กน้อย
กู้ฮอนรีบยื่นมือไปคว้าจับมือของคุณแม่เอาไว้ “คุณแม่ หนูอยู่ข้างกายคุณแม่ค่ะ”
“ฮอน แม่อยู่ที่ไหนกัน” น้ำเสียงของลู่ลู่อ่อนแรงอย่างเห็นได้ชัด
“คุณแม่ ตอนนี้คุณแม่อยู่ที่โรงพยาบาลค่ะ ไม่เป็นไรแล้วนะคะ คุณหมอตรวจคุณแม่แล้วบอกว่าไม่เป็นอะไรมาก ให้ความร่วมมือกับการดูแลรักษา ใช้เวลาไม่นานมากก็จะดีขึ้นนะคะ”
ลู่ลู่พยักหน้าช้าๆ “ฮอน ขอโทษนะลูก ล้วนเป็นแม่ไม่ดีเอง”
กู้ฮอนได้ยินคำพูดของคุณแม่ ในใจก็เหมือนกับถูกมีดแทงลงมา
สภาพจิตใจของเธอในตอนนี้เหมือนกับที่โม้จิ่งเฉิงพูดไว้ เห็นคนที่ตัวเองรักได้รับความทุกข์ทรมานก็อยากจะให้ตัวเองเป็นผู้รับความทุกข์ทรมานนั้นเอาไว้เอง
“คุณแม่ คุณแม่อย่าพูดแบบนี้เลยค่ะ ล้วนเป็นความผิดของลูก ที่ไม่ได้ดูแลคุณแม่ให้ดี” กู้ฮอนพูด หยาดน้ำตาไหลรินจากนัยน์ตา
*
เวลาบ่าย กู้ฮอนขับรถกลับไปยังสำนักงาน
ตลอดทาง ใจของเธอหนักอึ้งจนทำให้รู้สึกหายใจไม่ออกเล็กน้อย
ห้องชงชาในสำนักงานกฎหมายหยินซือ มือหนึ่งของกู้ฮอนวางค้างอยู่บนปุ่มกดของเครื่องกาแฟ
เธอจมอยู่ในความคิด มองไปยังบานกระจกเบื้องหน้า
“กู้ฮอน ฉันเห็นว่าสีหน้าของเธอดูไม่ค่อยจะดี ในบ้านเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือไม่” เวลานี้เองที่หยินปู้ฝันถือแก้วเปล่าเดินจากห้องทำงานเข้ามา เห็นท่าทางแบบนี้ของเธอแล้วจึงเอ่ยถาม
กู้ฮอนสติกลับมาในทันที “ไม่ ไม่ได้มีเรื่องอะไร” เธอเอ่ย ดึงแก้วที่อยู่ในมือกลับมา หมุนตัวจะเดินออกไปข้างนอก
“กู้ฮอน เธอบอกว่าไม่มีเรื่องอะไร เธอดูแก้วในมือของเธอสิ” หยินปู้ฝันที่อยู่ด้านข้างเอ่ยเตือนขึ้นมา
กู้ฮอนก้มหน้ามองก็เห็นว่าแก้วในมือตัวเองยังคงว่างเปล่าเช่นเดิม
***
หยินปู้ฝันรับแก้วที่อยู่ในมือของเธอไป “กู้ฮอน สภาพแบบนี้ของเธอจะส่งผลกระทบต่อการทำงานได้ ทำไมจู่ๆหลายวันมานี้ถึงได้มีท่าทางเหมือนกับว่าฉันเป็นคนนอกเสียล่ะ”
“ปู้ฝัน ขอโทษนะ ช่วงนี้เรื่องภายในบ้านทำให้ฉันหมดเรี่ยวหมดแรงจริงๆ เรื่องแล้วเรื่องเล่าล้วนทำให้ปวดหัวอยู่บ้าง” กู้ฮอนเอ่ยพลางรับแก้วกาแฟแก้วหนึ่งใหม่
หยินปู้ฝันคิ้วขมวด ครุ่นคิด พลางเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่สู้ฉันให้เธอลาพักยาวไปเสียเลย เมื่อไรที่เธอคิดว่าสามารถกลับมาทำงานได้แล้ว ค่อยกลับมาก็ยังไม่สาย เธอว่าจัดการแบบนี้เป็นอย่างไร”
กู้ฮอนหันมามองหยินปู้ฝันอย่างตื้นตันใจ “ปู้ฝันขอบคุณนายมากจริงๆ”
หยินปู้ฝันโบกมือไปมา “ระหว่างพวกเรายังต้องขอบคุณกันไปขอบคุณกันมาอีกหรือ นับตั้งแต่ตอนนี้ก็ถือว่าวันหยุดยาวของเธอได้เริ่มขึ้นแล้ว รีบไปจัดการธุระของเธอเถอะ”
นับตั้งแต่ออกมาจากสำนักงาน กู้ฮอนก็รู้สึกว่าการสืบหาเกี่ยวกับการหายไปของตัวเองในเรื่องนี้นั้นไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน
ทั้งยังเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมา 20 กว่าปีแล้วด้วย อีกทั้งบุคคลที่เกี่ยวข้องมีเพียงแค่คุณแม่ คุณป้าหวีหรูเจี๋ยและคุณป้าซิน สามคนเท่านั้น
แม้ว่าพ่อบุญธรรมจะให้เบาะแสมาบ้างแล้ว แต่ว่าน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ
ช่างมันเถอะ ไม่ต้องคิดเรื่องราวมากมายขนาดนั้นแล้ว ตอนนี้ไปอยู่เป็นเพื่อนกับคุณแม่ให้มากๆหน่อยก็พอแล้ว
อาการป่วยของคุณแม่ แม้ว่าคุณหมอจะบอกว่าอาการยังดีอยู่แต่ในใจกู้ฮอนยังคงรู้สึกไม่สงบอยู่ดี
เมื่อขับรถกลับไปที่โรงพยาบาลอีกครั้ง เดินมุ่งหน้าไปยังห้องพักผู้ป่วยในระเบียงทางเดิน ด้านหน้าก็มีเงาร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเธอ
ชายหนุ่มคนนั้นรูปร่างสูงเพรียว สวมชุดสูทที่ตัดเย็บอย่างประณีต ไม่ต้องดูหน้าตา กู้ฮอนก็สามารถเดาได้ว่านี่คือเป่หมิงโม่
เขาเดินกลับไปกลับมาอยู่ที่หน้าประตูห้องพักผู้ป่วยของหวีหรูเจี๋ย
ในใจกู้ฮอนรู้ว่า ในใจของเขากำลังต่อสู้กันอยู่ อีกทั้งหลายปีมานี้ เขาแทบจะไม่เคยพูดอะไรหรืออยู่ด้วยกันกับหวีหรูเจี๋ยเลย
เผชิญหน้ากับคุณแม่หวีหรูเจี๋ยนั้นยากยิ่งกว่าการเผชิญหน้ากับเป่หมิงเจิ้งเทียนมากนัก เพราะว่าสุดท้ายแล้วหวีหรูเจี๋ยถึงจะเป็นคนที่ทำร้ายเขามากที่สุดคนนั้น
สุดท้ายแล้วเป่หมิงโม่ก็ตัดสินแล้วว่าตัวเองจะจากไปอย่างไม่สนใจแล้ว ตอนที่เขาก้าวเท้าก้าวแรกนั้น แขนของเขาก็ถูกมือขาวซีดอ่อนนุ่มดึงเอาไว้
เป่หมิงโม่หยุดฝีเท้า หมุนตัวหันกลับมามองด้านหลัง “เป็นคุณ”
กู้ฮอนพยักหน้าเงียบๆ
เมื่อเห็นกู้ฮอน เป่หมิงโม่ที่คิ้วขมวดเป็นปมก็คลายลงไม่น้อย “ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่จะพูดคุยกัน ตามผมมา”
เขาเอ่ยพลางยื่นมือไปจับมือของกู้ฮอนแล้วเดินออกไปด้านนอกโรงพยาบาล
เป็นสนามหญ้าอีกแล้ว เมื่อเช้าเธอเพิ่งจะได้รับรู้เบาะแสเกี่ยวกับเรื่องราวของตัวเองจากโม้จิ่งเฉิงที่นี่
“ได้ยินมาว่าสุขภาพของคุณแม่คุณ…..” เป่หมิงโม่จูงมือของกู้ฮอน ไม่มีทีท่าว่าจะปล่อย พวกเขายืนเคียงบ่าเคียงไหล่ ถ้าหากว่าใครที่ไม่รู้มองมา พวกเขาก็เหมือนกับคู่รักคู่หนึ่ง
“เธอยังสบายดี คุณหมอบอกว่าจำเป็นต้องเข้ารับการดูแลรักษาร่างกายสักระยะ ทำไมคุณถึงไม่เข้าไปเยี่ยมเธอล่ะ” กู้ฮอนถามกลับหนึ่งประโยค
เป่หมิงโม่ไม่ได้ส่งเสียงอะไร เพียงแต่เดินจูงมือของกู้ฮอนไปทางถนนเส้นเล็กๆ
ตอนนี้สภาพอากาศอบอุ่นแล้ว แต่มือของกู้ฮอนก็ยังรู้สึกถึงเพียงแค่ความหนาวเย็น
“ฉันรู้ ในใจของคุณกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด ไป หรือว่าไม่ไป”
เป่หมิงโม่หยุดฝีเท้า หมุนตัวพลางก้มหน้าลงมามองกู้ฮอน ส่วนกู้ฮอนนั้นกลับไม่กล้าเงยหน้ามองเป่หมิงโม่
เธอก้มหน้าลงต่ำ แต่เธอก็สามารถรู้สึกได้ถึงนัยน์ตาที่แฝงไปด้วยความร้อนดั่งเปลวเพลิงกำลังมองมาที่ตัวเอง
“คุณรู้ได้อย่างไรกัน พูดต่อไปสิ ผมสนใจอยากจะรู้มาก ว่าคุณเข้าใจมากน้อยแค่ไหนกันแน่”
***
กู้ฮอนถูกลมเย็นที่มาพร้อมกับคำพูดของเป่หมิงโม่ เธอหดคอ
เป่หมิงโม่ยกมือจับคางเธอเบาๆดันให้เธอเงยหน้าขึ้นช้าๆ “ผมคิดว่าตอนนี้ผมปฏิบัติต่อเธออย่างดีที่สุดแล้ว เดิมผมก็จะมาเยี่ยมเธอนั่นแหละ แต่ผมก็ปัดความคิดนี้ทิ้งไป ส่วนจะทำไมนั้น นั่นก็เพราะว่าบาดแผลตรงนี้ของผมยังเจ็บอยู่”
เขาพูดพลางทุบมือลงบนอก “ผมส่งเธอมาที่นี่ก็เพื่อตอบแทนบุญคุณที่เธออบรมเลี้ยงดูก็เท่านั้น ไม่มีความหมายอย่างอื่น”
สำหรับกู้ฮอนแล้วไม่รู้สึกตกตะลึงอะไรกับคำพูดของเป่หมิงโม่ น้ำแข็งหนาสามฟุต มิใช่จากความหนาวเพียงวันเดียว
“ถ้าหาก ถ้าหากว่าที่เธอทำกับคุณในปีนั้นไม่ใช่เจตนาที่แท้จริงของเธอ บางทีเธออยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ควบคุมตัวเองไม่อยู่ถึงได้ทำร้ายคุณให้บาดเจ็บไป อย่างนั้นคุณจะปฏิบัติกับเธออย่างไรกัน” กู้ฮอนรู้สึกว่าตัวเองควรจะเล่าเรื่องที่ตัวเองเข้าใจมาให้เขาได้รู้แล้ว
แม้ว่าประโยคนี้จะพูดให้กับเป่หมิงโม่ฟัง แต่ก็พูดให้ตัวเองฟังด้วยเช่นกัน
สาเหตุที่เลือกเชื่อข้อมูลเหล่านั้นที่พ่อบุญธรรมบอกกับตัวเอง ทั้งหมดก็เป็นเพราะว่าเธออาศัยอยู่ร่วมกับพวกเขามาช่วงเวลาหนึ่ง ในช่วงเวลานั้นเธอเห็นได้อย่างชัดเจนว่า หวีหรูเจี๋ยเป็นหญิงสาวที่จิตใจดีงามคนหนึ่งจริงๆ
เป่หมิงโม่จ้องกู้ฮอนเขม็ง นัยน์ตาเขาหรี่ลงเล็กน้อย เสียงอบอุ่นเปลี่ยนเป็นถามอย่างสงสัยว่า “คุณฟังเรื่องพวกนี้มาจากที่ไหนกัน”
“ถ้าหากว่าคุณยอมฟังพวกเขาอธิบายล่ะก็ ควรจะรู้ตั้งนานแล้วถึงจะถูก น่าเสียดายมากที่คุณไม่เคยให้โอกาสพวกเขา เช่นเดียวกันกับที่ตัดโอกาสของตัวเอง” กู้ฮอนมองเป่หมิงโม่ หวังว่าจะมองไม่เห็นความโกรธแค้นที่ปรากฏในนัยน์ตาของเขาอีก