ตอนที่ 817 เหล้าองุ่นรสเลิศล้ำในจอกหยก
“ละครโทรทัศน์หรือ” เป่หมิงโม่ถูกกู้ฮอนทำให้หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “คุณก็โตเป็นผู้ใหญ่ขนาดนี้แล้ว ยังจะเชื่อสิ่งที่เขียนในละครโทรทัศน์อยู่อีกหรือ ที่คนเขียนบทเขียนออกมาแบบนี้ก็เพราะว่าอิจฉาริษยาวิถีการใช้ชีวิตของเหล่าคนร่ำรวย ไม่ใช่เพื่อเพิ่มปมขัดแย้งให้มากกว่าเดิมหรอกหรือ หรือไม่ก็ถูกใช้ในส่วนของการสร้างเสียงหัวเราะตลกโปกฮา คุณก็ไม่ใช้สมองคิดสักหน่อยว่า ใครจะโง่ถึงขนาดนำของปลอมไปใช้ในงานไฮโซกัน อีกทั้งยังไม่ถูกคนอื่นพบด้วย คนที่อยู่ในงานแบบนี้ล้วนเป็นผู้ที่เคยกินเคยเห็นมาก่อนทั้งนั้น ของจริงหรือของปลอมนั้นไม่ใช่ว่าแค่พริบตาเดียวก็สามารถมองออก แม้ว่าพวกเขาจะไม่พูด แต่ก็จะแอบวิพากษ์วิจารณ์กันเงียบๆ เพียงแต่เขาไม่ได้ยินเท่านั้นเอง ถึงตอนนั้น คุณก็จะเหมือนกับนกกระจอกเทศที่ได้รับความตื่นตระหนก นึกว่ามุดหัวเข้าไปในทรายแล้วจะไม่มีที่สามารถมองเห็นตัวเองได้อีก หลอกตัวเอง”
คำพูดโต้แย้งที่เป่หมิงโม่พูดนั้นทำให้กู้ฮอนนั้นรู้สึกตะลึงค้างเล็กน้อย แม้เธออยากจะโต้กลับแต่ก็หาช่องโหว่หรือโอกาสที่จะโต้กลับไม่เจอ
จะปล่อยให้เป่หมิงเอ้อ ไอ้หมอนี่เหนือกว่าอย่างเงียบๆได้อย่างไรกัน
กู้ฮอนนั้นโกรธจนเงยหน้าอ้าปากดื่มเหล้าในจอกจนหมดในครั้งเดียว
***
เป่หมิงโม่เห็นท่าทางเป็นทุกข์ของกู้ฮอนเมื่อพูดไม่ออกก็รู้สึกสนุกขึ้นมา
เธอผู้มีฝีปากคมคายในยามปกติกลับไร้คำพูดขึ้นมา
กู้ฮอนเพิ่งจะดื่มหมดไปจอกหนึ่ง เป่หมิงโม่ก็รินให้เธอเต็มจอกอีกครั้ง “ทำไมคุณถึงได้มีนิสัยแบบนี้นะ ทำความเข้าใจอย่างผิวเผิน ในเมื่อเหล้าองุ่นคู่กับจอกหยกแล้ว คุณก็ต้องค่อยๆละเลียดชิมรสชาติ ดื่มแบบคุณเมื่อครู่นี้ จะไม่ถือว่าเหล้านี้สิ้นเปลืองแล้วหรือ”
“เดี๋ยวๆๆ…..” หลังจากกู้ฮอนดื่มเหล้าลงไปจอกหนึ่งแล้วก็ดูเหมือนว่าจะคิดอะไรขึ้นมาได้กะทันหัน รีบทำสัญลักษณ์มือให้หยุด
“ฉันยังต้องขับรถกลับไปบ้านของลั่วเฉียวนะ ดื่มเหล้าแบบนี้ ฉันจะขับรถได้อย่างไรกันล่ะ!” กู้ฮอนรู้สึกร้อนรนขึ้นมาเล็กน้อย “เป่หมิงโม่ พูดมานะ นี่คุณจงใจมอมเหล้าฉันใช่ไหม” ใบหน้าเล็กๆของกู้ฮอนมึนตึงขึ้นมาในทันที เหมือนกับว่าถูกเป่หมิงโม่ลอบวางแผนทำร้ายอย่างไรอย่างนั้น
เป่หมิงโม่กลับแสดงสีหน้าไร้เดียงสา เขาผายมือทั้งคู่ไปด้านข้าง “ผมเพียงแค่ต้องการให้คุณดูของสะสมของผม ทำไมถึงได้กลายเป็นทำทุกวิถีทางเพื่อให้คุณดื่มเหล้ากันล่ะ”
กู้ฮอนมองบนใส่เขารอบหนึ่ง “แต่งเรื่อง แต่งเรื่องต่อไป อย่างไรฉันก็ไม่เชื่อว่าจอกใบนี้จะมีอะไรเกี่ยวข้องกับเหล้าองุ่น”
มุมปากเป่หมิงโม่ยกขึ้นน้อยๆ ใบหน้าปรากฏรอยยิ้ม “คุณผิดแล้ว ผมเพิ่งจะพูดบทกลอนให้คุณฟัง คุณไม่เข้าใจความหมายหรือ จอกหยกใบนี้จะต้องคู่กับเหล้าองุ่นถึงจะสามารถพูดได้ว่าสมบูรณ์แบบ โดยเฉพาะในคืนที่พระจันทร์เต็มดวง แสงจันทร์กระจ่าง รินเหล้าลงในจอก ตัวจอกก็จะส่องแสงสว่าง กระจ่างในทันใด ทำให้จิตใจของคนนั้นเบิกบานผ่อนคลาย คึกคักเป็นอย่างมาก……”
กู้ฮอนเห็นท่าทางแบบนี้ของเป่หมิงโม่แล้วก็อดไม่ได้ที่จะเบ้ปาก โดยเฉพาะหลังจากที่เธอได้ฟังเป่หมิงโม่พรรณนาไปแล้ว ในใจก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ เพียงแต่เธอรู้สึกว่าเป่หมิงโม่พูดเกินจริงมากเกินไปหน่อย
“ฟังคุณพูดแล้วดูไม่น่าเชื่อถือเลย สรุปว่ามีอะไรดีขนาดนั้นเลยหรือ คุณอย่ามาโอ้อวดความสามารถทางด้านวรรณกรรม จงใจพูดแบบนี้เท่านั้นเองหรอกนะ” กู้ฮอนมองว่าเรื่องเป็นแบบนี้แล้ว ถ้ายังซักถามว่าเป็นความรับผิดชอบของใครก็ไม่มีประโยชน์แล้ว ดูท่าคืนวันนี้รถคงขับกลับไปไม่ได้แล้ว ถึงตอนนั้นตัวเองก็ต้องคิดหาหนทางอื่น
ต้องยืนหยัดสักหน่อย นั่นก็คือไม่สามารถพักที่นี่อย่างเด็ดขาด แม้ว่าลูกๆจะอยู่ที่นี่ แต่ก็ไม่อาจชะลอให้เป่หมิงโม่มารังแกตัวเองได้
เป่หมิงโม่ยกจอกเหล้า ถือเหล้าองุ่นที่เปิดจุกไม้แล้วก็ชี้ไปนอกห้องโถง “ถ้าคุณไม่เชื่อล่ะก็ ตามผมออกไปดูสิ” เขาพูด พลางก้าวเท้ายาวเดินออกไปด้านนอกประตู
“ดูก็ดูสิ ทำอย่างกับว่าใครกลัวคุณกันอย่างนั้นแหละ” กู้ฮอนก็ถือจอกเหล้าของตัวเอง เดินตามเขาออกไปจากห้องโถง
ทั้งสองคนเดินอ้อมสวนมาจนถึงสวนดอกไม้ด้านหลัง ที่นี่มีศาลาเล็กๆหลังหนึ่ง ด้านในมีโต๊ะเล็กๆตัวหนึ่งและเก้าอี้หวายสองตัว
ขวดเหล้าในมือของเป่หมิงโม่ถูกวางไว้บนโต๊ะเล็กๆ
เมื่อมองไปบนฟ้า ก็มีพระจันทร์กลมโตดวงหนึ่งลอยอยู่บนท้องฟ้า แสงจันทร์กระจ่างส่องลงมาที่พื้น สถานที่ที่ไม่มีแสงไฟล้วนปกคลุมไปด้วยสีเงิน
เป่หมิงโม่ถือจอกเหล้า “คุณดูสิ เหมือนกับที่ผมพรรณนาไว้ใช่ไหม”
กู้ฮอนถือจอกเหล้าของตัวเองอย่างระมัดระวัง ขยับเข้าไปข้างกายเป่หมิงโม่ นัยน์ตาทั้งคู่มองไปที่เหล้าในจอกเหล้าที่อยู่ในมือของเขา
สิ่งที่ทำให้เธอตะลึงพรึงเพริดก็คือเหล้าในจอกนั้นถูกแสงจันทร์กระจ่างส่องจริงๆ จอกหยกนั้นล้อกับแสงจันทร์กระจ่างใส
แสงที่พร่างพราวนั้นก็เหมือนกับอัญมณีที่อยู่กลางจอกอย่างไรอย่างนั้น ทำให้คนมีความต้องการที่จะดื่มมันลงไปในทีเดียว
ถัดมาเธอก็ถือจอกเหล้าจอกนั้นของตัวเอง ยังคงเย้ายวนเช่นนั้นเหมือนอย่างเคย เธอก็เหมือนกับปีศาจที่แตะจอกเข้ากับริมฝีปาก แล้วจิบไปคำหนึ่ง
***
ของเหลวเย็นเคลื่อนที่ผ่านต่อมรับรสบนลิ้น เหลือไว้เพียงแค่รสชาติหวานเบาบางเฉพาะตัวขององุ่น
ราวกับไม่รู้สึกถึงรสชาติขมฝาดแบบนั้นเหมือนกับเมื่อก่อนตอนที่ดื่มเหล้าองุ่นอีกแล้ว
อากาศค่ำคืนด้านนอกนั้นหนาวเย็นเล็กน้อย แต่เมื่อเหล้าองุ่นที่จิบไหลลงสู่ท้องก็ทำให้เธอรู้สึกถึงความอบอุ่นในช่องท้องทันที
“ทำไมเมื่อครู่ตอนที่ฉันดื่มไม่มีความรู้สึกแบบนี้กัน” กู้ฮอนอดไม่ได้ที่พูดขึ้นมาเองหนึ่งประโยค
เป่หมิงโม่ย่อตัวนั่งลงบนเก้าอี้หวาย ยกจอกเหล้าขึ้นมาแล้วดื่มเหล้าที่อยู่ในจอกจนหมดในคราเดียว จากนั้นก็ยิ้มบางๆให้กับกู้ฮอน “คุณเคยได้ยินเรื่องตือบ้วยก่ายกินผลละมุดหรือไม่ ซุนหงอคงขโมยผลละมุดมา จากนั้นก็แบ่งให้กับตือบ้วยก่ายและซาเหอซ่าง ทั้งสามคนคนละผล ตือบ้วยก่ายนั้นตะกละจึงกินเข้าไปหมดในคำเดียว จึงไม่สามารถลิ้มรสชาติอะไรออกมาได้ เขาเห็นซุนหงอคงและซาเหอซ่างสองคนกลับกินอย่างเอร็ดอร่อย ตือบ้วยก่ายมองตาเป็นมัน พลางขอร้องซุนหงอคงขโมยมาให้เขาอีก เพื่อให้เขาละเลียดลิ้มรสชาติ”
กู้ฮอนขมวดคิ้วเล็กน้อย ความรู้สึกเล็กน้อยที่บ่มเพาะเมื่อครู่ถูกเรื่องที่แฝงไปด้วยการประชดพัดพาให้มลายหายไปหมดแล้ว
เรื่องเล่าของเขานั้นตีวัวกระทบคราดอย่างเห็นได้ชัด กล้าเอาตัวเองไปเปรียบกับตือบ้วยก่าย!
เธอนั้นแทบทนไม่ได้ที่จะโยนจอกเหล้าในมือของตัวใส่เป่หมิงเอ้อ ไอ้หมอนี่จริงๆ
แต่ทำอย่างไรได้เล่า ตัวเองไม่รู้มูลค่าของจอกใบนี้ ถ้าหากว่าเป็นของสะสมล้ำค่าแล้วล่ะก็ อย่างนั้นตัวเองที่เพิ่งจะเป็นอิสระก็ต้องกลับมาอยู่ภายใต้กรงเล็บปีศาจของเขาอีก
“เฮ้ย! พูดอะไรอย่างนี้ คุณต่างหากที่เป็นหมู”
เป่หมิงโม่มองท่าทางโมโหของกู้ฮอนแล้วก็สนุกยิ่งขึ้น “หรือว่าคุณไม่ใช่กัน ดื่มเหล้าองุ่นไปหลายครั้งแล้วเพิ่งจะชิมรสชาติออก คุณว่าโง่กว่าหมูหรือไม่ล่ะ”
“ฉันดื่มเหล้าองุ่นไม่เป็นแล้วจะทำไมล่ะ อย่างมากก็ไม่ดื่มแล้ว ฉันก็ขี้เกียจที่จะอยู่ที่นี่ต่อไปแล้ว มิฉะนั้นไม่ถูกคุณรังแกจนตาย ก็ถูกคุณทำให้โมโหตาย” เธอพูดแล้วก็มองเหล้าในจอกที่อยู่ในมือของตัวเอง
เธอนั้นมีความรู้สึกหุนหันพลันแล่นอยากจะสาดเหล้าใส่เป่หมิงโม่จริงๆ แต่เธอก็ยังคิดถึงรสชาติหวานละมุนเมื่อครู่นี้อยู่
สุดท้ายแล้วเธอก็เงยหน้าดื่มเหล้าลงไป “เรียกคนขับรถไปส่งฉันกลับบ้านด้วย”
“ลืมบอกคุณไปเลยว่าวันนี้คนขับรถมีธุระ ออกไปแล้ว วันนี้ที่เฉิงกับหยางไปสอบยังเป็นผมที่ไปรับส่งพวกเขาเลย” เป่หมิงโม่ตอบเหมือนกับว่าตัวเองชนะสงครามครั้งหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น
“อย่างนั้นคุณขับรถส่งฉันกลับไป”
“……ผมก็ดื่มเหล้า หรือว่าคุณลืมไปแล้ว” เป่หมิงโม่พูดพลางโบกแก้วในมือไปมาด้านหน้ากู้ฮอน
“อ๊า!” กู้ฮอนนั้นถูกเขาทำให้โมโหมากจริงๆ เธออยากจะระบาย แต่ก็ไม่มีสิ่งของอะไรที่เธอจะใช้มาระบายได้ “เป่หมิงเอ้อ คุณถูกลิงเชิญมาทรมานฉันโดยเฉพาะใช่ไหมหา!”
“ผมมาเพิ่มคุณค่าชีวิตของคุณต่างหาก ในเมื่อไม่มีทางแล้ว ก็เชิญคุณอาศัยอยู่ที่นี่ก็พอแล้ว ที่ชั้นสองยังมีห้องว่างอยู่ห้องหนึ่ง เป็นห้องที่เฟยเอ๋ออาศัยในตอนแรก ถ้าหากว่าคุณไม่รังเกียจล่ะก็”
“ขอโทษด้วย ฉันจะไม่อาศัยอยู่ที่ห้องของคู่หมั้นคุณ ถ้าหากว่าเธอกลับมาเมื่อไหร่แล้วรู้เข้าล่ะก็คงจะไม่ดีใจ” ในที่สุดกู้ฮอนก็ค้นพบจุดเจ็บปวดของเขา จากนั้นเธอก็จับมันแน่น จากนั้นก็กระโดดเตะเข้าไป
เป็นอย่างที่คิดเอาไว้เลย สีหน้าสนุกสนานของเป่หมิงโม่นั้นแข็งทื่อในทันที เขาเงียบกริบไม่พูดอะไรอีก
กู้ฮอนวางจอกเหล้าลงบนโต๊ะเล็กๆนี้อย่างพออกพอใจ “จอกนี้คืนให้คุณ ถึงเวลาเสียหายไป ฉันไม่ชดใช้ในหรอกนะ”
เธอเอ่ยจบแล้วก็เดินออกมาจากสวนดอกไม้หลังบ้าน ตรงไปยังหน้าประตูใหญ่ ไม่มีใครไปส่งตัวเอง แล้วจะเรียกรถสักคันหนึ่งไปส่งไม่ได้หรือ
***
หลังจากกู้ฮอนเดินออกมาจากบ้านใหญ่ของตระกูลเป่หมิงแล้วถึงจะนึกขึ้นได้ว่า บนถนนสายนี้มีรถจากด้านนอกผ่านมาน้อยมาก
แม้ว่าจะเป็นรถแท็กซี่ก็สามารถพูดได้ว่าหายากมาก
ช่างมันเถอะ แม้จะไม่มีรถ แม้ว่าตัวเองจะต้องเดินกลับไป เธอก็ไม่ยินยอมพักอาศัยอยู่ที่บ้านตระกูลเป่หมิงคืนหนึ่ง โดยเฉพาะสถานการณ์ที่มีเป่หมิงโม่อยู่ด้วยอย่างนี้
เธอเดินตามทางหลวงไปก็หันมามองด้านหลังตัวเองว่ามีรถผ่านมาบ้างหรือไม่ไปพลาง
กลางวันนั้นอบอุ่น แต่เมื่อถึงเวลากลางคืนก็ยังคงหนาวเย็นเล็กน้อย โดยเฉพาะลมที่พัดผ่านร่างกายไปไม่หยุดนี่มักจะทำให้ขนลุกด้วย
“เป่หมิงโม่สมควรตาย รู้ว่าฉันขับรถมาแล้วยังจะหยิบจอกหยกออกมาโอ้อวดอีก โดยเฉพาะเอามาคู่กับเหล้าองุ่น กู้ฮอนนะกู้ฮอน ต้องโทษเธอแหละ ทำไมถึงได้ถูกของไร้สาระพวกนี้หลอกเอาได้ง่ายๆกัน กลางค่ำกลางคืนมืดขนาดนี้ ฉันต้องเดินไปถึงเมื่อไรกัน คาดว่าตอนที่เดินไปถึง เก้าอี้รถเข็นของคุณแม่ก็ต้องให้ฉันใช้แล้ว” กู้ฮอนเดินด่าว่าเป่หมิงโม่มาตลอดทาง
เพื่อความจำเป็นในการทำงานและเพื่อความปลอดภัยในการขับรถ ในรถของเธอมีรองเท้าแตะหนึ่งคู่สำรองเอาไว้ในรถบ่อยๆ เพียงแต่ว่าตอนที่จะลงจากรถก็จะเปลี่ยนเป็นรองเท้าส้นสูงแทน
เธอในตอนนี้ก็สวมรองเท้าส้นสูงพอดี
เดินระยะทางสั้นๆยังพอไหว แต่ทางระยะไกลหน่อยก็ไม่ง่ายขนาดนั้นแล้ว ขาทั้งสองข้างของเธอยิ่งเดินยิ่งเจ็บ ราวกับว่าเดินอยู่บนพรมที่มีเข็มปักอยู่อย่างไรอย่างนั้น
หลังจากที่เธอเดินออกมาจากบ้านใหญ่ของตระกูลเป่หมิงเป็นระยะทางหนึ่งกิโลเมตรแล้วก็เห็นทางด้านหน้าปรากฏแสงไฟสลัวๆของรถยนต์ จากนั้นแสงไฟก็จ้าขึ้นเรื่อยๆ เสียงของรถก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
กู้ฮอนอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปโบกมือไปยังทิศทางที่รถมาไม่หยุด หวังว่าจะพบกับคนขับรถผู้ใจดีคนหนึ่งที่จะพาตัวเองนั่งไปด้วยระยะหนึ่ง
เห็นเพียงแค่แสงไฟของรถกระพริบ ความเร็วของรถนั้นผ่านร่างเธอไปอย่างเร็วมาก
กู้ฮอนรู้สึกท้อแท้เล็กน้อยชั่วขณะ ไม่ง่ายเลยที่จะหยุดรถคันหนึ่ง แต่ดูท่าผู้อื่นกลับไม่มีท่าทางจะพาตัวเองไปด้วยระยะหนึ่งเลย
ช่างมันเถอะ ยังคงเดินกลับบ้านช้าๆด้วยตัวเองเถอะ
กู้ฮอนนั้นหมดอาลัยตายอยากอยู่บ้าง หมุนตัวกลับเตรียมจะเดินมุ่งหน้าต่อไป
แต่ที่ทำให้เธอคิดไม่ถึงก็คือ รถคันที่เพิ่งผ่านไปนั้นจอดอยู่ในสถานที่ด้านหน้าที่ไม่ไกลนัก
ตอนนี้กู้ฮอนเหมือนกับมองเห็นความหวัง เธอเดินเข้าไปหารถคันนั้นอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าดูแล้วระยะทางระหว่างรถอยู่ห่างจากตัวเองสั้นๆประมาณร้อยเมตร แต่ว่ากู้ฮอนกลับวิ่งอย่างยากลำบาก
นั่นก็เป็นเพราะว่ารองเท้าของตัวเองไม่เหมาะกับการวิ่ง วิ่งไม่เร็วนั้นไม่พูด อีกทั้งยังเท้าเคล็ดได้ง่ายๆบ่อยๆ
เธอกังวลว่าคนขับในรถคันข้างหน้าจะรอจนร้อนใจ จึงโค้งตัวลงถอดลงเท้าออกมา แบบนี้ก็วิ่งเร็วขึ้นเยอะแล้ว