เทพปีศาจผงาดฟ้า – ตอนที่ 91

ตอนที่ 91

ตอนที่ 91 น่ากลัวยิ่งกว่าอสูรกาย

แต่ในขณะที่จอมราชันย์พยัคฆ์ได้เดินไปหาราชินีเมี่ยนั้น เขาก็ถึงกับหยุดชะงัก และสีหน้าพลันเปลี่ยนไปทันที

“ดูท่าในที่สุดเจ้าก็มาสินะ!!” จอมราชันย์โครงกระดูกเอ่ยออกมาเมื่อสังเกตเห็นบางสิ่งบางอย่าง

ไม้ใหญ่พลันปรากฏเป็นกำแพงขึ้นขวางกั้นระหว่างจอมราชันย์อสูรกายทั้งสองกับองค์ราชินีเมี่ยไว้..

“เหตุใดพวกเราจึงต้องไม่มาด้วยเล่า? ในเมื่อทุกเผ่าล้วนมาที่นี่กันหมด เผ่าเอลเฟียของเราจักหดหัวอยู่ได้อย่างไรกัน? เหล่านักรบเผ่าเอลเฟียหาได้ขี้ขลาดตาขาวเช่นนั้นไม่!”

น้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความหนักแน่นดังกังวานขึ้น ในขณะที่กองทัพขนาดใหญ่นำโดยคนขี่ม้าสองคน กำลังพุ่งทะยานมาจากด้านขวาของสนามรบ

เหล่าจอมราชันย์อสูรกายทั้งหมดต่างก็หันหน้ามองไปในทิศทางเดียวกัน รวมทั้งจอมราชันย์กระทิง และจอมราชันย์หมีที่กำลังจัดการอยู่กับมาซูมัสและบาล่าด้วย..

“พวกมันมาแล้วรึ!! ก็ดี.. พวกเราจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปตามไล่สังหารพวกมันทีหลัง ฮ่าๆๆๆ” จอมราชันย์กระทิงร้องตะโกนออกไปพร้อมกับหัวเราะร่วน

“เวลานี้ขาดก็แต่เจ้ามนุษย์นั่นเพียงผู้เดียวเท่านั้น!!” จอมราชันย์หมีเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นกองทัพของเผ่าเอลเฟียมาถึง

“หึ.. ช่างน่าสนใจยิ่งนัก! พวกมันกลยุทธ์ในการสร้างความโกลาหลวุ่นวายเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย แล้วพวกเด็กๆของเราก็หลงกลพวกมันเสียด้วยสิ!” จักรพรรดิเชนเทียเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่นึกขัน

“เจ้ากล่าวได้ถูกต้อง! พวกเขายังต้องเรียนรู้อีกมาก.. หนึ่งในนั้นคือต้องมิละสายตาจากคู่ต่อสู้! แต่เอาเถิด.. ให้พวกเขาค่อยๆเรียนรู้เอาเอง มิต้องไปบอกกล่าว..” จักรพรรดิทารัสเอ่ยตอบเสียงเบา

เหล่าจอมราชันย์อสูรกายมัวแต่จดจ่ออยู่กับการมาถึงของเผ่าเอลเฟีย จึงมิทันสังเกตเห็นว่าไม้เล็กมากมายได้ปรากฏขึ้นข้างกายพวกเขา และค่อยๆเติบใหญ่อย่างรวดเร็ว ก่อนจะค่อยๆกลืนร่างของหัวหน้าเผ่าที่นอนบาดเจ็บปางตายอยู่บนพื้นไว้ และเมื่อจอมราชันย์อสูรกายทั้งหลายรู้สึกตัวอีกทีก็สายเกินไปเสียแล้ว เพราะต้นไม้ได้หยั่งรากลึกลงไปในดิน และเติบใหญ่อย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นกำแพงต้นไม้หนาทึบอยู่ตรงหน้าราชินีเมี่ยที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่

เวลานี้.. เหล่านักรบเผ่าแบนชีที่รวมกลุ่มกันได้อีกครั้ง ก็ได้เข้าไปผนึกรวมอยู่กับกองทัพของเผ่าแบนชีแล้ว!

“คิดไม่ถึงว่าข้าจักได้เห็นองค์ราชินีเมี่ยคุกเข่าต่อหน้าศัตรูเช่นนี้!” หัวหน้าเผ่าเท็นช่าที่ยืนอยู่ข้างๆเอ่ยขึ้น

“ท่านเองก็มาได้ทันเวลาเช่นเคยสินะ.. ท่านเท็นช่า!” ราชินีเมี่ยเอ่ยประชดประชันตอบกลับไป

“ข้าเป็นสุภาพบุรุษ.. และสุภาพบุรุษย่อมต้องมาช่วยสุภาพสตรีได้ทันเวลาอยู่แล้ว เอาล่ะ.. ท่านลุกขึ้นได้แล้ว!” เท็นช่าหัวเราะพร้อมกับยื่นมือออกไปทางราชินีเมี่ย

เท็นช่ายื่นมือออกไปให้ราชินีเมี่ยเพื่อให้นางจับและพยุงตัวลุกขึ้น แต่นางกลับเพียงแค่จ้องมองเท็นช่าด้วยสีหน้าแววตาว่างเปล่า และด้วยเรือนร่างที่ถูกปิดบังไว้ด้วยเสื้อคลุมยาว เท็นช่าจึงมิได้เห็นท่าทางการเคลื่อนไหวที่อยู่ภายในของนาง เขาคิดว่านางมิต้องการจับมือของตน จึงได้ดึงมือกลับด้วยท่าทางเก้ๆกังๆ

องค์ราชินีเมี่ยจำต้องค่อยๆ กระเสือกกระสนลุกขึ้นยืนด้วยตัวเอง และเป็นไปอย่างลำบากยากเย็น เพราะร่างกายของนางยังอยู่ในสภาพที่ีอ่อนแอยิ่ง เมื่อลุกขึ้นได้นางจึงหันมองไปรอบๆ และพยายามที่จะมองหาใครบางคน

“มนุษย์ผู้นั้นมิได้มาด้วยรึ? เหตุใดท่านจึงมาที่นี่เพียงผู้เดียวเล่า?” ราชินีเมี่ยเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าประหลาดใจ

“ท่านหลงเฉินยุ่งอยู่กับการฝึกวรยุทธ พวกเรามิสามารถติดต่อสื่อสารกับเขาได้ อีกอย่างพวกข้าเองก็มีเวลาจำกัด จึงต้องรีบเร่งมาโดยมิมีเขาเช่นนี้ แต่ข้าก็ได้ให้คนรอแจ้งข่าวร้ายนี้แก่เขาอยู่ที่เผ่า และขอให้เขาตามมาช่วยพวกเราที่นี่โดยเร็วที่สุด!”

“ข้าซาบซึ้งใจยิ่งนักที่พวกท่านรีบรุดมาช่วยเช่นนี้ เพียงแต่การมาโดยมิมีมนุษย์มาด้วย รังแต่จะเป็นการเพิ่มจำนวนศพเสียมากกว่า พวกเราคงต้องพ่ายแพ้สงครามให้แก่เผ่าอสูรกายเป็นแน่ ท่านมิเห็นรึว่า.. จอมราชันย์อสูรกายทั้งหลายที่ยืนอยู่นั้น ได้รับบาดเจ็บไปเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น ในขณะที่จักรพรรดิของพวกมันยังมิได้ลงมือด้วยซ้ำไป ส่วนหัวหน้าเผ่าต่างๆของฝ่ายเรากลับพ่ายแพ้ให้แก่พวกมันอย่างง่ายดาย และได้รับบาดเจ็บกันสาหัสนัก พวกท่านควรจะอยู่ที่เผ่าของตนและรักษาชีวิตให้ปลอดภัย อย่างน้อยเหล่าอสูรกายก็จักไม่ยินดีที่ได้สังหารพวกเราทุกเผ่าจนสิ้นเช่นนี้” องค์ราชินีเมี่ยเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าที่เศร้าหมอง

“ข้า.. ข้าเสียใจด้วย!” หัวหน้าเผ่าเท็นช่าได้ฟังก็ได้แต่พึมพำออกไปด้วยความรู้สึกผิด

ซูเห็นท่าทางของเท็นช่าก็ได้แต่ยกศอกขึ้นกระแทกแผ่นหลังของเขา เพื่อเตือนให้รักษาท่าทีสง่างามของหัวหน้าเผ่าไว้..

“ไม่มีเขา.. พวกเราก็หมดหวังที่จะเอาชนะ หรือแม้แต่จะเอาชีวิตรอดไปได้!” ราชินีเมี่ยออกความเห็น

“เอาล่ะ.. ในเมื่อพวกเจ้ามากันพร้อมหน้าพร้อมตาเช่นนี้ เสมือนอาหารทุกจานได้ถูกนำขึ้นโต๊ะจนหมดแล้ว ฉะนั้น.. ได้เวลาที่พวกเราจะกินให้อิ่มหนำสำราญแล้ว! อ่อ.. จะขาดก็แต่ของหวาน.. ซึ่งก็คือเจ้ามนุษย์เด็กนั่น!”

จอมราชันย์หมีร้องตะโกนออกไป โดยมีจอมราชันย์พยัคฆ์ และจอมราชันย์โครงกระดูกส่งเสียงหัวเราะตามมา

“นั่นสินะ!! เหตุใดเจ้ามนุษย์ผู้นั้นยังมิปรากฏตัวอีกเล่า หรือมันหวาดกลัวจนถึงกับต้องหดหัวซ่อนอยู่ด้านใน และปล่อยให้พวกเจ้าออกมาเผชิญกับความตายเพียงลำพังเช่นนี้ แต่พวกเจ้ามิต้องกังวลไป หลังจากที่สังหารพวกเจ้าตายจนหมดแล้ว ข้าก็จะให้มันลิ้มรสความตายด้วยเช่นกัน..” จอมราชันย์พยัคฆ์ร้องบอกด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

“นี่เจ้าพูดถึงเรื่องอะไรกัน?! มนุษย์นั่นมิได้อยู่ที่นี่!” องค์ราชินีเมี่ยเอ่ยตอบจอมราชันย์พยัคฆ์ในทันที

“เจ้าคิดว่าจะหลอกพวกเราได้ง่ายๆงั้นรึ? พวกเราได้รับรายงานว่ามนุษย์ผู้นั้นอาศัยอยู่ในเผ่าของเจ้า!!” จอมราชันย์โครงกระดูกกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงดุดัน

“เขาเคยอยู่ที่นี่.. แต่เวลานี้ได้ออกจากเผ่าของข้าไปนานแล้ว ในเมื่อเจ้าได้รับรายงานว่าเขาอยู่ที่นี่ แล้วเหตุใดจึงมิได้รับรายงานว่าเขาจากไปแล้วเล่า?” องค์ราชินีเมี่ยเอ่ยถามจอมราชันย์พยัคฆ์ด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน

“หากเขายังอยู่ที่ที่นี่จริง ป่านนี้พวกเจ้ายังจักสามารถยืนอยู่ตรงนี้ได้ โดยที่ศรีษะยังอยู่บนบ่างั้นรึ?” องค์ราชินีเมี่ยเอ่ยถามจอมราชันย์พยัคฆ์ด้วยสีหน้าดุดันยิ่ง

เมื่อได้ยินคำพูดขององค์ราชินีเมี่ย จอมราชันย์อสูรกายทุกตนต่างก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที แม้แต่จักรพรรดิทั้งสองยังถึงกับตกใจเช่นกัน!

“นั่นสินะ.. มาคิดๆดูแล้ว ตั้งแต่มาถึงที่นี่ข้ายังมิเห็นขุนพลที่คอยจับตาดูมนุษย์ผู้นั้นอยู่ที่นี่เลย!!” จอมราชันย์พยัคฆ์พึมพำออกมา แต่เหล่าจอมราชันย์อสูรกายตนอื่นๆต่างก็ได้ยินอย่างชัดเจน

จอมราชันย์พยัคฆ์หันมองไปรอบๆด้วยสีหน้าเคร่งเครียด คล้ายพยายามมองหาใครบางคน..

“เบกค์!!” จอมราชันย์พยัคฆ์ร้องตะโกนเรียกขุนพลเบกค์เสียงดังลั่นสนามรบ

“หากเขามิได้อยู่ที่นี่.. ย่อมมีคำอธิบายเพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้นคือ.. เขาถูกสังหารตายแล้ว!” จอมราชันย์พยัคฆ์เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าที่หวาดกลัว

“ราชินีเมี่ย.. นี่เจ้าฆ่าขุนพลของเผ่าอสูรกายเพื่อช่วยให้มนุษย์นั่นหนีไปงั้นรึ?! เจ้าสมควรต้องตายสถานเดียว!!” จอมราชันย์โครงกระดูกร้องตะโกนออกมาด้วยความโกรธแค้น

“นี่เจ้าคิดว่าข้าต้องช่วยเขาสังหารขุนพลอ่อนแอสักตนงั้นรึ? ฮ่าๆๆๆ” ราชินีเมี่ยหัวเราะเสียงดังพร้อมกับจ้องมองไปทางเหล่าจอมราชันย์อสูรกาย

“พวกเจ้าอยากรู้หรือไม่ว่า เหตุใดครั้งนี้ข้าจึงมิใช้ปราการป้องกันเพื่อดึงเวลา?” ราชินีเมี่ยเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าที่นึกขบขันยิ่ง

“เพราะเหตุใดกันรึ?!” จอมราชันย์หมีอดที่จะถามออกมามิได้

“ก็เพราะว่าปราการนั่นได้ถูกทำลายไปแล้วน่ะสิ!! พวกเจ้าเองก็น่าจะพอคาดเดาได้ว่าเป็นฝีมือของผู้ใดมิใช่รึ?” ราชินีเมี่ยเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าเย้ยหยัน

เหล่าจอมราชันย์อสูรกายต่างก็หันมองไปทางจักรพรรดิทั้งสอง ที่กำลังหันไปมองหน้ากันเองอยู่เช่นกัน ทั้งคู่ต่างก็มีสีหน้าตกใจพร้อมกับส่ายหัวไปมา แต่ก็มิเอ่ยออกมาว่าเป็นฝีมือของผู้ใด..

“พวกเจ้ามิจำเป็นต้องหันไปมองหน้ากันเช่นนั้น มิใช่ฝีมือของอสูรกายเป็นแน่.. แต่เป็นผู้ที่น่ากลัวยิ่งกว่าอสูรกายเช่นพวกเจ้ามากมาย!!”

องค์ราชินีเมี่ยเอ่ยขึ้นพร้อมกับภาพนาทีแห่งชีวิตของตนก่อนหน้านี้ ก็ได้ปรากฏขึ้นในห้วงความทรงจำของนาง

เทพปีศาจผงาดฟ้า

เทพปีศาจผงาดฟ้า

Status: Ongoing

เทพปีศาจผงาดฟ้า เขาฟื้นสติตื่นขึ้นมาในร่างและผืนพิภพแห่งใหม่ หลังจากที่ล่วงลับตายจากไปในโลกก่อนหน้า หลงเฉินเริ่มออกเดินทางครั้งใหม่ในผืนพิภพที่เต็มไปด้วยเทพเซียนและมารปีศาจ สิ่งมีชีวิตลึกลับมากมายหลายหลาก และมนุษย์ที่สามารถบ่มเพาะพลังจนขึ้นกลายเป็นยอดฝีมือผู้ไร้เทียมทาน พร้อมผงาดขึ้นสู่จุดสูงสุดแห่งผืนพิภพทั้งมวล หนทางเบื้องหน้าของเขามิได้เรียบง่ายอย่างที่คิด จำต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมายเกินคณานับ สังหารทุกคนที่เข้าขัดขวาง ยอดผู้ฝึกยุทธ์พเนจรท่องโลกาท้ายุทธภพสุดขอบฟ้า จนกลายเป็นที่รู้จักในนามเทพปีศาจแห่งจักรวาล ปกครองความเป็นและความตาย แม้กระทั้งสรวงสวรรค์ยังต้องก้มกราบต่อหน้าเขา!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท