บทที่ 883 นักแสดงยอดฝีมือ
ประโยคนี้ของเป่หมิงโม่ทำให้กู้ฮอนและฉิงฮัวที่โล่งใจเล็กน้อยเมื่อครู่กลับมาตึงเครียดอีกครั้ง
โดยเฉพาะกู้ฮอน เธอมองไปตามสายตาของเป่หมิงโม่ก็เห็นว่าด้านหลังตู้เล็กๆ บริเวณมุมกำแพงมุมหนึ่งที่ไม่ห่างจากพวกเขามากนักมีบางสิ่งถูกคลุมอยู่บนพื้นด้วยผ้ากองหนึ่งกำลังเคลื่อนไหวเล็กน้อย
ใต้ผ้าคลุมผืนนั้นคงจะไม่ใช่จิ่วจิ่วหรอกนะ!
คราวนี้จบเห่แล้ว
กู้ฮอนนั้นแทบจะจินตนาการออกว่า เป่หมิงโม่จับทารกน้อยออกมาจากในกองผ้ากองนั้น จากนั้นก็พาเธอไปจากที่นี่โดยไม่หันหลังกลับมา เธอเห็นแม้กระทั่งใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวของจิ่วจิ่ว
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เธอก็รู้สึกถึงความเย็นที่ค่อยๆไล่ขึ้นมาตามแผ่นหลังของตัวเอง
“อะไร อะไรหรือครับ” ไม่เพียงแต่กู้ฮอนที่สังเกตเห็น แม้แต่เฉิงเฉิง หยางหยาง และฉิงฮัวก็สังเกตเห็นถึงสายตาของเป่หมิงโม่
ยังดีที่หยางหยางมีไหวพริบ พูดไปพลาง แสร้งทำเป็นมองดูไปรอบๆไปพลาง ทั้งยังโยกตัวไปมาด้านหน้าเป่หมิงโม่ คิดจะรบกวนการมองเห็นคุณพ่อ
ในนัยน์ตาของเป่หมิงโม่นั้นไม่อาจทนต่อความไม่สมเหตุสมผลได้ เขาหันหน้ามามองกู้ฮอนและฉิงฮัวที่สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นก็ยื่นมือดันหยางหยางที่โยกตัวไปมาอย่างวุ่นวายอยู่เบื้องหน้าให้หลบไป
อาจเป็นเพราะมือของเขาออกแรงมากไปหน่อย ร่างเล็กๆของหยางหยางจึงซวนเซไปด้านข้างเหมือนกับถูกลมพัดปลิวอย่างไรอย่างนั้น โชคดีที่เฉิงเฉิงมีปฏิกิริยารวดเร็วจึงเข้ามาประคองเขาเอาไว้ได้ทัน ไม่ปล่อยให้เขาหกล้มหรือว่าชนเข้ากับสิ่งอื่นๆ
เป่หมิงโม่เดินไปหยุดอยู่หน้าตู้ที่อยู่ตรงมุมหนึ่งของกำแพง มองกองผ้าที่ขยับเล็กน้อยด้านล่าง
คาดว่าคนที่หลบอยู่ด้านใต้น่าจะเป็นเด็กผู้หญิงคนนั้นสินะ
เขายื่นมือออกไปช้าๆแล้วเลิกผ้าด้านบนขึ้น
ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงได้รู้สึกลังเลขึ้นมา
สายตาของกู้ฮอนจ้องเขม็งอยู่ที่มือของเขา ให้ความสนใจกับทุกการกระทำของเขา
ท้ายที่สุด เป่หมิงโม่ก็ยังคงเลิกผ้ากองนั้นขึ้น
สิ่งที่ถูกอำพรางไว้อยู่ด้านล่างนั้นทำให้เป่หมิงโม่นั้นต้องคิ้วขมวด ใบหน้าของเขาเย็นชาเหมือนน้ำแข็ง เขาหมุนตัวหันกลับมามองลูกชายทั้งสองคนของตัวเองในทันที สามารถมองออกได้ว่าแววตาของเขาในตอนนี้นั้นเต็มไปด้วยความโมโห
สำหรับหยางหยางที่ถูกคุณพ่อใช้มือกระชากเมื่อครู่นี้ นั้นเจ็บอยู่บ้างจริงๆ แต่ในตอนนี้ ใบหน้าของเขากลับเผยแววได้ใจออกมาเล็กน้อย
เพียงแต่ว่าเขาก็เก็บซ่อนมันเอาไว้ได้อย่างรวดเร็ว
“ไอ้หยา! ‘เชี่ย’ ที่แท้แกก็มาหลบอยู่ตรงนี้นี่เอง ทำให้ฉันที่กำลังหานางเอกเมื่อครู่นี้ต้องให้หยางหยางมาแทนตำแหน่งของแก เพราะหาแกไม่เจอ เพียงแต่ยังดี พวกเราเพิ่งจะเริ่มฝึกซ้อมกันก็ถูกคุณพ่อกวนให้วุ่นวายไปแล้ว ในเมื่อหาแกเจอแล้ว บทบาทนั้นยังคงให้แกแสดงจะดีกว่า”
หยางหยางเดินไปหยุดอยู่เบื้องหน้าเบลล่า เอ่ยตำหนิต่อหน้าเป่หมิงโม่ไม่หยุด แต่ก็ยังแสดงออกได้อย่างเป็นธรรมชาติและคล่องแคล่ว นี่ถือว่าไม่ได้ใช้เวลาอยู่กับเป่หมิงยันไปอย่างเสียเปล่า ยังเรียนรู้ทักษะการแสดงมาได้ไม่มากก็น้อย
เพียงแต่เมื่อพูดแบบนี้แล้วกลับทำให้เฉิงเฉิงโกรธ
ใบหน้าเล็กๆของเขากลายเป็นสีแดงเข้มแล้วแอบด่าหยางหยางในใจ ถ้าไม่ใช่เพื่อคุ้มครองน้องสาวแล้วล่ะก็ เขาคงจะไม่ร่วมมือกับหยางหยางแสดงละครแบบนี้ออกมาต่อหน้าคุณพ่อหรอก”
ไม่นึกเลยว่าจะพูดถึงตัวเองเหมือนกับว่าแม้กระทั่งสุนัขตัวหนึ่งก็ยังสู้ไม่ได้
เฉิงเฉิงยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห จนถึงสุดท้ายเขาก็อดทนไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงโยนวิกผมเปียที่อยู่บนศีรษะของตัวเองลงบนพื้นอย่างแรง “เป่หมิงซีหยาง หลังจากนี้ฝันไปเลยว่าจะให้ฉันช่วยเหลือนาย บทละครเรื่องนี้นายอยากจะหาใครมาแสดงก็หาไปเถอะ!”
เขาเอ่ยจบแล้วก็หน้าตึงหมุนตัววิ่งลงไป
***
เมื่อแสดงมาจนถึงขนาดนี้แล้ว หยางหยางกลับไม่ได้ทำเสียแผน เขารู้ว่าครั้งนี้เฉิงเฉิงโกรธตัวเองแล้วจริงๆ แต่คุณพ่อยังอยู่ที่นี่ ละครเรื่องนี้ก็ต้องแสดงต่อไป
แบบนี้ก็ทำให้เบลล่าลำบากแล้ว มันเงยหน้าขึ้น ใช้นัยน์ตาโศกเศร้าเสียใจมองไปที่เจ้านายตัวน้อยของตัวเอง ใบหูลู่ลงฟังเจ้านายวิพากษ์วิจารณ์ตัวเอง
“หงิง……” สุดท้ายแล้วมันก็ตามเฉิงเฉิงไปหลังจากที่เฉิงเฉิงออกไปจากที่นี่ในเวลาไม่กี่วินาที
หยางหยางถอนหายใจ “เฮ้อ……ตอนนี้ทำไมสร้างสรรค์ศิลปะถึงได้ยากเย็นขนาดนี้กันนะ”
จากนั้นสายตาเขาก็ไปตกลงบนร่างของฉิงฮัวที่อยู่ไม่ไกลนัก
ฉิงฮัวในตอนนั้นถูกสถานการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นตรงหน้าทำให้รู้สึกงุนงงประหลาดใจ เพียงแต่สามารถยืนยันได้ว่าเจ้านายไม่ได้พบกับจิ่วจิ่ว นี่ทำให้เขาโล่งใจเล็กน้อย
แต่เมื่อสบตาเข้ากับหยางหยาง จู่ๆก็รู้สึกว่าตัวเองควรจะไปจากที่นี่จะดีกว่า
เป็นอย่างที่คิดเอาไว้เลย หยางหยางอ้าปากพูด “คุณลุงฮัว ช่วยกู้สถานการณ์ก็เหมือนกับไปช่วยดับไฟนะครับ พวกเขาล้วนหนีไปแล้ว ไม่สู้คุณมาเป็นดารารับเชิญในบทบาทนี้ให้ผมหน่อยดีหรือไม่”
“เอ่อ…..ตอนนี้ผมควรจะลงไปดูลั่วเฉียวกับลูกแล้ว พวกเธอแม่ลูกสองคนไม่มีใครดูแล ผมรู้สึกไม่ค่อยวางใจ เจ้านาย ผมขอตัวก่อนนะครับ” ฉิงฮัวเอ่ยจบก็เดินหายวับไปกับตา
สาเหตุที่เขาจากไปอย่างวางใจ ที่พูดไปเมื่อครู่ก็เป็นสาเหตุหนึ่ง อีกสาเหตุหนึ่งก็คือ อย่างไรเจ้านายก็หาจิ่วจิ่วไม่เจอ อีกทั้งนี่ก็เป็นเรื่องในครอบครัวพวกเขา ในฐานะที่ตัวเองเป็นคนนอกก็ไม่สะดวกที่จะยื่นมือเข้าไป
เฉิงเฉิงและฉิงฮัวไม่อยู่แล้ว เหลือเพียงแค่กู้ฮอน เป่หมิงโม่ และหยางหยางที่ยังอยู่ที่บนห้องใต้หลังคา
ดูเหมือนว่าบรรยากาศในตอนนี้จะตึงเครียดเล็กน้อย หยางหยางที่ฉลาดเป็นกรดก็เขยิบไปที่ประตูลิฟต์โดยสารไปพลาง เอ่ยพูดด้วยการเลียนน้ำเสียงของฉิงฮัวไปพลาง “ผมว่าผมก็ควรไปจากที่นี่แล้ว ผมไม่วางใจเท่าไรที่จะให้ ‘เชี่ย’ ที่เป็นสุนัขอยู่ข้างล่างตัวเดียว”
เอ่ยจบแล้วก็ไม่รอให้คุณแม่พูดอะไร รีบเผ่นแนบไปจากห้องใต้หลังคาด้วยความรวดเร็ว
ห้องใต้หลังคาชั้นสามจึงเหลือเพียงคนสองคนที่ยืนอยู่เงียบๆ พวกเขาสบตากัน แต่กลับไม่พูดอะไร
สุดท้ายก็ยังเป็นเป่หมิงโม่ที่เปิดปากพูดก่อน “คุณรู้หรือไม่ว่าผมมาที่นี่ทำไม”
ภายในใจกู้ฮอนนั้นตึงเครียดเป็นอย่างมาก แต่ว่าก็ยังแสดงออกมาอย่างสงบนิ่งเช่นเคย เธอคว้าหยิบเก้าอี้ตัวหนึ่งมานั่ง “ฉันไม่ใช่พยาธิในท้องคุณนะ จะไปรู้ได้อย่างไรว่าคุณมาทำอะไรที่นี่ ฉันว่าอย่างน้อยก็คงไม่ใช่เพื่อมาเยี่ยมชมบ้านหลังนี้อย่างน่าเบื่อหน่ายหรอก”
เป่หมิงโม่สืบเท้าก้าวเข้าไปหากู้ฮอนอย่างช้าๆ จนกระทั่งระยะห่างระหว่างพวกเขาเหลือไม่ถึง 10 เซนติเมตรแล้วถึงได้หยุดลง
ในตอนนี้เขาสามารถได้ยินเสียงลมหายใจที่เปลี่ยนไปไม่สม่ำของเธอได้อย่างชัดเจน
เขาโค้งกายลงมา มือทั้งสองข้างยันอยู่บนที่ท้าวแขนของเก้าอี้ กักขังกู้ฮอนเอาไว้บนนั้นอย่างแน่นหนา จากนั้นก็เคลื่อนใบหน้าเข้าไป เอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำมาก “ผมคิดว่าคุณน่าจะชัดเจนมากนะ ตอนที่ผมปรากฏตัวอยู่ที่หน้าประตู คุณก็รู้แล้วว่าเป้าหมายที่ผมมาที่นี่คืออะไร”
เขาเอ่ยถึงตรงนี้ ก็จงใจลากเสียงยาวเล็กน้อย แล้วค่อยๆเอ่ยพูดว่า “ผม อยาก จะ เจอ ลูก”
ทุกคำพูดที่ออกมาจากปากของเขานั้นชัดถ้อยชัดคำอย่างไร้ที่เปรียบ ทุกๆตัวอักษรนั้นล้วนกระแทกเข้ากับหัวใจกู้ฮอนอย่างแรง
“เมื่อครู่นี้คุณก็พบแล้วไม่ใช่หรือ ลูกทั้งสองคนอยู่กับฉันที่นี่ไม่ได้แย่ไปกว่าอยู่ที่บ้านใหญ่ของตระกูลเป่หมิง อีกนัยหนึ่งก็คือ อาจจะใช้ชีวิตได้ดีกว่าเล็กน้อยด้วยซ้ำ” กู้ฮอนยังคงรักษาท่าทางสงบนิ่งเอาไว้
***
นับตั้งแต่ชั่ววินาทีที่เป่หมิงโม่ก้าวเข้ามาในบ้านพัก เขาก็ใช้ความคิดมาตลอดว่าตัวเองจะจัดการความสัมพันธ์ระหว่างกู้ฮอนและลูกๆอย่างไร
เมื่อก่อนหน้านี้ไม่นาน เขายังโมโหกู้ฮอนเรื่องที่เธอซ่อนลูกสาวตัวน้อยเอาไว้ กระทั่งตอนที่อยู่ในศาลก็เป็นเช่นนั้น
แต่ความคิดนี้ก็เริ่มเปลี่ยนไปอย่างช้าๆหลังจากการไต่สวน
อย่างแรกคือความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหวีหรูเจี๋ยผู้เป็นมารดา เกือบจะใกล้ชิดกันมากขึ้นอีกก้าวหนึ่งจากการได้อิทธิพลรอบด้านโดยไม่รู้ตัว ถัดมาก็ที่บาร์ Zeus.
แม้ว่าหลังจากที่ป่ายมู่ซีและชูหยุนเฟิงจะดื่มหนักเหมือนกับถังซัมจั๋งในไซอิ๋ว เดี๋ยวลิงเดี๋ยวคน แล้วพูดเรื่อยเปื่อยไม่หยุดอยู่ข้างหูเขา แต่คำพูดส่วนใหญ่นั้นล้วนเป็นการตำหนิเป่หมิงโม่ ไม่รู้ดีชั่วอย่างไร ได้ของมีค่าอยู่ในมือแล้วก็ไม่รู้จักดูแลทะนุถนอมให้ดี บลาๆๆ
ที่จริงแล้วเป่หมิงโม่ล้วนฟังออกว่าพวกเขากำลังบ่นต่อความอยุติธรรมที่กู้ฮอนได้รับ อีกทั้งคำพูดพวกนี้ก็ไม่ใช่ว่าพูดอยู่ข้างหูเขาแค่ครั้งแรก
บวกกับเขาคิดถึงหวีหรูเจี๋ยผู้เป็นมารดา อาหญิง และกระทั่งบิดา……พวกเขาก็พูดคำพูดประเภทนี้ออกมาทั้งอย่างตั้งใจและไม่ตั้งใจเช่นกัน
คนคนหนึ่งพูดอาจเป็นการเข้าข้าง แต่เมื่อหลายคนพูดก็แสดงว่ามีความจริงอยู่ในนั้น
ตอนนี้คิดขึ้นมาได้ว่าตัวเองอาจจะเห็นแก่ตัวมากเกินไปจริงๆ หรือว่าจะมีอะไรอย่างอื่นที่ทำให้ความคิดเห็นของตัวเองที่มีต่อกู้ฮอนเกิดอคติกัน
แต่ความคิดเห็นที่มีต่อเธอแบบนี้ไม่ใช่เกิดจากความอคติของตัวเองที่มีต่อเธอ
ก่อนหน้านี้ก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยมีความรู้สึกดีๆต่อเธอ แต่หลังจากนั้นได้อะไรเป็นการตอบแทนกลับมากัน ครั้งแรก เขารู้ว่าลูกชายของตัวเองเป็นฝาแฝด แต่เธอกลับซ่อนคนหนึ่งเอาไว้หลายปี
นี่ทำให้เขาโมโหเป็นอย่างยิ่ง
และก็เพราะว่าอย่างนั้น ตัวเองถึงได้ต้องฟ้องร้องคดีความเรียกบุตรคืนกับเธอครั้งหนึ่ง ส่วนความสัมพันธ์ของทั้งสองคนก็สามารถพูดได้ว่าแย่ลงจนถึงจุดเยือกแข็งเพราะสาเหตุนี้
ก็ได้ เวลาสามารถรักษาความโศกเศร้าและความเจ็บปวดบางอย่างได้ พร้อมกับกาลเวลาที่แปรเปลี่ยน แน่นอนว่าสถานการณ์มีการพัฒนาไปมาก ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับกู้ฮอนก็ผ่อนคลายลงอีกครั้ง
แม้ว่าระหว่างนั้นจะเกิดเรื่องเล็กๆเข้ามาแทรกไม่น้อยอย่างการแต่งงานกับเฟยเอ๋อ แต่ก็ถือว่านี่ได้ผ่านไปแล้ว
แน่นอนว่าก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนให้กับเรื่องนี้อย่างหนักหนาสาหัสเช่นกัน และก็ได้รับรู้เรื่องที่ยังไม่เคยรู้มาก่อนอีกมากมาย พูดไปแล้วก็เป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อจริงๆ เดิมตัวเองในตอนที่ยังเด็กมากก็รู้จักกับกู้ฮอนแล้ว……
แต่ในที่สุดตอนที่เหตุการณ์เลวร้ายผ่านไปแล้วเกิดเหตุการณ์ดีขึ้นมานั้น ก็มีปัญหาเรื่องใหม่ขึ้นมาอีก เรื่องแล้วเรื่องเล่าจนทำให้รู้สึกเหนื่อยล้าแล้วจริงๆ อีกทั้งในตอนนี้ก็ยังมีสิ่งที่เป็นการราดน้ำมันบนกองเพลิง นั่นก็คือการที่ตัวเองได้รับรู้ว่าที่แท้แล้วเธอก็มีลูกอีกคนหนึ่งอยู่ด้วยอย่างไม่คาดฝัน!
นี่ทำให้เป่หมิงโม่รู้สึกว่าตัวเองเหมือนกับลิงตัวหนึ่ง และกู้ฮอนก็เป็นคนที่ตีฆ้องเปิดฉากละครคนนั้น ลิงนั้นนึกว่าตัวเองสามารถแสวงหาผลประโยชน์มาโดยตลอด รู้สึกว่าตัวเองนั้นยิ่งใหญ่เหนือใครมาตลอด แต่ว่าสุดท้ายตัวเองนั่นแหละที่ถูกชักใยอยู่
เป่หมิงโม่นั้นคิดมากมากจริงๆ เกือบจะคิดย้อนไปถึงตอนแรกที่เขากับกู้ฮอนได้พบกันมาจนถึงตอนนี้ แต่ทำไมคนรอบข้างตัวเองกลับเอนไปทางเธอกัน คำถามนี้ทำให้เป่หมิงโม่รู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก หรือในตอนนี้เขาสามารถใช้ประโยคหนึ่งมาอธิบายได้ นั่นก็คือ ไม่รู้จักหน้าตาที่แท้จริงของหลูซาน เพียงเพราะตัวเองก็อยู่ในขุนเขา ( ใช้เปรียบเทียบเรื่องราวที่ยากจะเข้าใจในความเป็นจริงหรือสภาพดั้งเดิมว่าเป็นอย่างไร)
ปัดความคิดในอดีตทั้งหมดทิ้งไป ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องที่ทำให้เสียใจทั้งหมดแล้ว ในขณะนี้ควรจะจัดการกับผู้หญิงที่ยืนอยู่เบื้องหน้านี้ด้วยท่าทีอย่างไร
***
ถลึงตาจ้องมองอย่างไม่กลัวเกรงหรือ เกือบทุกคนที่เขาปฏิบัติอย่างนี้ด้วย ถ้าจะต้องเผชิญหน้ากับกู้ฮอน ดูเหมือนว่าจะต้องอำมหิตเล็กน้อย หรือว่าจะต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม สำหรับเป่หมิงโม่แล้วดูเหมือนว่าจะยากอยู่บ้าง เขาเกิดมาพร้อมกับใบหน้าเย็นชา จะเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันได้อย่างไรกัน
แม้ว่าจะฝืนแสร้งทำออกมา ก็จะถูกว่ามีเจตนาอื่นแอบแฝง
ตอนนี้เขาเพียงแค่พยายามที่จะสนทนากับกู้ฮอนด้วยความใจเย็น พูดคุยเรื่องของลูก เขารู้นิสัยของเธอชัดเจนแจ่มแจ้ง เธอไม่ใช่คนที่ดูบอบบางอ่อนแอแบบนั้น ภายในจิตใจของเธอนั้นเต็มไปด้วยความเข้มแข็งและไม่ยอมแพ้