บทที่ 914 เปิดใจคุยห้องใต้หลังคา
เฉิงเฉิงจะพูดอะไรได้ล่ะ ถึงจะคล้อยตามกับคำพูดของลั่วเฉียว แต่แม่ก็พูดไว้ไม่ใช่เหรอ?นั่นก็แปลว่าเป็นไปไม่ได้ เขาจึงทำได้เพียงแค่พูดว่า : “ป้าเฉียวเฉียว แม่พูดอย่างนั้นกับหยางหยางก็เพื่อประโยชน์ของตัวเขานะครับ”
จากนั้นเขาก็กระโดดลงจากเก้าอี้ ตามด้วยประคองจิ่วจิ่วที่ลงมาจากเก้าอี้เช่นกัน : “พ่อครับ ป้าแอนนิ ป้าเฉียวเฉียว พวกเราไปดูหยางหยางนะครับ” หลังจากนั้นก็ดึงมือน้อยๆของน้องสาวเดินจากไป
“คุณเป่หมิง ขอโทษด้วยที่ทำให้คุณต้องหิวมาตลอด ฉันจะไปทำอะไรให้ทานนะคะ” แอนนิยิ้มให้เป่หมิงโม่
เป่หมิงโม่โบกมือเบาๆ : “ขอบคุณครับ แต่ไม่ต้องหรอก คุณไปดูแลลั่วเฉียวเถอะ” พูดจบ เขาเองก็ลุกขึ้นยืน แล้วออกจากห้องทานข้าวไปแบบไม่รีบร้อน
เมื่อเห็นพวกเขาออกไปจนหมดแล้ว แอนนิและลั่วเฉียวต่างก็ถอนหายใจเบาๆ : “ครอบครัวนี้นี่…” หลังจากนั้นแอนนิก็ลุกขึ้นยืนใช้สองมือค่อยๆประคองลั่วเฉียวกลับไปที่ห้อง
**
ในตอนที่เฉิงเฉิงมาจิ่วจิ่วมาถึงห้องใต้หลังคา ก็มองเห็นหยางหยางนอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียงเล็กๆของตัวเอง มือทั้งสองข้างของเขาจับหมอนเอาไว้ แล้วฝังศีรษะเล็กๆของเขาไว้ในนั้น ร่างกายเล็กๆของเขาก็กำลังสั่นเล็กน้อย
เดาได้ไม่ยากเลยว่า ตอนนี้หยางหยางกำลังร้องไห้จนน้ำตาออกมาเป็นสายฝน
เฉิงเฉิงและจิ่วจิ่วมาอยู่ข้างๆหยางหยางแล้วดึงชุดของเขาเบาๆ : “หยางหยาง อย่าโกรธแม่ได้หรือเปล่า แม่ทำเพื่อนายนะ”
หยางหยางได้ยินคำพูดของเฉิงเฉิง แต่เขาไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้เลย ในตอนนี้สิ่งที่กองสุมอยู่ในใจของเขา นอกเหนือจากคำวิพากษ์วิจารณ์ของแม่แล้วก็คือเฉิงเฉิง
เขาเข้ามาโน้มน้าวตนเอง แล้วจะให้เขาฟังได้อย่างไร
“พี่หยางหยางคะ อย่าโกรธหม่ามี๊ได้หรือเปล่า…” จิ่วจิ่วเองก็เรียนรู้ตามที่เฉิงเฉิงพูด แต่ว่าพลังของเธอมีน้อยมาก ยิ่งไปกว่านั้นความโกรธของแม่ทำให้เธอตกใจ ดังนั้นเสียงของเธอจึงไม่ดังมากนัก
เฉิงเฉิงก้มหน้าลงพูดกับจิ่วจิ่วว่า : “น้องสาว ไปเล่นกับ “เบลล่า” สักแป๊ปนะ พี่จะคุยกับหยางหยาง”
จิ่วจิ่วมองหยางหยางที่ยังนอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียง จากนั้นจึงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
รอจนน้องสาวออกไปแล้ว เฉิงเฉิงก็ขยับเก้าอี้มานั่งข้างเตียงของหยางหยาง : “ถึงแม้ว่าวันนี้คำพูดของแม่จะเกินไปสักหน่อย แต่ว่าสิ่งที่นายทำมันก็ไม่ถูกจริงๆนั่นแหละ ปิดเทอมก็ผ่านมาตั้งหลายวันแล้ว เวลาปกตินอกจากเที่ยวเล่นแล้ว ก็ไม่เคยเห็นนายทำการบ้านเลย ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ความพยายามของนายก่อนหน้านี้จะไม่สูญเปล่าหรอกเหรอ”
“นายก็ไม่ต้องมาสอนฉันอีกคนหรอก ก่อนหน้าที่นายจะโผล่ออกมา แม่ก็พูดกับฉันแบบนี้มาตลอดแหละ นายมันอัจฉริยะ ฉันไม่มีทางเทียบนายได้…”
“ใครบอกว่าเฉิงเป็นอัจฉริยะ” ทันทีที่เสียงของหยางหยางลดเสียงลงไป เสียงของเป่หมิงโม่ก็ดังออกมาไม่ไกล
เฉิงเฉิงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้รีบลุกขึ้นยืน “พ่อ…”
เป่หมิงโม่เดินไปอยู่ข้างเตียงเล็กๆของหยางหยาง แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ที่เฉิงเฉิงเพิ่งจะนั่งเมื่อสักครู่ หลังจากนั้นก็ดึงเฉิงเฉิงยืนอยู่ข้างเขา
“หยาง เฉิงอยู่กับพ่อมาจนโต เขาไม่ใช่อัจฉริยะอะไรเลย หรือจะพูดว่าตั้งแต่ได้เจอลูก พ่อพบว่าเขามีบางอย่างที่ด้อยกว่าลูกนะ สาเหตุที่เขากลายเป็นอย่างนี้ในตอนนี้ เพราะในเวลานั้นพ่อหาครูและชั้นเรียนกวดวิชามากมาย แต่ว่าตอนนี้พอมองดูแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะทำคะแนนได้สูงขนาดนั้น แต่พ่อกลับรู้สึกว่าพ่อเกือบจะทำลายช่วงเวลาอันมีค่าที่สุดของเขา”
“พ่อ…” เฉิงเฉิงไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เขาเพิ่งจะได้ยิน
เป่หมิงโม่พูดต่อไปว่า : “ในฐานะที่เป็นพ่อของพวกเรา พ่อมีแนวคิดอย่างหนึ่งมาโดยตลอด นั่นคือ : ลูกของพ่อจะต้องมีความแข็งแรงมากกว่าเด็กคนอื่น แต่ว่าสิ่งเหล่านี้กลับทำให้พวกลูกไม่มีความสุขมากขึ้นเรื่อยๆ ช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของคนๆหนึ่ง คือช่วงเวลาที่ไร้ความกังวล” พูดมาถึงตรงนี้ อารมณ์ของเป่หมิงโม่ค่อยๆเปลี่ยนเป็นหดหู่อีกครั้ง “แต่ว่าวัยเด็กของพ่อนั้นกลับ…”
“พ่อครับ ตอนพ่อเป็นเด็กเป็นยังไงเหรอครับ?” เฉิงเฉิงรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์หลังจากที่พ่อพูดถึงตรงนี้
แม้แต่หยางหยางเองก็หยุดความเศร้าโศกเสียใจ แล้วเอาหัวออกมาจากหมอน และมองเป่หมิงโม่ด้วยดวงตาทั้งคู่ที่แดงก่ำจากการร้องไห้ เขารู้สึกว่าแม่ไม่พอใจกับชีวิตการเรียนของเขา และเมื่อเทียบกับพี่น้องฝาแฝด แล้วยังมีพ่อที่คลุ้มคลั่งในบางครั้งด้วย…มันเจ็บปวดมากพอแล้ว หรือว่าพ่อเองก็มีชะตาชีวิตเชื่อมโยงเช่นเดียวกันกับเขาใช่หรือเปล่า?
เป่หมิงโม่เงยหน้ามองลูกชายทั้งสองคน พวกเขาเติบโตขึ้นมาเหมือนกับเขาในวัยเด็กอย่างมาก การได้เห็นพวกเขาก็เหมือนกับการได้พูดคุยกับตัวเองในวัยเด็ก
**
“พวกลูกรู้ไหมว่า เฉิงเหมือนกับพ่อตอนเป็นเด็กมากที่สุด ทำการบ้านได้ดี ทำให้พ่อวางใจได้เกือบทุกด้าน แต่ว่า ตอนเป็นเด็กพ่ออยากจะเหมือนใครมากที่สุดงั้นเหรอ?” เป่หมิงโม่ถามลูกทั้งสอง
เฉิงเฉิงและหยางหยางต่างส่ายหัว
“ในตอนเป็นเด็ก พ่ออยากเหมือนหยางมากที่สุด สามารถเล่นได้อย่างมีความสุข ยิ่งไปกว่านั้น ที่สำคัญที่สุดคือมีคุณแม่อยู่ข้างกาย”
“พ่อครับ พ่อหมายความว่าคุณย่าทิ้งพ่อไปตั้งแต่ยังเด็กเหรอครับ?” เฉิงเฉิงรู้สึกไม่อยากจะเชื่ออยู่สักหน่อย เป็นไปได้ยังไงที่พ่อจะเจอเหตุการณ์คล้ายกับตนเอง
“เพราะอะไรล่ะครับ?” หยางหยางอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความสงสัย
เป่หมิงโม่กลับไม่ต้องการที่จะพูดถึงเรื่องที่ไม่มีความสุขเกี่ยวกับวัยเด็กของตัวเองต่อหน้าลูกๆ : “ไม่ต้องถามว่าทำไม สรุปคือ ชีวิตในวัยเด็กของพ่อไม่ได้ดีอย่างที่พวกลูกคิด เทียบกับที่พวกลูกคิดว่าเลวร้ายแล้ว มันเลวร้ายกว่ามาก”
ขณะที่พูด เขามองไปที่เฉิงเฉิง : “เฉิง มีบางคำ ที่พ่ออยากจะบอกลูกไว้นานแล้ว เพียงแต่ว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมานาน พ่อไม่รู้ว่าควรจะพูดกับลูกอย่างไร แต่ตอนนี้พ่อคิดว่ามันถึงเวลาแล้ว”
“พ่อจะพูดอะไรเหรอครับ?”
แต่ไหนแต่ไรเป่หมิงโม่ไม่เคยจะใช้คำพูดที่นุ่มนวลไม่ว่ากับใครก็ตาม ครั้งนี้เขาตัดสินใจที่จะพูดกับลูกชายของตน : “พ่อขอโทษที่สร้างความเจ็บปวดในวัยเด็กให้กับลูก”
คำพูดนี้ทำให้เฉิงเฉิงรู้สึกตะลึงงัน และตื้นตันใจมาก น้ำตาเริ่มไหลทะลักออกมาเป็นสาย : “พ่อครับ ที่จริงแต่ไหนแต่ไรผมไม่เคยโทษพ่อเลย ยิ่งไปกว่านั้นผมรู้ว่าพ่อหวังดีกับผมถึงได้ทำแบบนี้” เขาพูดพร้อมกลับกางมือเล็กๆของเขากอดพ่อเอาไว้แน่น
หยางหยางไม่อาจจะเข้าใจความรู้สึกนี้ได้อย่างถ่องแท้ เขาเพียงแค่อยู่ที่นั่น มองดูเฉิงเฉิงที่เริ่มร่ำไห้ไม่หยุด แต่อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ที่พ่อขอโทษเฉิงเฉิง ทำให้เขาซาบซึ้งใจอย่างล้ำลึก
บางทีอาจเป็นเพราะสายสัมพันธ์ทางจิตใจระหว่างฝาแฝด หยางหยางรู้สึกว่าตัวเองน้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว ยิ่งไปกว่านั้นในใจมีความรู้สึกที่เกินจะพรรณนา
น้ำตานี้ไม่ใช่น้ำตาแห่งความเสียใจ แต่เป็นน้ำตาแห่งความซาบซึ้งใจ
เป่หมิงโม่เองก็ถูกดึงดูดจากลูกชายทั้งสองเช่นกัน เขารู้สึกได้ถึงความเข้าใจและความอบอุ่นระหว่างคนในครอบครัวที่ใกล้ชิด มันได้ละลายหัวใจที่เย็นชาของเขา
ไม่ใช่แค่ในเวลานี้ แต่หลังจากที่เขาได้พบกับกู้ฮอน หลังจากที่ได้พบเจอสิ่งต่างๆมากเกินไปกับเธอ เขามักจะรู้สึกมึนงงอยู่เสมอ และไม่เคยเผชิญหน้ากับมัน
หลังจากผ่านไปสักพัก เป่หมิงโม่พูดกับเด็กๆว่า : “เอาล่ะ พวกลูกร้องไห้พอแล้ว ตอนนี้ต้องทำตัวให้สมกับเป็นลูกผู้ชายตัวน้อยๆได้แล้ว เช็ดน้ำตาให้เรียบร้อยซะ”
เฉิงเฉิงและหยางหยางใช้มือน้อยๆเช็ดน้ำตาอย่างเชื่อฟัง
“ยังจำที่พ่อถามพวกลูกๆตอนที่กินข้าวเช้าได้หรือเปล่า?” เป่หมิงโม่ถาม
“จำได้แน่นอนครับ เพียงแต่ว่าหยางหยาง…” เฉิงเฉิงพูดพลางมองหยางหยางที่ลุกขึ้นมานั่งบนเตียงอย่างลำบากใจ
เมื่อถูกทิ่มแทงให้เจ็บปวดใจอีกครั้ง หยางหยางก็ลดศีรษะลงอย่างห่อเหี่ยวไร้ซึ่งชีวิตชีวา
เป่หมิงโม่เอื้อมมือไปตบไหล่เล็กๆของหยางหยาง : “เป็นอะไรไป แค่ทำการบ้านไม่เสร็จทำให้ลูกล้มลงแล้วลุกไม่ขึ้นเลยเหรอ ถ้าหากลูกโตขึ้นหลังจากนี้แล้วเจอเรื่องที่หนักหนาสาหัสยิ่งกว่าเรื่องทำการไม่เสร็จ อย่างนั้นแล้วลูกจะทำยังไงล่ะ? เมื่อเกิดปัญหาขอเพียงเผชิญหน้ากับมันอย่างกล้าหาญ ถึงจะแสดงให้เห็นว่าเป็นลูกผู้ชายจริงๆ หยาง พ่อเชื่อว่าลูกสามารถจัดการเรื่องนี้ได้”
คำพูดให้กำลังใจเช่นนี้มีประโยชน์ต่อหยางหยางเป็นอย่างมาก ทันใดนั้นเขาก็กลับมาชีวิตชีวา : “พ่อครับ ผมจะไปทำการบ้านเดี๋ยวนี้แหละ”
เป่หมิงโม่ยิ้มนิดๆและพยักหน้า : “อื้ม พ่อเชื่อว่าถ้าลูกพูดออกมาแล้วย่อมทำได้อย่างแน่นอน ดังนั้น พ่อคิดว่าลูกไม่ต้องรีบร้อนขนาดนี้ก็ได้ ตามความเห็นของพ่อนะ เล่นสนุกให้มีความสุขก่อน จากนั้นค่อยตั้งใจเรียน ลูกคิดว่ายังไง?”
***
ไม่ใช่แค่หยางหยาง แต่เฉิงเฉิงเองรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยหลังจากที่ได้ยิน ไม่รู้ว่าตอนไหนที่พวกเขาเคยได้ฟังพ่อพูดแบบนี้ด้วยตัวเอง ครั้งนี้ น่าจะเป็นครั้งแรกโดยที่ไม่เคยเกิดขึ้นด้วยซ้ำ
เป่หมิงโม่เหลือบมองพี่น้องทั้งคู่ : “ทำไมล่ะ พวกลูกไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยินด้วยตัวเอง หรือว่าไม่เชื่อว่าพ่อจะพูดออกมาแบบนี้?”
หยางหยางใช้มือเช็ดน้ำตาบนหน้าอีกครั้ง ตามด้วยเสียงหัวเราะเบิกบาน : “พ่อครับ พ่อไม่ได้หมายความแบบเดียวกันเหรอครับ? แต่ยังไง เพราะพ่อพูดออกมาแล้ว พวกเราจะไม่กล้าทำตามได้ยังไง”
เป่หมิงโม่ยื่นมือออกไปบีบจมูกเล็กๆของเขา : “เจ้าเด็กคนนี้นี่ เดี๋ยวก็ร้องไห้ เดี๋ยวก็หัวเราะไม่แน่ไม่นอนเลยจริงๆ ฝีมือการแสดงจะไล่อาสามทันแล้ว ถ้าหากว่าลูกเชื่อฟังแม่ตั้งแต่แรก แม่ของลูกก็ไม่ต้องมาคอยกังวลใจปัญหาของเราหรอก”
“โอ๊ะๆโอ๊ย…พ่อครับ พ่อทำจมูกผมเจ็บไปหมดแล้ว ผมต้องอาศัยจมูกนี้หาของอร่อยๆนะ ยิ่งไปกว่านั้นพ่ออย่าบ่นเรื่องนี้อีกได้หรือเปล่า หูของผมมันมีพังผืดหนาขึ้นแล้ว พวกผู้ใหญ่พูดบ่อยๆว่า : ต้องจัดการตนเอง ในความเป็นจริงแล้วเด็กๆอย่างพวกเรา ก็มีการจัดการตัวเองนะครับ และยิ่งไปกว่านั้น ผมขอพูดให้ชัดเจนอีกข้อหนึ่ง : เมื่อกี๊นี้ผมไม่ได้แกล้งแสดงนะ โดนพูดแบบนั้นใครจะทนได้”
“เอาล่ะ ทั้งหมดล้วนแต่เป็นเหตุผลของลูก รีบไปล้างหน้าให้สะอาด พวกเราเตรียมพร้อมที่จะออกเดินทางแล้ว” เป่หมิงโม่เหมือนจะทนไม่ไหวกับความรู้สึกที่ลูกชายตัวร้ายของเขาจะมาเถียงอย่างเอาเป็นเอาตายไม่ยอมลดละ
หยางหยางกระโดดลงจากเตียงอย่างรวดเร็ว แล้ววิ่งหายวับไปทางห้องน้ำอย่างรวดเร็ว
เป่หมิงโม่หันหน้าไปมองเฉิงเฉิง : “ทำไมตอนนี้หยางถึงได้ขี้บ่นเหมือนแม่ของลูกขึ้นเรื่อยๆ มันจริงใช่ไหมที่แม่กับลูกชายจะเรียนรู้จากกันและกันระหว่างคนสองคน?”
เฉิงเฉิงยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ : “นี่มันอาจจะไม่ใช่ก็ได้ บางทีอาจเป็นเพราะเขาอยู่กับแม่เป็นระยะเวลานานเกินไป เลยได้รับอิทธิพลมาไม่น้อย พ่อครับ น้องสาวก็จะไปกับเราด้วยใช่ไหม?”
“ถูกต้อง มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?” เป่หมิงโม่พยักหน้า
“ไม่มีครับ ผมแค่เห็นว่าตอนนี้น้องยังคงกลัวพ่ออยู่นิดหน่อย แน่นอนว่าไม่ใช่ความผิดของน้องแล้วก็ตำหนิแม่ไม่ได้ด้วย”
บ่อยครั้งที่บทสนทนาระหว่างเป่หมิงโม่และเฉิงเฉิงนั้นไม่ต่างกับบทสนทนาระหว่างผู้ใหญ่
แน่นอนว่านี่เป็นผลมาจากการที่เฉิงเฉิงโตมากับเขาเป็นระยะเวลานาน เขาได้มองลูกชายคนนี้ในอีกมุมหนึ่งโดยถือว่าไม่ใช่เด็กน้อยอีกต่อไปแล้ว
เป่หมิงโม่ขมวดคิ้วเล็กน้อย : “ข้อนี้พ่อเข้าใจดี ดังนั้นการดำเนินการในวันนี้คือการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูกสาวระหว่างพ่อกับเธอ ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก”
*
หลังจากช่วงเวลาที่ยุ่งวุ่นวายผ่านไป เฉิงเฉิงและหยางหยางได้ใส่เสื้อผ้าตัวโปรดเรียบร้อยแล้ว