บทที่ 916 คนเก่าแก่ตระกูลเป่หมิง
“แน่นอนว่าคือออกไปเที่ยวสิครับ ผมเลยมาบอกป้าแอนนิ ว่าตอนเที่ยงพวกเราจะไม่กลับมากินมื้อเที่ยงไงครับ”
“พวกเรา? แม่ของเธอไม่ได้บอกให้เธอทำการบ้านให้เสร็จก่อนเหรอถึงจะออกไปได้น่ะ พอหล่อนไม่อยู่แค่เดี๋ยวเดียวแล้วไม่เชื่อฟังได้ยังไง ไม่ต้องกลัวเลยฉันจะบอกเรื่องนี้กับหล่อน รอจนแม่กลับมาให้มาจัดการเสียเลย”
หยางหยางหัวเราะฮ่าๆราวกับมีเครื่องรางคอยปกป้องก็ไม่ปาน : “ผมไม่กลัวหรอก วันนี้พอจะพาผมกับเฉิงเฉิงแล้วยังมีจิ่วจิ่วออกไปเที่ยวข้างนอก”
***
หลังจากฟังคำพูดของหยางหยางแล้ว แอนนิถึงได้เข้าใจ ที่แท้คือเป่หมิงโม่จะพาพวกเด็กๆออกไป นี่ถือว่าเป็นเรื่องในครอบครัว ถึงแม้ว่ากู้ฮอนจะสั่งห้ามอย่างชัดเจนก่อนไปทำงานว่าไม่ให้หยางหยางออกไปข้างนอก แต่ว่านี่คนเป็นพ่อออกปากพูดเอง
ตนเองในฐานะคนนอก พูดอะไรอีกก็จะดูไม่ดี
“หยางหยางมานี่หน่อยสิจ๊ะ” ลั่วเฉียวทักทายให้เขาเข้าไปในห้อง
“ป้าเฉียวเฉียวมีอะไรเหรอครับ?”
“จิ่วจิ่วไม่กลัวคุณพ่อแล้วใช่ไหม ทำไมเธอถึงยอมออกไปข้างนอกกับพวกเธอได้แล้วล่ะ ป้าอยากรู้ข้อนี้มากเลย ที่จริงแล้วคุณพ่อใช้เวทมนตร์อะไรหรือว่าสะกดจิตเธอด้วยวิธีไหนกัน?”
“ป้าเฉียวเฉียว นี่ไม่ใช่ความสามารถอันยอดเยี่ยมของพ่อเลยครับ แต่นี่คือความสามารถของผมกับเฉิงฉิง ไว้ถ้ามีเวลาว่างผมจะมอบให้กับป้าด้วยนะ ป้าจะได้ใช้มันถ้าหากคุณลุงไม่อยากออกไปข้างนอกกับป้าไงครับ”
*
ในที่สุด สี่คนพ่อลูกก็ออกเดินทาง เฉิงเฉิงและจิ่วจิ่วนั่งอยู่แถวหลัง และจิ่วจิ่วก็แอบเหลือบมองเป่หมิงโม่เป็นครั้งคราว
แน่นอนว่าการเคลื่อนไหวเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ไม่สามารถเล็ดรอดสายตาของเป่หมิงโม่ไปได้ พอมองไปที่กระจกหลังก็มองเห็นแล้ว แต่ไม่ว่ายังไงในใจของเขามีความสุขอย่างมาก
“พ่อครับ เรากำลังจะไปที่ไหนกันเหรอ? ได้ยินมาว่าที่สวนสนุกมีของเล่นมาใหม่ด้วย” หยางหยางที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งข้างคนขับมองไปยังถนนข้างหน้า และอยากจะรู้คำตอบจนรอแทบไม่ไหว
“ไปถึงแล้วพวกลูกก็จะรู้เอง” เป่หมิงโม่ยังคงควบคุมพวงมาลัยอย่างมั่นคง
*
เทียบกับการเดินทางอย่างมีความสุขของเหล่าพ่อลูกแล้ว กู้ฮอนในห้องทำงานของประธานแห่งบริษัทเป่หมิง กลับเหมือนนั่งอยู่บนเข็มแหลมก็ไม่ปาน
ในบางครั้งหลังจากที่อ่านเอกสารไปสองสามฉบับแล้ว สายตาก็จะมองไปยังพื้นที่ว่างเปล่าตรงหน้าอย่างไม่ตั้งใจ และเอาแต่คาดเดาไม่หยุดว่าตอนนี้เป่หมิงโม่และพวกเด็กๆกำลังทำอะไรกันอยู่ในเวลานี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือจิ่วจิ่ว การปรากฎตัวของเขาดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องดีสำหรับลูกสาวของเธอ ในฐานะของคนเป็นแม่เธอรู้อย่างชัดเจน แต่กลับไร้พลัง
ตอนนี้เธอถูกขังอยู่ที่นี่
กู้ฮอนทำได้เพียงปกปิดความวิตกกังวลของตัวเองด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า : “ไม่มีอะไร ทำงานต่อเถอะ” หลังจากพูดจบก็ก้มหน้าทำงานต่อ
นับว่าเป็นวันที่สองแล้วที่เธอได้เข้าสู่ตระกูลเป่หมิง ขั้นตอนการทำงานและเอกสารทั้งหมดควรจะเป็นสิ่งที่ช่วยให้ทำงานได้ดั่งใจคิด
แต่สุดท้ายกลับรู้สึกว่าไม่รู้จะลงมือทำยังไงดี
เหตุการณ์ในตอนบ่ายเมื่อวานนี้ ถือได้ว่าเป็น ‘ไม้พลองสังหาร’ ที่มอบให้กับตนเองที่เป็นเจ้าหน้าที่คนใหม่
หากตนเองสามารถยืนหยัดอยู่ที่นี่ได้อย่างมั่นคง ถ้าอย่างนั้นต้องคิดหาวิธีการจัดการกับหัวหน้าแผนกเหล่านั้น อย่างน้อยเพื่อไม่ให้มีเหตุวุ่นวายต่างๆตามมา
คิดมาถึงตรงนี้ มีคนๆหนึ่งปรากฏขึ้นในความคิดของเธอเป็นอย่างแรก คนนั้นคือคนเก่าแก่ของตระกูลเป่หมิงที่ตบโต๊ะแล้วเดินออกไป
“ฉิงฮัว”
“คุณผู้หญิง มีอะไรเหรอ” ฉิงฮัววางงานในมือลง
“จู่ๆฉันก็อยากถามคุณสักหน่อย คนที่จู่ๆก็ออกไปจากที่ประชุมเมื่อวานนี้คือใครเหรอ?”
“คุณผู้หญิง ที่คุณพูดถึงคือ ลุงฉางชิ่ง เขาเคยอยู่เคียงข้างคุณท่าน เหมือนกับที่ผมคอยอยู่ข้างๆคุณแบบนี้แหละครับ หลังจากที่คุณท่านออกจากตระกูลเป่หมิงแล้ว ลุงฉางชิ่ง เองก็ว่างเช่นกัน เจ้านายเห็นว่าเขาเป็นคนเก่าแก่มีประสบการณ์อยู่กับนายท่านมาโดยตลอด เลยให้ตระกูลเป่หมิงสงวนตำแหน่งไว้ให้กับเขา จะบอกว่าตำแหน่งก็เป็นเพียงแค่ชื่อเท่านั้น ไม่มีอำนาจที่แท้จริง นอกจากนี้ในการประชุมของตระกูลเป่หมิง เขาสามารถเข้าร่วมได้ โดยไม่ได้บังคับว่าต้องเข้าร่วมทุกครั้ง แต่ที่ผ่านมาเขาไม่เคยเข้าร่วมการประชุมใหญ่เช่นเมื่อวานนี้มาก่อนเลย มันเลยน่าแปลกที่เขาอยู่ที่นั่นเมื่อวานนี้ด้วย และท้ายที่สุดยังทำให้ทุกคนไม่สบอารมณ์ในตอนจบด้วย”
***
ในที่สุดกู้ฮอนก็สรุปได้อย่างชัดเจนแล้วว่าลุงฉางชิ่ง คนนี้เป็นคนนิสัยแบบไหน และไม่มีผลกระทบอะไรต่อการทำงานในอนาคตของตนเอง
คิดว่าเป็นเช่นนี้แล้วก็ช่างมันเถอะ
*
วันนี้อากาศดีเหมาะแก่การท่องเที่ยวจริงๆ ภายในท้องฟ้าที่แจ่มใส แสงแดดอันอบอุ่นได้โปรยแสงสีทองลงบนท้องทะเลสีคราม ทำให้มีคลื่นสีทองเป็นหย่อมๆ
เรือยอร์ชสีขาวจอดทอดสมออยู่ในทะเลไม่ไกลจากชายฝั่งมากนัก และตามด้วยคลื่นลูกเล็กๆที่ขึ้นมากระทบ
ปลายท้ายเรือ มีเบ็ดคันยาวตั้งอยู่เป็นเส้นตั้งฉาก สายเบ็ดของคันเบ็ดสองอันโผล่ออกมาเป็นส่วนโค้งเรียบลื่น
บนดาดฟ้าระหว่างคันเบ็ดทั้งสองอัน มีชายแก่พุงโตคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ เขาสวมหมวกกันแดดขอบนุ่ม ในมือของเขาถือคันเบ็ดไว้เช่นเดียวกัน มันเป็นตะขอเกี่ยวที่ใช้มือถือเอาไว้ และกำลังใจจดจ่อดูการเคลื่อนไหวของเบ็ดตกปลาด้านล่าง
ไกลออกไป มีเรือยอร์ชขนาดเดียวกันกำลังแล่นเข้ามาทางนี้อย่างช้าๆ ดูเหมือนว่าจะพุ่งตรงเข้ามาหาคนๆนี้
ชายที่ขับเรือยอทช์ลำนี้อยู่ในวัยหนุ่ม เขาไม่สวมหมวก ผมของเขาปลิวไสวไปกับลมทะเล แว่นกันแดดสีเข้มวางอยู่บนดั้งจมูกที่โด่งสูง ใบหน้าที่หล่อเหลานั้นไม่มีอารมณ์ใดๆ
เขารักษาความเร็วและทิศทางของเรือให้คงที่ เรือทั้งสองค่อยๆเข้าใกล้กันจนเกิดเสียงปะทะกันเบาๆดัง “ปึง” จากนั้นเรือทั้งสองลำก็สั่นเล็กน้อย
หลังจากชายหนุ่มโยนสมอเรือทิ้งไปลงแล้ว ก็กระโดดลงมาจากที่นั่งด้านหน้า แล้วหมุนตัวกลับเข้าไปในห้องโดยสาร จากนั้นไม่นานก็ถือกล่องสีน้ำเงินออกมา
เขาขึ้นไปบนเรือยอทช์ของชายชราอย่างคล่องแคล่ว แต่ชายชรากลับไม่หันมามองเลย เขาให้ความสนใจแค่เบ็ดในมือเท่านั้น
ในตอนนี้เอง ที่คันเบ็ดมีแรงสั่นสะเทือนเล็กน้อย ดูเหมือนจะมีปลามาติดที่ตะขอเบ็ดแล้ว “ว้าวว้าว…” รอกตกปลาเริ่มหมุนอย่างรวดเร็ว
ดูเหมือนว่าจะเป็นปลาตัวใหญ่ ชายชราลุกขึ้นยืน สองมือของเขาออกแรงควบคุมเบ็ดตกปลาและรอกตกปลา แล้วเริ่มหมุนสายกลับมา
ดูเหมือนว่าปลาที่อยู่ใต้น้ำจะรู้ตัวว่ากำลังตกอยู่ในอันตราย และเริ่มว่ายน้ำอย่างสุดชีวิตไปที่ก้นทะเล ปลาที่อยู่บนพื้นกับในน้ำย่อมไม่เหมือนกัน ในน้ำพวกมันมีพลังอย่างมาก บางครั้งถึงกับมีเรื่องราวของคนถูกปลาลากลงไปในน้ำพร้อมกับเบ็ดตกปลา
หลังจากที่ตกอยู่ในสภาวะเข้าตาจน พละกำลังของชายชราอ่อนแรงลงอย่างเห็นได้ชัด ในเวลานี้เอง ชายหนุ่มที่เพิ่งจะขึ้นเรือมารีบเข้าไปช่วย
ทั้งสองคนนั้นทำได้อย่างพอเหมาะพอเจาะจนเกิดผล จึงเป็นฝ่ายควบคุมสถานการณ์ได้ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาค่อยๆเริ่มเป็นฝ่ายได้เปรียบ
“ว้าว…” ปลาทูน่ากระโดดขึ้นมาจากทะเลตามแรงดึงคันเบ็ดของคนทั้งคู่
“ลุงฉางชิ่ง วันนี้โชคดีไม่น้อยเลยนะครับ” เป่หมิงยี่เฟิงมีรอยยิ้มบนหน้า มองดูปลาที่กำลังดิ้นอยู่บนดาดฟ้าเรือ
ติงฉางชิ่ง ไม่ได้สนใจคำพูดของเขา หลังจากเก็บตะขอเกี่ยวเรียบร้อยแล้ว ก็เอนตัวลงจัดเก็บอุปกรณ์เมื่อสักครู่นี้ทั้งหมด
เห็นว่าอีกฝ่ายไม่สนใจตัวเอง เป่หมิงยี่เฟิงรู้สึกเหมือนกับคนที่ใบหน้าที่ร้อนผ่าวแนบกับบั้นท้ายที่เย็นเยือก รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาแข็งทื่อ
แต่ว่าเขายังมีศีลธรรมภายในจิตใจอยู่ และไม่มีปัญหากับใบหน้าที่เย็นชา : “ลุงฉางชิ่ง ครับ ดูสิว่าผมเอาอะไรมา” เขาพูดพร้อมกับเปิดฝากล่องสีน้ำเงินที่เขานำมา
ทันใดนั้น กลิ่นหอมของเนื้อย่างก็ลอยออกมาจากด้านใน
จากนั้นเขาก็หยิบโต๊ะพับและเก้าอี้สองตัวออกมาจากห้องโดยสาร กางโต๊ะเสร็จแล้วก็จัดเก้าอี้จนเรียบร้อย แล้วหยิบสเต็กพริกไทยดำที่หอมกรุ่นออกมาจากกล่องสองชิ้น และไวน์แดงอีกขวดหนึ่ง
***
หลังจากที่ติงฉางชิ่ง เอาปลาใส่ลงไปในถังที่เต็มไปด้วยน้ำแล้ว ก็ตรงไปนั่งยังโต๊ะที่จัดวางเสร็จแล้ว
เขาลดสายตาลงมองเนื้อวัวที่วางอยู่ตรงหน้าตนเอง และมองไปยังเป่หมิงยี่เฟิงที่นั่งอยู่ตรงข้าม
การแสดงออกบนใบหน้าของเขายังคงแข็งกระด้างอย่างเห็นได้ชัด บนหน้าไม่มีร่องรอยการยิ้มเลย
ที่จริงแล้ว เขาเป็นเช่นนี้มาตลอด นับตั้งแต่ที่เริ่มติดตามเป่หมิงเจิ้งเทียนแล้ว
“ฉันไม่สนใจเรื่องราวต่างๆในกลุ่มของบริษัท มาหาคนแก่อย่างฉันเพื่ออะไร?” คำพูดของติงฉางชิ่งไม่ได้ไว้หน้าเป่หมิงยี่เฟิงแม้แต่น้อย น้ำเสียงนั้นเย็นชาและแข็งกระด้าง
เป่หมิงยี่เฟิงไม่ได้สนใจ ยังคงยิ้มให้กับเขา : “เหอๆ ลุงฉางชิ่ง หรือว่าผมจะมาหาลุงไม่ได้เหรอครับ เมื่อวานนี้ลุงคว่ำโต๊ะแล้วออกมาเลย ผมเป็นห่วงสุขภาพของลุงนะครับ”
“เด็กน้อย คุณอย่ามาอ้อมไปอ้อมมาอยู่ตรงนี้เลย ที่จริงแล้วมาหาฉันเพราะมีเรื่องอะไรก็รีบพูดมา” ติงฉางชิ่ง พูดจบก็ไม่เกรงใจ เขาหยิบ เขาหยิบมีดและส้อมที่เตรียมไว้บนจานทั้งสองข้างขึ้นมาแล้วเริ่มหั่นเนื้อ
เป่หมิงยี่เฟิงรีบลุกขึ้นหยิบขวดไวน์แดงมาเปิด เทให้เขาจนเต็มแก้ว จากนั้นก็เทให้ตัวเองอีกหนึ่งแก้ว
เขาไม่ได้เร่งรีบอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่หั่นเนื้อวัว ก็พูดไปด้วยว่า : “ลุงฉางชิ่ง ที่จริงแล้วผมมาที่นี่ไม่ได้จุดประสงค์อื่นใดเลยนะครับ เพียงแค่อยากจะมาเยี่ยมคุณลุง แต่ยังไงก็ตามผมก็อยากจะมาปรึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาตระกูลเป่หมิงในอนาคต”
“หึ…” ในจมูกของติงฉางชิ่ง ทำเสียงดูถูกเหยียดหยามขึ้นจมูก: “เรื่องของตระกูลเป่หมิง จะมาปรึกษาฉันทำไมกัน คุณควรจะไปหาผู้หญิงคนนั้นถึงจะถูก ตระกูลเป่หมิงตอนนี้ไม่มีที่ให้ของเก่าๆอย่างพวกเราแล้ว”
“ลุงฉางชิ่ง คุณพูดแบบนี้ได้ยังไงกันครับ ถ้าหากตอนนั้นไม่มีคุณกับผู้ช่วยอยู่ข้างกายคุณปู่ แล้วจะมีตระกูลเป่หมิงในวันนี้ได้อย่างไร ดังนั้นที่อารองยกตำแหน่งประธานให้กับผู้หญิงคนนั้น เรื่องนี้ไม่เพียงแต่คุณเท่านั้นที่โกรธนะครับ ผมเองก็ไม่อาจระงับความโกรธไว้ได้ เพียงแต่ไม่ว่าจะพูดยังไง ตัวผมถึงแม้จะเป็นผู้ถือหุ้นอันดับสอง ที่ฟังดูแล้วสวยงามอย่างมาก แต่ว่ากลับเป็นคนต่ำต้อยพูดจาไม่มีน้ำหนักเลยนะครับ ต้องมองดูกลุ่มบริษัทที่คุณปู่ก่อตั้งมากับมือยกให้กับคนอื่นไปแบบนี้ ผมเองก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว” เป่หมิงยี่เฟิงแสดงสีหน้าหดหู่ใจ
“เด็กน้อย คุณเองก็ไม่มีหนทางแล้ว ยังจะมาหาฉันอีกทำไม อย่างนั้นจะไม่ยิ่งเป็นการสร้างปัญหาหรอกเหรอ?”
“ไม่มีทางหรอกครับ ผมในฐานะหลานชายคนโตของตระกูลเป่หมิง ไม่สามารถมองดูอารองทำซี้ซั้วได้และแน่นอนว่าไม่สามารถมองดูคุณออกจากกลุ่มของบริษัทด้วยความผิดหวังได้หรอกนะครับ”
ติงฉางชิ่ง วางมีดและส้อมในมือลง แล้วมองเป่หมิงยี่เฟิงอย่างคลางแคลงใจ แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ที่เขาเพิ่งจะพูดเมื่อสักครู่นี้ ได้กระตุ้นให้ใจของตนเองรู้สึกเจ็บปวดจริงๆ “หนุ่มน้อย คุณหมายความว่า?”
*******************************************************