บทที่ 943 การละเล่นของเด็ก
เป่หมิงยี่เฟิงก็หยุดเท้าตาม เขาถามอย่างสงสัยว่า “ไม่ทราบว่ามีเรื่องอื่นๆจะสั่งอีกหรือไม่”
***
สายตาของเป่หมิงโม่มองผ่านเป่หมิงยี่เฟิง กวาดมองไปรอบห้องทำงานเขาอีกครั้ง จากนั้นก็กดเสียงลงต่ำเล็กน้อย “ทำไมถึงไม่เห็นผู้ช่วยคนนั้นของนาย”
เป่หมิงยี่เฟิงยิ้มบางๆ “เขาหรือ ผมให้เขาไปทำงานอย่างอื่นแล้ว”
“งานอื่นหรือ คงจะไม่ใช่แอบฟังบทสนทนาระหว่างพวกเราหรอกนะ” สายตาของเป่หมิงโม่มีแววแหลมคม เปิดโปงคำพูดโกหกของเป่หมิงยี่เฟิงอย่างง่ายดาย
แน่นอนว่าตอนนี้เป่หมิงยี่เฟิงยังคงต้องแสร้งฝืนยิ้ม “อารอง คุณอาพูดอะไรของคุณอากัน บุคคลที่สามไม่มีทางได้ยินบทสนทนาระหว่างพวกเราหรอกครับ อย่างไรก็ตามผมมอบหมายให้เขาไปทำงานอื่นจริงๆ”
สำหรับเป่หมิงโม่แล้วคำพูดหลอกเด็กไม่ได้เรื่องแบบนี้ไม่มีประโยชน์อะไร เขามองไปที่เป่หมิงยี่เฟิงครั้งหนึ่ง “นายไม่ต้องแสดงละครกับฉันแบบนี้ ไม่ผิด เขาไม่ได้อยู่ในห้องทำงานของนายจริงๆ แต่โต๊ะวางน้ำชามีถ้วยสองใบที่ใช้แล้วเป็นตัวยืนยันการคงอยู่ของเขา อย่างไรก็ตามหลังจากที่ฉันเดินไปรอบห้องทำงานนายหนึ่งรอบแล้วก็เป็นการยืนยันความคิดนั้นได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นว่าเขาแอบอยู่ในห้องครัวเล็กๆห้องนั้น
เป่หมิงโม่เอ่ยจบแล้วก็เดินจากไป
เป่หมิงยี่เฟิงหรี่ตามองตามแผ่นหลังของเป่หมิงโม่ ในใจของเขามีความรู้สึกที่บรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูก
เมื่อหันกลับไปปิดประตูห้องและเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นถังเทียนจื้อเดินออกมาจากห้องครัวเล็กๆแล้ว “ที่เป่หมิงโม่มาในคราวนี้ก็เพื่อหยั่งเชิงปฏิกิริยาของนายและถือโอกาสข่มขู่นายเล็กๆไปด้วยเลย เพียงแต่นายไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเขา” เขาพูดพลางเดินไปข้างโต๊ะวางน้ำชา หยิบถ้วยชาที่คว่ำอยู่ขึ้นมาใบหนึ่ง รินน้ำชาลงไป
ดื่มไปคำหนึ่งก็อดพยักหน้าไม่ได้ “ชาที่คุณรินให้เขานั้นดีกว่าผมมากเลยนะ ดูเหมือนว่าผมจะต้องเตือนคุณสักหน่อยแล้ว พวกเราต่างหากที่เป็นพันธมิตรกัน ส่วนเขาก็เป็นศัตรูของพวกเรา โดยเฉพาะหลังจากที่เขากลายเป็นผู้ช่วยของกู้ฮอน”
เป่หมิงยี่เฟิงรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมากที่ถังเทียนจื้อใช้น้ำเสียงที่วางตัวสูงส่งมากเกินไปพูดกับตัวเอง “จุดนี้ไม่ต้องให้คุณมาบอกผมหรอก ผมทราบชัดเจนมากอยู่แล้ว ในเมื่อคุณพูดว่าพวกเรายืนอยู่ฝั่งเดียวกันแล้วจะมาคิดเล็กคิดน้อยอะไรกับชาถ้วยหนึ่งว่าดีหรือเลวด้วย”
“เป่หมิงยี่เฟิง คุณเข้าใจก็ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว ใช่แล้ว เมื่อครู่ตอนที่พวกคุณอยู่ที่หน้าประตู เขาพูดอะไรอีก ดูเหมือนว่าเสียงของเขาจะเบามาก”
“อ่อ! ผมเกือบจะลืมไปแล้วถ้าคุณไม่พูดถึงเรื่องนี้ ก็แค่สนทนาถึงใครบางคนที่ถือว่าตนฉลาด นึกว่าแอบอยู่ในห้องครัวเล็กๆแล้วจะไม่ถูกพบเจอเท่านั้นเอง”
ถังเทียนจื้อได้ยินแล้วก็หรี่ตาลงน้อยๆ จากนั้นมุมปากก็ยกขึ้นเผยรอยยิ้มบางๆ “ดูไม่ออกเลยว่าความอดทนของเขาจะเพิ่มมากขึ้น”
*
กู้ฮอนยืนอยู่ที่หน้าโต๊ะทำงาน ในมือถือการ์ดเชิญสีแดงประทับตัวอักษรสีทองเอาไว้สองใบ โดยมีความรู้สึกว่าไม่รู้จะเลือกอย่างไรดี
ทั้งสองใบล้วนสำคัญ ถ้าหากไม่รู้เรื่องก็คงจะคิดว่าเธอตกอยู่ในอาการประหลาดที่เรียกว่า ภาวะเลือกไม่ถูก
จู่ๆเธอมีความคิดแปลกๆขึ้นมาความคิดหนึ่งหลังจากผ่านไปหนึ่งนาที แน่นอนว่าความคิดนี้หยิบยืมมาจากหยางหยาง
“ไม่อย่างนั้น ฉันใช้วิธีจับฉลากมาแก้ไขปัญหาก็แล้วกัน” กู้ฮอนเหมือนพูดอยู่กับตัวเอง แต่ก็เหมือนกำลังขอความเห็นจากฉิงฮัวด้วย
ฉิงฮัวได้ยินแล้วก็มีเม็ดเหงื่อเย็นๆผุดขึ้นบนหน้าผาก วิธีของคุณผู้หญิงนั้นเหมือนการละเล่นของเด็กมากเกินไปแล้ว เขาเอ่ยอย่างอึกๆอักๆว่า “คุณผู้หญิงครับ ทำแบบนี้เป็นการไม่ให้ความเคารพต่อพวกเขาอยู่บ้างนะครับ ไม่สู้รอให้เจ้านายกลับมาแล้วค่อยถามเขาก็ได้”
สิ้นเสียงพูด
ก็มีเสียง “แอ๊ด…….” ดังขึ้น
ประตูห้องทำงานเปิดออก
***
ในตอนนี้เหมือนกับเวลาถูกหยุดเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น
สีหน้าของกู้ฮอนและฉิงฮัวแข็งค้างไปชั่วขณะ
เป่หมิงโม่เดินเข้ามาในห้องทำงานภายใต้การเฝ้าสังเกตด้วยท่าทีที่เงียบสงบ
เมื่อนั่งลงที่ที่นั่งของตัวเองแล้ว เป่หมิงโม่ก็เหลือบมองกู้ฮอนครั้งหนึ่ง “ไม่เคยเห็นหนุ่มหล่อหรืออย่างไรกัน ถ้าหากว่าใช่แล้วล่ะก็ คืนวันนี้ตอนกลับไปผมจะให้คุณมองให้พอเลย”
ประโยคนี้เหมือนกับตะบองที่ตีลงบนศีรษะของเธออย่างแรง เรียกเธอให้ฟื้นสติกลับมาจากอาการแข็งค้าง
เธอกระแอมไอครั้งหนึ่ง เอ่ยเสียงกระซิบว่า “ไม่เคยเห็นใครที่หลงตัวเองเหมือนกับคุณ” ถัดมาเธอก็นำการ์ดเชิญที่เลือกเอาไว้วางบนโต๊ะทำงานของตัวเอง
“เจ้านาย มีเรื่องหนึ่งที่ผมอยากพูดกับคุณสักหน่อยครับ……..”
หลังจากที่ฉิงฮัวครุ่นคิดไปมาก็รู้สึกว่าควรจะบอกเรื่องการ์ดเชิญให้เจ้านายทราบ ในบรรดาพวกเขาสามคน มีเพียงแค่เขาที่มีอำนาจมากที่สุดคนหนึ่ง ให้เขาตัดสินใจนั้นไม่ผิด
แต่ยังไม่ทันเอ่ยจบ เขาก็ถูกกู้ฮอนหยุดเอาไว้ด้วยเหตุผลที่ค่อนข้างดีข้อหนึ่ง “ฉิงฮัว คุณช่วยนำรายงานความคืบหน้าของที่เกี่ยวกับโครงการก่อสร้างของบริษัทGT มาให้ฉันดูหน่อย”
“คุณผู้หญิง เช้าวันนี้คุณอ่านไปรอบหนึ่งแล้วไม่ใช่หรือครับ”
กู้ฮอนในตอนนี้ใกล้จะถูกความซื่อบื้อของฉิงฮัวทำให้โกรธแล้ว เธอถลึงตา “เมื่อครู่ฉันยังอ่านไม่เข้าใจเท่าไร ตอนนี้จำเป็นต้องอ่านอีกรอบ คุณเอามาให้ก็พอแล้ว จะพูดไร้สาระทำไมกัน!”
เป่หมิงโม่นั้นรู้แล้วว่าเธอจะต้องมีเรื่องอย่างแน่นอน แต่ดูท่าเธอไม่ตั้งใจจะบอกเรื่องนี้ให้ตัวเองรู้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นก็อย่าหาเรื่องดีกว่า
เขาเอนหลังพิง นัยน์ตาจ้องมองหน้าจอแสดงภาพ เริ่มกดเมาส์ในมือเพื่ออ่านข่าว
นี่เป็นเรื่องปกติที่เขาทำในเวลาว่างที่มีอันน้อยนิด
แม้ว่าเนื้อหาข่าวส่วนใหญ่ล้วนเป็นสิ่งที่เขาไม่สนใจ แต่กลับมีประโยชน์ในการฆ่าเวลาที่ว่างในตอนนี้เป็นอย่างมาก
ฉิงฮัวหยิบรายงานที่กู้ฮอนเพิ่งจะลงนามไปเมื่อครู่จากโต๊ะทำงานของตัวเองไปให้เธอใหม่อีกครั้งด้วยใบหน้าที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม
“คุณผู้หญิง นี่คือรายงานฉบับที่คุณต้องการครับ”
กู้ฮอนมองฉิงฮัวด้วยท่าทีเข้มงวด จากนั้นก็เอ่ยด้วยเสียงที่กดลงต่ำว่า “ไม่อนุญาตให้คุณบอกเรื่องเมื่อครู่นี้ให้เขาฟัง ส่วนเพราะอะไรนั้น คุณไม่ต้องถาม ฉันเลือกไปตามนัดหมายหนึ่งเรียบร้อยแล้ว เรียบร้อย เรื่องนี้ก็จบลงตรงนี้ก็แล้วกัน”
“ได้ครับคุณผู้หญิง” ในเมื่อผู้อื่นพูดเช่นนี้แล้ว อย่างนั้นตัวเองจะพูดอะไรได้อีก ก็ทำได้เพียงแค่ปฏิบัติตามเท่านั้นเอง ฉิงฮัวรับคำแล้วก็หมุนตัวกลับไปยังที่นั่งของตัวเอง
เพื่อหลบเลี่ยงสายตาของเจ้านาย เขาจึงหลบศีรษะอยู่หลังจอแสดงภาพเป็นพิเศษ
การเคลื่อนไหวอันเล็กน้อยของกู้ฮอนจะรอดจากสายตาของเป่หมิงโม่ได้อย่างไร แม้ว่าจะเสียงเบากว่านี้ แต่ภายในห้องนี้ก็ไม่อาจรอดพ้นจากหูของเขาได้
ระหว่างที่เวลาผ่านไปแต่ละนาทีแต่ละวินาที ชั่วพริบตาก็เป็นเวลาบ่ายแล้ว
หลังจากกู้ฮอนบิดขี้เกียจแล้วก็ก้มหน้าดูเวลา ยังมีเวลาอีกชั่วโมงกว่าถึงจะถึงเวลานัดหมาย
เธอรีบจัดเอกสารบนโต๊ะของตัวเองให้เรียบร้อย จากนั้นก็สุ่มหยิบการ์ดเชิญจากสองใบที่ลังเลตัดสินใจไม่ได้ออกมาใบหนึ่งใส่ลงในกระเป๋า
ส่วนที่เหลืออีกหนึ่งใบนั้นก็รอหลังจากเหตุการณ์นี้ ตัวเองค่อยคิดหาวิธีขอโทษขอโพย เพื่อให้ได้รับการให้อภัยจากผู้อื่นก็พอแล้ว
หลังจากที่จัดเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว กู้ฮอนก็ถือกระเป๋าใบเล็กของตัวเองลุกขึ้นจากที่นั่ง ตอนที่ผ่านโต๊ะทำงานของฉิงฮัวก็พูดกับเขาว่า “ฉันไปทำธุระ กลางคืนคงต้องขอให้คุณกับลั่วเฉียวและแอนนิช่วยดูแลเด็กๆทั้งสามคนสักหน่อย ฉันคงจะกลับไปดึกเล็กน้อย”
***
กู้ฮอนออกจากห้องทำงานไปแล้ว ในใจกลับรู้สึกไม่สงบยิ่งกว่าตอนที่อยู่ในห้องทำงานอย่างเห็นได้ชัด
จนกระทั่งเข้าไปนั่งในรถแล้วถึงได้สงบลงเล็กน้อย
เธอเหล่ตามองลานจอดรถส่วนตัวที่อยู่ไม่ไกลครั้งหนึ่ง ข้างในนั้นถูกผ้าม่านปิดคลุมเอาไว้มิดชิด นับตั้งแต่ที่เสี่ยงจะเสียเปรียบที่นั่นในครั้งนั้น ก็ไม่คิดอยากจะเข้าใกล้ที่นั่นอีกเลย
แม้ว่าในมือของเธอจะมีรีโมทกุญแจของที่นั่น แม้ว่าที่นั่นจะสามารถจอดรถได้สองคัน แม้ว่าที่นั่นจะสามารถขึ้นลิฟต์โดยสารที่ไปถึงห้องทำงานได้โดยตรง……..
ตอนนี้ จู่ๆเธอก็รู้สึกว่าเมื่อครู่ออกมาอย่างเร่งรีบ ยังไม่ทันได้ดูเลยว่าหยิบการ์ดเชิญใบไหนขึ้นมากันแน่
แม้ว่าจะสุ่มหยิบมา แต่ในเมื่อเลือกแล้ว อย่างไรก็ต้องดูสักหน่อย อย่างน้อยเธอก็ควรจะรู้ว่าขับไปที่ไหน
แม้ว่ากระเป๋าติดตัวเธอจะไม่ได้ใบใหญ่นัก แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรในการบรรจุสิ่งของมากหรือน้อย โชคดีที่การ์ดเชิญมีขนาดใหญ่มากพอและมีสีแดงที่เห็นได้เด่นชัด
ตอนที่เธอเปิดออกมา สายตาก็หยุดลงตรงที่ลายเซ็นแล้ว ในใจก็สั่นระริกขึ้นมาชั่วขณะ
เป็นงานเลี้ยงดื่มไวน์ที่จัดขึ้นในนามของหน่วยงานรัฐหน่วยงานหนึ่ง
นี่ทำให้เธออดคิดเชื่อมโยงไปถึงงานที่ตัวเองตามเป่หมิงโม่ไปเข้าร่วมไม่ได้ สิ่งที่เคยได้ยิน เคยพบเห็น กระทั่งเคยทำล้วนลอยเข้ามาในสมองของเธอเป็นฉากๆอย่างชัดเจน
ใบหน้าอวบอูมเต็มไปด้วยไขมันอย่างคนที่ไม่ต้องลงแรงทำงาน ชั่วชีวิตนี้ก็ไม่อาจลืมได้ลง
โชคร้ายจริงๆ ทำไมถึงได้หยิบการ์ดเชิญใบนี้กันนะ
อยากจะกลับไปเปลี่ยนเป็นการ์ดเชิญของบริษัทเซิ่งถังนานาชิตจริงๆ แต่เมื่อเห็นว่าเหลือเวลาไม่มากแล้ว อีกอย่างเป่หมิงโม่ก็ยังอยู่ข้างบนนั้นด้วย ตัวเองออกมาอย่างเร่งรีบแล้วก็กลับไป ท่าทางขี้หลงขี้ลืมที่แสดงออกมานี้จะทำให้เขาหัวเราะเยาะตัวเองได้
เฮ้อ……..
กู้ฮอนอดถอนหายใจไม่ได้ ชีวิตก็เป็นเช่นนี้ ตอนที่เรื่องดีๆไม่มาเป็นคู่ เรื่องร้ายๆก็ไม่ได้มีเรื่องเดียวแน่นอน
เมื่อขับรถออกมาจากอาคารเป่หมิงแล้ว กู้ฮอนก็คิดถึงเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นไม่หยุด จะเหมือนกับครั้งที่แล้วที่ทำให้เกิดเรื่องตามมาเป็นพรวนหรือไม่
แน่นอน หลังจากที่ตัดสินไปในทางที่เลวร้ายที่สุดแล้ว ก็มีทัศนคติมองโลกในแง่ดีนิดหน่อยเช่นกัน นั่นก็คือตอนนี้ฐานะของตัวเองไม่เหมือนกับตอนนั้นแล้ว
เธอเป็นแขกที่ถูกเชิญ และก็เป็นประธานบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง คงไม่น่าจะเกิดเรื่องผิดพลาดหรืออุบัติเหตุอะไร
แน่นอน นี่ก็เป็นความคาดหวังที่ใหญ่ที่สุดในใจของเธอ
ความคิดและความหวังแบบนี้ทำให้กู้ฮอนรู้สึกเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นมาสองเท่า นี่ก็ทำให้เธอได้สัมผัสประสบการณ์เบื้องต้นที่อยู่ในสังคมนี้ตัวคนเดียว ไม่ต้องพึ่งพาอาศัยร่างกายอันแข็งแกร่ง ขอเพียงแค่ฐานะและตำแหน่ง ก็สามารถยืนหยัดอยู่ในกลุ่มคนผู้แข็งแกร่งได้แล้ว
*
หลังจากกู้ฮอนจากไปได้ไม่นาน เป่หมิงโม่ก็ลุกขึ้นเตรียมตัวจากไป ตอนนี้เขาไม่มีงานมากมายเหมือนแต่ก่อน แน่นอนว่าบนโต๊ะก็ดูสะอาดไม่น้อยเป็นธรรมดา
เขาไม่ต้องทำความสะอาดโต๊ะให้เรียบร้อยก่อนตัวเองจะจากไป
“เจ้านาย มีเรื่องหนึ่งที่ผมไม่รู้ว่าควรหรือไม่ควรพูด”
ฉิงฮัวเห็นว่าเป่หมิงโม่กำลังจะจากไปแล้ว หลังจากที่ครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องการ์ดเชิญไปมาอยู่ชั่วครู่หนึ่ง เขาก็ตัดสินใจเอ่ยออกมา
เดิมการได้รับการเชิญจากผู้อื่นนั้นจะไปหรือไม่ไปก็ได้ แน่นอนว่าถ้าหากไม่ไปก็ต้องแจ้งบุคคลที่เชิญตัวเองก่อน อธิบายให้ชัดเจนว่าตัวเองไม่สามารถไปได้ ในเวลาเดียวกันก็ต้องแสดงความขอบคุณอีกครั้ง
แต่ทั้งสองท่านนั้นจำเป็นต้องไปอย่างไม่มีทางเลือก หลังจากที่กู้ฮอนสุ่มเลือกการ์ดนัดหมายแล้ว ก็เหลืออีกใบหนึ่งที่ต้องจัดการแก้ไขให้เหมาะสม ซึ่งเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำอย่างเร่งรีบ
***
เป่หมิงโม่หยุดเท้าลง สายตามองไปทางฉิงฮัว
เขาก็เป็นแบบนี้ ขอเพียงแค่ผู้อื่นไม่อ้าปากพูด ตัวเองก็จะไม่เอ่ยถามอย่างเด็ดขาด แม้ว่าเบื้องหน้าพวกเขาจะมีเรื่องใหญ่คับฟ้าก็ตาม เขาก็จะทำเป็นเพิกเฉยไม่สนใจ