บทที่ 990 อ่อนโยน
อยู่ในนี้ เขามีเวลาเหลือให้คิดมากมายเหลือเกิน เมื่อทบทวนตนเอง ความโกรธแค้นระหว่างบุพการีตนยังสามารถให้อภัยได้ แล้วทำไมระหว่างพวกเขาถึงจะไม่ได้…..
เป่หมิงโม่เดินไปหยุดอยู่ข้างกายกู้ฮอน พร้อมอ้าแขนทั้งสองข้างโอบเธอเอาไว้ในอ้อมกอด มือหนาของเขาลูบไล้สีผมดำสลวยของเธอเบาๆ : “นี่ไม่ใช่ความผิดของเธอ แม้เธอจะโง่ไปหน่อย แต่คนที่ต้องเผชิญไม่ใช่คนธรรมดา เธอและหยินปู้ฝันพยายามสุดความสามารถแล้ว ผมรู้สึกขอบคุณพวกคุณมากรู้ไหม? แม้คำพูดพวกนี้ผมจะไม่เคยพูดกับเขาเลยก็ตาม ไม่อย่างนั้นเขาต้องโอ้อวดแน่ๆ”
เมื่อกู้ฮอนได้ยินประโยคที่เขากล่าว เธอทั้งโกรธ และดีใจ เธอเอื้อมแขนไปยังขาของเขาพลางบิดเต็มแรง
ทำให้หน้าซีกหนึ่งของเป่หมิงโม่กระตุกสั่น อดยอมรับไม่ได้แรงบิดของเธอไม่น้อยเลย แต่เขายังคงรับได้
บิดเลย…..หากทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง เขายอมให้เธอโยนความเจ็บปวดลงบนตัวของเขา อย่างน้อยเขายังมีตัวตนในใจเธออยู่บ้าง
“เป่หมิงโม่ จะปลอบคนอื่นทั้งทีทำไมไม่พูดอะไรที่มันดีกว่านี้ล่ะ ในขณะปลอบยังไม่ลืมที่จะเหน็บคนอื่น คนอื่นเขาวิ่งวุ่นเพื่อคุณ แถมยัง แถมยัง…..” กู้ฮอนหยุดชะงักลง
งัดความในใจของกู้ฮอนออกมาได้สักที เป่หมิงโม่จะปล่อยเธอไปอย่างง่ายดายเช่นนี้ได้อย่างไร เขาก้มหน้าลง มือทั้งสองข้างจับคางของเธอเชยขึ้นเบาๆ ให้เธอจับจ้องตนเอง
แต่เธอกลับไม่ให้ความร่วมมือแม้แต่น้อย เขายิ่งพยายาม เธอยิ่งก้มหน้าสู้
แต่แววตาคู่งามที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นของเป่หมิงโม่ หากแต่ใช้กับเธอนับว่าราบรื่นนัก แรงของเขานั้นไม่น้อยเลย หากเขาต้องการใช้กำลังนั้นง่ายดายยิ่งกว่ากะไรดี
ในขณะนี้เขาเหมือนกกไข่ในหิน ไม่อยากให้เธอต้องถูกตนทำร้ายจนเจ็บปวดเสียใจ
เป็นเช่นนี้ เสมือนรำไทเก็ก แต่ก็ราวตกปลาเช่นกัน เมื่อฝ่ายตรงข้ามใช้แรง ตนเองค่อยๆผ่อนแรงลง
เมื่อเธอผ่อนแรงตัวเขาเองกลับออกแรงสู้
เป็นเช่นนั้นอยู่หลายรอบ กระทั่งกู้ฮอนรู้สึกปวดเมื่อยลำคอ
เธอแหงนหน้าขึ้น จับจ้องเป่หมิงโม่อย่างสงสัย : “คุณคิดว่าเล่นอะไรแบบนี้สนุกไหม? เรื่องราวมาถึงขนาดนี้แล้ว ไม่เดือดไม่ร้อนเลยหรือ?”
เป่หมิงโม่ยักไหล่ พร้อมสีหน้าไม่ใส่ใจ : “ผลลัพธ์ไม่สำคัญแล้ว ตอนนี้ฉันหวังแค่ว่าเธอจะไม่ได้รับผลกระทบ”
กู้ฮอนเพ่งมองเข้าไปในดวงตาคู่งาม ด้วยความรู้สึกอบอุ่นในใจ ชายหนุ่มเช่นนี้ เขาไม่สนใจว่าตนจะเป็นอย่างไร แต่กลับนึกถึงแต่เธอ
เขาไม่ใช่เป่หมิงโม่ในอดีตอีกแล้ว เช่นนี้ เธอไม่รู้เลยว่าควรดีใจหรือเสียใจ
“คุณอยากทานอะไร พรุ่งนี้ฉันจะทำมาให้” กู้ฮอนไม่รู้ว่าควรควบคุมสถานการณ์ให้ไปในทิศทางไหนในตอนนี้ จึงเปลี่ยนเรื่องกะทันหัน
“อะไรก็ได้ ขอแค่เธอทำ ใช่สิ เด็กๆเป็นยังไงบ้าง ช่วงนี้ไม่ได้ก่อเรื่องให้เธอใช่ไหม บางทีเฉิงกับจิ่วจิ่วไม่ แต่หยางนี่พูดยาก” เป่หมิงโม่เอ่ย พร้อมคลายมือตนเองออก หันหลังกลับไปนั่งที่ของตน
อย่าว่าไป เขาคำนวณแม่นยำนัก แต่กู้ฮอนไม่อยากให้เขารู้เรื่องที่ถังเทียนจื๋อหลอกล่อหยางๆออกไป
ไม่เช่นนั้น ไม่รู้ว่าเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร
“พวกเขาโอเคดี เปิดเทอมกันแล้วล่ะ ชีวิตกลับมาเป็นปกติสุขแล้ว เพียงแต่จิ่วจิ่วยังเด็ก ต้องอยู่ในความดูแลของแอนนิ” กู้ฮอนพยายามควบคุมน้ำเสียงตนเองให้เป็นปกติ เหมือนปกติที่ผ่านมา
“อืม ดีแล้วล่ะ แอนนิกับลั่วเฉียวเป็นเพื่อนที่ไม่เลวเลย”
“ของคุณก็เลวนี่ ชูเอ้อกับเหล่าไป๋ หลังจากที่รู้ว่าเกิดเรื่องขึ้นกับคุณ พวกเขาคอยวิ่งขึ้นวิ่งลงหาทนายให้กับคุณ แม้บางทีเขาอาจดูใช้ไม่ได้ไม่เอาการเอางานก็เถอะ”
เป่หมิงโม่เผยรอยยิ้มรางๆ จากนั้นพยักหย้ารับเล็กน้อย : “คุณพูดถูก พวกเขาทั้งคู่เป็นเพื่อนที่ดีของผม หากเธอได้เจอพวกเขา ฝากบอกพวกเขาที ว่าฉันรู้สึกขอบคุณ”
กู้ฮอนไม่รู้ว่าเพราะอะไร ได้ยินเขาเอ่ยประโยคเหล่านี้ ถึงได้รู้สึกแสบจมูก : “นายก็ออกไปบอกด้วยตัวเองสิ ทำไมถึงได้ขี้เกียจแบบนี้แค่คำพูดยังต้องฝากคนอื่น วันหลังตัวเองแต่งงานก็ต้องให้คนอื่นพาไปหรือไง…..”
กล่าวถึงตรงนี้ เธอรู้สึกเหมือนตนเองเสียการควบคุมหยุดชะงักลงกะทันหัน
เสมือนเป่หมิงโม่จับจุดเธอได้ ดวงตาของเขาปรากฏแสงระยับ เขาเอ่ยอย่างลึกซึ้ง : “วางใจเถอะ ไม่ว่าแต่งงาน หรือมีลูก ผมไม่ให้คนอื่นทำแทนอยู่แล้ว ผมชอบความรู้สึกแบบนี้”
กู้ฮอนใบหน้าแดงก่ำ แม้เธอจะเคยได้ยินคำพูดเช่นนี้จากเขาหลายต่อหลายครั้ง แต่กลับไร้ภูมิคุ้มกันแต่อย่างใด
“คุณจะจริงจังไม่ได้เลยใช่ไหม ในเวลาแบบนี้คุณไม่คิดหรือไงว่าคุณต้องเผชิญกับอะไร ตอนนี้พยานที่มีประโยชน์ต่อคุณก็มีแค่ฉัน ไม่มีใครอื่นอีก ตอนขึ้นศาลสำหรับคุณฉัน…..”
“เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็แค่ต้องรับมือกับมัน ในเมื่อมีคนต้องการจัดการกับผม ไม่ว่าป้องกันอย่างไรก็หนีไม่พ้น เป่หมิงยี่เฟิงเข้าบริหารบริษัทเป่หมิงได้อย่างราบรื่นนี่เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด แถมยังเป็นแผนการที่เตรียมการไว้นานหลายปี ให้เธอเผชิญหน้าคนเดียวลำบากเธอจริงๆนั่นแหละ” เป่หมิงโม่เอ่ยอย่างราบเรียบ แต่ละคำซ่อนอยู่ซึ่งความอึดอัดในอดีต
เขาในตอนนี้ ราวกับสิงโตในกรงเหล็ก ต่อให้มีอำนาจ มีความกล้า ก็ไร้หนทางที่จะหลุดออกไปจากกรงเหล็กนี้ได้
“ขอโทษ ทุกอย่างนี้เป็นเพราะฉัน แม้แต่เรื่องการจัดหาทนายกับพยานก็คงจะเกี่ยวข้องกับฉัน…..”
เป่หมิงโม่เผยรอยยิ้ม : “ยัยโง่ นี่ไม่เกี่ยวกับเธอเลย”
“เกี่ยวสิ! คุณไม่รู้ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังผู้อำนวยการโกวเป็นใคร คือหลี่เชิน! เขาตามขัดขาตระกูลเป่หมิงอยู่เสมอ ถึงได้คิดบัญชีกับคุณแทน…..” กู้ฮอนคิดไม่ตก ทีแรกเธอตัดสินใจไม่บอกเขา แต่เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่เธอก็ยิ่งเสียใจมากเท่านั้น
เธอไม่อยากปิดบังเขาในเรื่องนี้ แต่เขาต่างหากที่เป็นคนได้รับผลกระทบ เขามีสิทธ์เลือก
หลังกู้ฮอนกล่าวประโยค เธอจับจ้องไปที่เป่หมิงโม่อย่างตื่นเต้น เกรงว่าเขาจะแสดงปฏิกิริยาอื่นที่รุนแรง
หากเป็นตนเอง ก็คงไม่รู้จะเผชิญหน้ากับเรื่องนี้อย่างไรเช่นกัน
หลังเป่หมิงโม่ได้ยินประโยคกู้ฮอน เขายังคงนิ่งเฉย หลี่เชินเป็นผู้อยู่เบื้องหลังควบคุมถังเทียนจื๋อและเป่หมิงยี่เฟิงให้จัดการบริษัทเป่หมิงและตน เขาปล่อยวางเรื่องนี้ได้ตั้งนานแล้ว
แต่เมื่อได้ยินจากกู้ฮอนด้วยตนเอง แม้เรื่องที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล หลี่เชินก็มีอำนาจเข้าแทรกแซงอย่างนั้นหรือ…..
พ่อของกู้ฮอนหลี่เชิน ตกลงยิ่งใหญ่มาจากไหนกันแน่? ต้องรู้เขารู้เราสิถึงจะรบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง แต่ตอนนี้ เขาไม่รู้ว่าหลี่เชินมีอำนาจมากเพียงใด
ดูเหมือนว่าตอนนี้ เขาสามารถเข้าแทรกแซงเข้าไปในรัฐบาลได้ แถมยังสามารถควบคุมคนใหญ่คนโตและเจ้าหน้าที่รัฐ รวมถึงผู้อำนวยการโกว ที่เขาสามารถเรียกใช้ได้ตลอดเวลา
ผู้ที่มีอำนาจถึงเพียงนี้ ดูแคลนไม่ได้เลย
“เป่หมิงโม่ คุณ…..คุณไม่เป็นไรใช่ไหม? ส่งเสียงสักหน่อยสิ ต่อให้คุณโมโหตะโกนด่าออกมาก็ได้ อย่าเก็บไว้ในใจคนเดียวเลย” กู้ฮอนแหงนมองเขาอย่างระแวดระวัง
เป่หมิงโม่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นจึงเลื่อนสายตาไปที่กู้ฮอนอีกครั้ง : “นี่ไม่ใช่ความผิดของคุณ ผมไม่เคยโทษคุณเลย ผมไม่เคยเสียใจ ต่อให้ผลเป็นแบบนี้ก็ตาม ผมว่าคุณพอเถอะ อย่าได้ต่อกรกับเขาอีกเลย”
“ทำไม? คุณเป็นแบบนี้ก็เพราะฉัน ต่อให้เป็นการถ่ายโทษ ฉันก็ต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อคุณ ไม่อย่างนั้นฉันไม่สบายใจ” กู้ฮอนไม่อยากจะเชื่อเป่หมิงโม่กลับบอกให้ตนเลิกต่อกรกับหลี่เชิน
เป่หมิงโม่จับจ้องกู้ฮอน คำพูดของเธอมาจากใจจริง ไร้การเสแสร้งแม้แต่น้อย ที่จริง ในสถานการณ์เช่นนี้ ต่อให้เธอไม่ทำตามแล้วอย่างไร?
อดที่จะยอมรับไม่ได้ เป่หมิงโม่ซาบซึ้งในตัวอักษรแต่ละคำที่หลุดออกจากปากกู้ฮอน ซาบซึ้งจับใจ
ภายในหัวใจที่ถูกแช่แข็ง ไม่มีใครผู้ใดที่สามารถทลายภูเขาน้ำแข็งในใจเขาได้อย่างกู้ฮอน พลังงานบวกของเธอช่วยละลายภูเขาน้ำแข็งในใจเขาสิ้น
“หากเธอรู้สึกไม่สบายใจ ก็จงมีชีวิตอยู่ให้มีความสุข เลี้ยงลูกของเราให้ดี”
กู้ฮอนจับจ้องเขาด้วยความตระหนก : “คำขอของคุณมีเท่านี้หรือ?”
เป่หมิงโม่พยักหน้า พลางส่งยิ้มให้เธอ : “ก็มีเท่านี้สิ ไม่อย่างนั้นเธอจะจำอะไรเยอะแยะขนาดนั้นได้หรือ คราวก่อนให้เธอนำอาหารที่เธอทำมาด้วย คราวนี้ไม่สมหวังอีกแล้ว”
บรรยากาศอันน่าอึดอัด ละลายไปกับอารมณ์ขันของเขา
“อืม ฉันขอโทษจริงๆ หลายวันมานี้ฉันยุ่งอยู่กับเรื่องของคุณ ลืมเรื่องนี้ไปซะสนิท รอก่อน ไม่แน่ฉันอาจจะเอาของกินติดมือมาด้วย” กู้ฮอนที่เมื่อครู่ยังจมปลักอยู่กับความรู้สึกผิดของตน แต่เมื่อได้ฟังคำเป่หมิงโม่ เธอกลับมีอารมณ์ขุ่นมัวขึ้นมาอีกครั้ง
ทำไมนายนี่ถึงได้ใจกว้างเช่นนี้นะ กำลังจะเข้าคุกเข้าตารางอยู่แล้วแท้ๆ ยังจะคิดถึงเรื่องกินอยู่อีก ทีท่าคุณชายผู้สูงศักดิ์ในอดีตของเขา ไม่น่าขาดแคลนเรื่องกินนี่นา แถมมาที่นี่ได้สักระยะแล้วแท้ๆ ไม่เห็นเขาผอมลงเลย แสดงว่าไม่ได้ถูกลงทันอะไร ทำไมถึงได้ตะกละเช่นนี้นะ
“คุณหนู เจ้านายเป็นอย่างไรบ้าง?” ฉิงฮัวที่รอคอยอยู่ด้านนอก เห็นกู้ฮอนเดินออกมาจากห้องรับรอง จึงรีบเร่งถามขึ้น
เขาไม่ได้เข้าไปเยี่ยมเป่หมิงโม่กับกู้ฮอน เพราะเขาต้องการให้เวลากับเจ้านายของตนและคุณหนูได้อยู่ด้วยกัน
เห็นได้ชัดเจน ความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งคู่นั้นมีความคืบหน้า ความใกล้ชิดเกิดความผูกพัน หรือว่านี่คือสิ่งที่เขาได้ยินทุกคืน ที่เฉียวเฉียวกระซิบบอกตนข้างกาย ‘รักแท้ในยามลำบาก’?
หลังผ่านการทะเลาะ เลิกลา พวกเขากลับมาหากันและกันอีกครั้ง
การเปลี่ยนแปลง ใช่ว่าจะไม่เกิดขึ้น เพียงแต่ต้องการเวลาในการตกตะกอน
“เขาโอเค กระโดดโลดเต้นได้ไม่มีปัญหา เรากลับกันเถอะ”
ฉิงฮัวขมวดคิ้วอย่างสงสัย เมื่อครู่ยังคิดอยู่เลยว่าพวกเขาคงไม่มีปัญหาอะไรกันแล้ว แต่เหตุใดเธอออกมาด้วยสีหน้าแปลกประหลาด แถมเอ่ยถึงเจ้านายกลับไร้ปฏิกิริยา หรือว่าจะโกรธเจ้านายอีกแล้วหรือ?
โถ่…..คู่นี้เสมือนลิ้นกับฟันเสียจริง