บทที่ 989 ลำบากใจทั้งสองทาง
“เนื้อชิ้นโตแบบนี้ยังไงก็ต้องกลืนลงท้องให้ได้สินะ”
ราวแมลงวันมากมายบินว่อนภายในห้องประชุม
‘วิ๊งวิ๊ง’ เสียงดังหึ่ง
ผู้อำนวยการโกวจ้องมองการ์ดเชิญของเป่หมิงยี่เฟิงที่ถือไว้ในมืออยู่นาน เพื่อความแน่ใจว่าการ์ดเชิญนี้เป็นของจริง แต่เขากลับไม่แน่ใจนักว่าตนได้เชื้อเชิญบริษัทนี้ด้วย
เอาเถอะ เพิ่มมาสักคนสองคนไม่เป็นไรหลอก ยังไงซะผลลัพธ์สุดท้ายก็อยู่ในกำมือตนอยู่ดี
“พอได้แล้ว คุณกลับไปที่ตำแหน่งตัวเองได้แล้ว เราจะเริ่มการประชุมเดี๋ยวนี้” ผู้อำนวยการสะบัดไม้สะบัดมือให้กับเป่หมิงยี่เฟิง
ขณะเดียวกัน เขาออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ปิดประตูห้องประชุม เขาไม่ต้องการให้มีบุคคลอย่างเป่หมิงยี่เฟิงที่บุกเข้ามาทำลายบรรยากาศในขณะประชุมอีก
ยังดี ดีที่ไร้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก
ผู้อำนวยการโกวได้ประกาศผลการตัดสินในครั้งนี้ การคัดเลือกโคงการ‘Modern city’เริ่มขึ้น ณ บัดนี้ และบอกรายละเอียดของการเสนอราคาและความต้องการของรัฐบาล
‘Modern city’ เป็นโครงการเอื้ออำนวยต่อประชาชน วัตถุดิบในทุกด้านเลือกใช้เฉพาะอุปกรณ์คุณภาพสูง ผู้ที่เข้าร่วมการประเมินในครั้งนี้จึงเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงและความสามารถระดับแถวหน้าของวงการ
อย่างเป่หมิงยี่เฟิงที่ไร้ชื่อเสียงไม่ค่อยมีคนรู้จักนัก จึงถูกละเลยไว้ข้างทาง แม้เขาจะเป็นลูกหลานตระกูลเป่หมิงก็ตามที
ส่วนกู้ฮอนที่เข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ ได้ประกาศอย่างเด็ดขาดจะไม่เข้าร่วมการประเมินในครั้งเป็นอันขาด ทำให้บริษัทที่ได้รับข่าวสารก่อนหน้านี้สบายใจขึ้นหลายขุม แถมยังทำให้บริษัทที่ไม่รู้ความมีความหวังมากขึ้น ราวตนได้ถูกรับคัดเลือกอย่างไรอย่างนั้น
การประกาศของกู้ฮอนในครั้งนี้ ผู้อำนวยการไม่ประหลาดใจแต่อย่างใด สำหรับเขาแล้ว เธอต่างหากที่เป็นอุปสรรคที่ยากเย็น
ตอนนี้เขาได้รู้สถานะของกู้ฮอนแล้ว แถมถังเทียนจื๋อเคยเตือนเอาไว้ ห้ามทำร้ายเธอเป็นอันขาด ไม่อย่างนั้นคงจบไม่สวยเป็นแน่
แต่อีกด้าน เขาห้ามปล่อยตระกูลเป่หมิงไป
ผู้ที่คั่นกลางระหว่างสองพ่อลูกนั้นได้พบกับอุปสรรคใหญ่หลวงเข้าเสียแล้ว
ขณะนี้เขาอยู่ในห้องเดียวกันกับกู้ฮอน แถมยังใกล้ขนาดนี้ มีความรู้สึกอึดอัดจริงๆนั่นแหละ
ส่วนกู้ฮอนนั้นไร้เจตนาในการเข้าร่วม หากแต่ที่เธอต้องเข้าร่วมการประชุมเพราะเป็นการเชื้อเชิญจากรัฐบาล ต่อให้ไม่ไว้หน้าผู้อำนวยการโกว ก็ต้องให้เกียรติรัฐบาล
แน่นอน เธอจะไม่อยากเข้าร่วมได้อย่างไร ‘Modern city’ไม่ใช่โครงการเล็กๆ หากได้เข้าร่วมได้และสร้างสำเร็จ ไม่เพียงแค่ได้รับค่าตอบแทนมหาศาล แถมยังเป็นการสร้างชื่อเสียงและได้สร้างสิ่งประดิษฐ์ที่ยิ่งใหญ่อีกด้วย
ผลประโยชน์ที่ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเช่นนี้กลับเป็นเพราะตน…..
กู้ฮอนรู้สึกผิดต่อบริษัทเป่หมิงโม่อยู่ตลอด หรือว่าหากตนไม่เลือกที่จะสละสิทธิ์ แต่ยอมรับกฎกติกา ให้เป่หมิงโม่ได้รับการคัดเลือกถึงจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดหรือ?
ในการประชุม เธอนั่งเหม่อลอยนึกถึงเรื่องนี้อยู่ตลอด แต่คำตอบที่ได้ยังไงก็ไม่ผ่านด่านในใจตนสักที ผ่านด่านลูกๆไปไม่ได้ แม้รู้ว่าหนทางเช่นนี้ต้องทำผิดต่อเป่หมิงโม่ก็ตามที
เช่นนี้ เธอตกอยู่ในภวังค์จนกระทั่งสิ้นสุดการประชุม
“ประธานกู้ เสียดายที่คุณไม่สามารถเข้าร่วมโครงการในครั้งนี้ได้ สักครู่จะมีการจัดงานเลี้ยงส่ง ผมอยากให้คุณเข้าร่วมด้วย” หลังผู้อำนวยการโกวจบการประชุม เขาไล่ตามกู้ฮอนไปติดๆ เขาต้องการให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเธอไม่อึดอัดเช่นนี้
บริษัทเป่หมิงประกาศสละสิทธิ์แล้ว นี่เป็นการเหลือทางเดินให้ตนเอง และเพื่อไม่ให้ตนลำบากใจ
เรื่องสำคัญจัดการเรียบร้อยแล้ว เขาต้องการเอาใจกู้ฮอน ไม่ใช่เพราะเขามีแผนการใดๆ แต่เพราะเขามีความต้องการตีสนิท ยังไงซะเธอคนนี้ก็เป็นถึง‘คุณหนูใหญ่’ ซึ่งตนไม่สามารถต่อกรด้วยได้
หากยังอยากอยู่ในตำแหน่งอย่างสงบ ยังคงต้องเพิ่งพ่อของเธอ ผู้หนุนหลังตน
นี่มันเรื่องอะไรกัน…..
สำหรับผู้อำนวยการโกวที่ทำดีด้วยกะทันหัน ความรู้สึกแรกของกู้ฮอนคือไอ้นี่คิดว่าวางแผนทำไรให้ตนเสียหน้าอีก?
“ขอโทษครับผู้อำนวยการโกว คุณหนูของเรายังมีงานต้องทำอีกมาก อาหารมื้อนี้คงไม่รบกวนแล้ว”
ไม่รอให้กู้ฮอนได้ปฏิเสธ ฉิงฮัวเดินเข้าหน้ากันพวกเขาเอาไว้ พร้อมปฏิเสธด้วยสีหน้าดุกร้าว
ปฏิกิริยาที่ฉิงฮัวมีต่อเขาต่างจากกู้ฮอนที่ให้เกียรติไร้ความโกรธแค้น บุคคลตรงหน้าคือคนร้ายที่เกือบทำให้เจ้านายตนต้องเข้าคุก
หากไม่ใช่เพราะสถานะของเขา คงยากที่จะรับประกันว่าตนจะไม่ต่อยเขาจนคว่ำ
“เอ่อ…..ถ้าอย่างนั้น ผมไม่รั้งประธานกู้แล้วดีกว่า” ผู้อำนวยการโกวเหลือบมองฉิงฮัว ทำให้เขานึกถึงเรื่องราวคืนวันนั้นที่เป่หมิงอย่างควบคุมไม่ได้
สายตาคู่นั้นทำให้หัวใจตนสั่นสะท้าน
ขณะเดียวกันนั้น เขาไม่ลืมที่จะทิ้งทางออกไว้ให้ตน จากนั้นเขาทักทายเชื้อเชิญประธานจากบริษัทอื่นที่เข้าร่วมโครงการร่วมรับประทานอาหารแทน
แน่นอน พวกเขาเหล่านั้นไร้ผู้ใดที่ไม่ให้เกียรติแก่ผู้อำนวยการโกว เขาเข้ามาใหม่ เพราะเพิ่งเข้ารับตำแหน่ง หากเป็นศัตรูกับเขา ชั้นวางรองเท้าคงได้ขาดไปหลายที่เป็นแน่
การกระทำของกู้ฮอนและฉิงฮัว เหล่าบรรดาในห้องประชุมเพียงนึกว่าเขาเป็นคนไร้กาลเทศะ
ต่อให้เธอไม่ประกาศสละสิทธิ์ การกระทำเช่นนี้ ยังไงซะบริษัทเป่หมิงก็ต้องถูกตัดสิทธิ์ตั้งแต่ด่านแรกอยู่ดี
แน่นอน ในบรรดาพวกเขารวมถึงเป่หมิงยี่เฟิงด้วย เขารู้สึกว่ากิริยาของกู้ฮอนและฉิงฮัวผิดปกติอย่างมาก ตั้งแต่เป่หมิงโม่หายตัวไปเป็นเช่นนี้เสมอ
นี่เป็นคำสั่งของเป่หมิงโม่ หรือเป็นความตั้งใจของพวกเขากันแน่
สำหรับหน้าที่ผู้ติดตามที่ซื่อสัตย์ของเป่หมิงโม่ เป็นไปไม่ได้ที่ฉิงฮัวจะไม่รู้ผลกระทบที่จะตามมา แต่เขากลับยังสนับสนุนกู้ฮอนอยู่อีก
ท่าทางระหว่างพวกเขาคงเก็บซ่อนความลับอยู่อีกมาก
ปล่อยให้เป่หมิงยี่เฟิงเข้าร่วมงานเลี้ยงของผู้อำนวยการโกว
กู้ฮอนและฉิงฮัวกลับเดินออกจากทำเนียบอย่างเร่งรีบ
“คุณหนู เรากลับบริษัทเป่หมิงเลยไหม?”ฉิงฮัวที่ประจำตำแหน่งคนขับหันไปถามกู้ฮอนที่นั่งเบาะหลังด้วยสีหน้านิ่งเฉยๆ
ตรงไปสถานีตำรวจ
“เปหมิงโม่ คนที่แกเฝ้าคอยมาหาแกแล้ว” ผู้คุมเอ่ย พร้อมคว้ากุญแจจากเอวเพื่อเปิดประตูให้กับเป่หมิงโม่
“ฟังเสียงคุณแล้ว วันนี้อารมณ์ไม่เลวนี่” เป่หมิงโม่ลุกขึ้นจากฟูกที่นอนช้าๆ เดินไปหยุดอยู่ที่ประตู
“ฮ่าฮ่า ใช่แล้ว หลังเลิกงานผมจะไปดูตัว”
“อืม? นายไปดูตัว? ตั้งแต่เข้ามา ฉันคิดว่านายเป็นพ่อของลูกแล้วซะอีก บางทีอาจจะมีสองคนแล้ว”
ผู้คุมเหลือบสายตามองไปที่เขา : “คุณมีอารมณ์ขันกว่าแต่ก่อนเยอะเลย ผมยังเป็นแค่ไอ้หนุ่มน้อยอยู่เลย เหมือนคุณพ่อลูกสองตรงไหนกัน?”
“ก็จากเบ้าหน้านายไง ดูรอยตีนกาบนหน้านั่นสิ ไม่เหลือที่ว่างเลย หลังเลิกงานแล้วก่อนไปดูตัว ไปเข้าร้านเสริมสวยจัดการถูไถใบหน้านั่นซะ เดี๋ยวสาวสวยจะคิดว่าพ่อแม่มาช่วยลูกดูซะอีก”
“แอ๊ด…..” ประตูถูกผลักออก
เป่หมิงโม่เดินออกมาจากข้างใน แน่นอน ตอนนี้เขาไม่ต้องเหมือนกับนักโทษคนอื่น ที่มีโซ่สีเงินระยับล่ามแขนเอาไว้
ผู้คุมต่อยเบาๆลงบนไหล่ของเป่หมิงโม่ : “แกนี่นะปากร้ายจริงๆ มีอย่างที่ไหนเหน็บกันเช่นนี้ แต่จะว่าไปแล้ว ฉันควรไตร่ตรองคำแนะนำของนาย อายุใกล้เข้าเลขสี่แล้ว แต่ใบหน้าเหยียบห้าไปแล้ว ควรแต่งเติมสักหน่อย แต่คนทำอาชีพผู้คุมอย่างเรา เงินในกระเป๋าร้อนนัก ไม่เช่นนั้นคงไม่ยืดมาจนถึงตอนนี้ยังไม่ได้แต่งงานหลอก”
เป่หมิงโม่ยกยิ้มเบาๆ : “ อย่ายืนเป็นพ่อม่ายอกหักตรงนี้สิ ก็แค่ขาดเงินในกระเป๋า นี่ไม่ยากเกินความสามารถผมหลอก นายได้พกกระเป๋ากับปากกามาด้วยไหม?”
“จะเอาไปทำอะไร?” ผู้คุมจ้องมองเขาอย่างสงสัย แต่ก็ยังควักกระดาษและปากกาออกจากกระเป๋าเสื้อส่งไปให้เป่หมิงโม่
ขณะเอื้อมมือรับกระดาษ พวกเขาถึงห้องรับรองเป็นที่เรียบร้อย พวกเขาหยุดฝีเท้าลง เป่หมิงโม่รองกระดาษกับผนัง บรรจงเขียนที่อยู่พร้อมเซ็นชื่อของตน แล้วจึงส่งกลับไปให้ผู้คุม
“เอาอันนี้ไป พวกเขาจะจัดการทุกอย่างให้นายเอง ปกติพวกนายชอบพูดว่า : ปล่อยวางทุกอย่าง เริ่มต้นชีวิตใหม่ ฉันคิดว่านอกจากจะเหมาะกับนักโทษแล้ว ยังเหมาะกับพวกนายด้วยนะ”
ผู้คุมหนุ่มรับกระดาษเอาไว้ พร้อมพิจารณาอย่างสงสัย บนกระดาษมีเพียงที่อยู่
เป่หมิงโม่เดินเข้าห้องรับรอง ก่อนหน้านี้มีเพียงกู้ฮอนที่นั่งรออยู่ด้านใน
เขาหยุดยืนตรงหน้าเธอ หยิบเก้าอี้ไม้ออกมาจากใต้โต๊ะ ใบหน้าของเขายังคงเปื้อนรอยยิ้มที่สนทนากับผู้คุมเมื่อครู่
ในขณะที่พวกเขาจะได้เอ่ยใดๆ ผู้คุมคนนั้นโผล่หัวเข้ามา : เพื่อเป็นการขอบคุณ ผมไม่อยู่เป็นก้างขวางคอพวกคุณแล้ว” เขาเอ่ย พร้อมส่งสายตาไปทางเป่หมิงโม่
“คุณก็ไม่เด็กแล้ว คว้าโอกาสนี้ไว้ซะ” เป่หมิงโม่ตอบกลับ
กระทั่งประตูห้องรับรองปิดตัวลง เป่หมิงโม่แหงนหน้าจ้องมองกู้ฮอนที่นิ่งเฉยดั่งเดิม : “ทำไม ไม่เจอไม่กี่วันใบ้กินแล้วหรือ? เมื่อวันฉันได้ยินไอ้หยินปู้ฝันบอกว่าไม่มีใครรังแกเธอเลย”
กู้ฮอนไม่สามารถทำราวกับไร้สิ่งใดเกิดขึ้นดั่งเขา เธอมีความรู้สึกผิดต่อเขา
“ในเมื่อหยินปู้ฝันมาที่นี่ แสดงว่าคุณรู้แล้วว่าเราหาคนที่จะมาช่วยคุณไม่ได้ แถมหลักฐานทั้งหมดในเมืองCถูกทำลายจนสิ้น คุณว่าฉันโง่มากเลยใช่ไหม? หน้าที่ประธานไม่ได้เรื่อง เป็นเลขาก็ไม่ได้เรื่อง แม้แต่คนที่มีประโยชน์ต่อคุณยังหาไม่ได้…..”
เธอยิ่งเอ่ยยิ่งรู้สึกตนไม่ได้เรื่อง
เป่หมิงโม่เห็นเธอที่เผยความอ่อนแอต่อหน้าตน ยากนักที่จะได้พบเห็น เธอในอดีตไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน
เขารู้สึกเศร้าใจขึ้นมา ไม่ใช่เพราะตนไร้ความหวังที่จะได้เป็นอิสระ แต่เพราะหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า
อดที่จะยอมรับไม่ได้ เธอมีความสำคัญต่อเขามากขึ้นเรื่อยๆ หากเป็นแต่ก่อน คงไม่เป็นเช่นนี้ การงานในทุกๆวัน รวมถึงเผชิญหน้าต่อตระกูลเป่โม่ทุกคน ทำให้เขาเสียพลังงานอย่างมาก
ฉะนั้น ในเวลาว่าง เขาไม่ต้องการที่จะเสียพลังงานไปกับความรักใคร่ ทำให้ระยะห่างของพวกเขาไม่ใกล้ไม่ไกล แต่อันที่จริงเวลาห่างเหินเยอะเสียมากกว่า
ส่วนเวลาใกล้กันนั้น…..เป็นความเต็มใจของตน