บทที่ 1000 ความเงียบงันในตอนนี้
ตอนที่เขาดึงประตูให้เปิดออกนั้น กู้ฮอนก็เอ่ยปากพูดอีกครั้ง “ฉันขอแนะนำให้คุณปล่อยมือ อย่าได้มีความคิดอะไรที่ไม่ดีอีก อีกอย่างอยู่ให้ห่างจากเป่หมิงยี่เฟิงด้วย เขาไม่ใช่คนในเส้นทางแบบเดียวกันกับพวกคุณ”
“OK คำแนะนำของประธานกู้ ผมจะพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบ เพียงแต่ว่ามีประโยคหนึ่งที่พูดเอาไว้ว่า คนในยุทธจักรไม่อาจทำตามใจตัวเองได้ ผมก็เป็นเพียงแค่คนที่รับคำสั่งแล้วลงมือทำ ถ้าหากว่าคุณมีความคิดอะไรอื่นๆ ขอให้คุณไปพูดกับอาจารย์ผมตรงๆเถอะครับ” เขาเอ่ยจบ หลังจากเดินออกไปแล้ว ก็ปิดประตูให้เรียบร้อยอีกครั้ง
***
หลังจากถังเทียนจื๋อปิดประตูจากไปแล้ว กู้ฮอนก็เก็บของของตัวเองเล็กน้อย เธอเตรียมจะไปพบหลี่เชิน
ในไม่ช้า เธอก็ขับรถบนถนนเส้นที่มุ่งหน้าไปยังบ้านพักที่อัดแน่นเต็มความทรงจำหลังนั้น
เธอขับรถไป สมองก็คิดว่าหลังจากพบกับหลี่เชินแล้ว ควรจะพูดอะไร ควรจะพูดอย่างไร
ในไม่ช้า รถของเธอก็จอดหยุดหน้าประตูบ้านพักหลังนั้น
ตอนที่กู้ฮอนเดินลงมาจากในรถนั้น ก็เห็นว่าหลี่เชินยืนรอตัวเองอยู่ที่หน้าประตูแล้ว
เห็นเพียงแค่ใบหน้าที่ดูชราอย่างเห็นได้ชัดของเขาประดับไปด้วยรอยยิ้ม
ช่วงวินาทีที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ทำให้กู้ฮอนรู้สึกว่ารอยยิ้มนั้นเหมือนกับคุณแม่ มากพอที่จะให้ความรู้สึกอบอุ่นกับตัวเอง
เพียงแต่เธอก็ตระหนักได้อย่างรวดเร็วถึงความลวงตาและความไม่จริงแท้ของความรู้สึกนี้ได้
“ฮอน คาดไม่ถึงเลยจริงๆว่าลูกจะเป็นฝ่ายมาหาพ่อเอง ลูกรู้ไหมว่า ตอนที่พ่อได้ยินข่าวนี้ รู้สึกดีใจมากแค่ไหน”
หลี่เชินไม่ได้พูดเกรงอกเกรงใจตามมารยาทอะไร แต่พูดตามเสียงความรู้สึกในใจจริงๆ
เพียงแต่เมื่อกู้ฮอนได้เผชิญหน้ากับความในใจของเขาแล้ว ก็ไม่ได้ตื้นตันใจอะไรมากนัก
เธอทำเพียงแค่ก้มศีรษะเดินขึ้นบันไดไปช้าๆ จากนั้นก็เดินตามหลังหลี่เชินเข้าไปในระเบียงทางเดินแห่งการกาลเวลานั้นไป
ได้พบกับรูปภาพเก่าๆที่ไม่ได้แวบผ่านเข้ามาในความคิดของตัวเองเพียงแค่ครั้งเดียวอีกครั้ง
ไม่ใช่เพื่ออะไร แต่คิดอยากจะมองความอบอุ่นของคุณแม่กับตัวเองที่มีเพียงแค่ในช่วงวัยเด็กอีกครั้งเท่านั้น
“ฮอน ลูกอยากจะดื่มอะไร” หลี่เชินพาเธอเดินมาจนถึงห้องรับแขก จากนั้นก็ชี้ไปยังโซฟาที่อยู่ไม่ไกลนัก
“ขอบคุณค่ะ ตอนนี้อะไรฉันก็อยากดื่มทั้งนั้น” เธอพูด เดินไปถึงหน้าโซฟาแล้วนั่งลง
ตอนที่เธอมาที่ในครั้งที่แล้ว เพียงแค่หยุดอยู่ที่ระเบียงทางเดินนั้นแค่ชั่วครู่หนึ่ง กลับไม่เข้ามาดูภายในบ้านพักนี้อย่างจริงจัง
วันนี้เป็นครั้งแรกที่นั่งอยู่ที่นี่ จึงมองไปรอบด้านด้วยความอยากรู้อยากเห็นอย่างอดไม่ได้
ห้องรับแขกห้องนี้ใหญ่กว่าบ้านของพวกลั่วเฉียวไม่มากเท่าไร แต่ไม่ว่าจะเป็นสไตล์หรือว่าวัสดุที่ใช้ตกแต่ง ล้วนไม่ได้มีความเลิศหรูมากกว่าเพียงหนึ่งถึงสองเท่าเท่านั้น
นี่ไม่ได้พูดว่าการตกแต่งของที่นี่หรูหรามากเพียงใด กลับกันดูแล้วเรียบง่ายเป็นอย่างมาก แต่ว่า เครื่องเรือนเหล่านั้นล้วนใช้วัสดุที่มีราคาแพงมาก แสดงความเป็นโบราณและความหรูหราอันเรียบง่ายออกมาอย่างเห็นได้ชัด
แม้ว่ากู้ฮอนจะไม่ได้เชี่ยวชาญในสายนี้มากนัก แต่ก็สามารถมองออกว่าตำแหน่งของหลี่เชินนั้นไม่ได้จัดการง่ายอย่างนั้น ไม่อย่างนั้นผู้อำนวยการโกวรวมถึงเหล่าทนายความก็คงไม่ถึงกับต้องถูกเขาชักใย
หลี่เชินหยิบชาแช่เย็นออกมาจากตู้เย็นสองกระป๋อง จากนั้นเขาก็หาที่นั่งโซฟาตัวหนึ่งแล้วนั่งลงด้านข้างเธอ
“อากาศร้อนมาก ดื่มสักหน่อยจะได้ลดระดับความร้อน” เขาพูดพลางยื่นกระป๋องหนึ่งให้เธอ
“ขอบคุณค่ะ”
หลี่เชินมองเธอพลางยิ้มบางๆ “ระหว่างพวกเราจำเป็นต้องเกรงใจขนาดนี้ด้วยหรือ”
“จำเป็นอย่างมากค่ะ” กู้ฮอนพูด เปิดกระป๋องนั้นของตัวเอง จากนั้นก็เงยหน้าดื่มไปอึกหนึ่ง เธอในตอนนี้ จำเป็นต้องลดอุณหภูมิลงหน่อยจริงๆ
สำหรับคำตอบของลูกสาวนั้น หลี่เชินก็ทำได้เพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อย “แบบนี้ก็ดี อย่างน้อยลูกจะได้รู้สึกดีเล็กน้อย”
ภายในห้องรับแขก ในมือของทั้งสองคนมีชาแช่เย็นคนละกระป๋อง แต่ไม่มีใครเปิดปากพูดอะไรอีก เพียงแค่มองนาฬิกาบนกำแพงที่หมุนวนไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
ครึ่งชั่วโมงผ่านไปแล้ว บรรยากาศภายในห้องรับแขกยังคงเหมือนกับตอนที่กู้ฮอนมาถึง
ตอนนี้เองที่หลี่เชินอดทนไม่ไหวแล้ว เขาอยากจะเริ่มต้นสถานการณ์นี้ ดังนั้น เขาจึงวางสิ่งของที่อยู่ในมือตัวเองลง จากนั้นก็หยิบกล้องสูบยาปะการังสีดำอันนั้นออกมา
.***
หลี่เชินหยิบกล้องสูบยาปะการังสีดำอันนั้นออกมา “ลูกดูสิ นี่คืออะไร” พูดพลางยื่นสิ่งนี้ไปให้กู้ฮอนที่นั่งอยู่ไม่ไกล
ตอนนี้ในใจของกู้ฮอนสับสนวุ่นวายเป็นอย่างมากเช่นกัน เธอถามตัวเองไม่หยุดว่า มาที่นี่เพื่ออะไรกันแน่ มีความจำเป็นจะต้องให้โอกาสกับหลี่เชินอีกครั้งหนึ่งด้วยหรือ
เขาเป็นผู้ชายที่ทิ้งคุณแม่ไปในตอนที่เธอจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือมากที่สุดอย่างไร้เยื่อใย แม้ว่าเขาจะมีเหตุผลมากมายมาอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปีนั้น
แต่แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ การกระทำของเขาก็ไม่อาจให้อภัยได้
แต่ถ้าหากไม่เตือนให้เขากลับเนื้อกลับตัวล่ะก็ เหมือนว่าจะทำผิดต่อมโนธรรมในใจของตัวเอง ถึงอย่างไรเขาก็ยังคงเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดตัวเอง
ในตอนนี้เอง หลี่เชินก็ยื่นกล้องยาสูบอันหนึ่งมาให้ตัวเอง ทำลายสภาวะชะงักงันนี้ไปได้อย่างชาญฉลาด
เธอยื่นมือไปรับมา พลิกดูรายละเอียดกล้องยาสูบนี้ไปมา
มองออกว่า หลี่เชินทะนุถนอมสิ่งนี้เป็นอย่างมาก กล้องยาสูบนี้สะอาดสะอ้านมาก เป็นเงาวาวเหมือนกับของใหม่
“นี่คือสิ่งที่คุณแม่ของลูกมอบให้พ่อ หลายปีมานี้ มันไม่เคยอยู่ห่างจากพ่อเลย ทุกวันที่มองดูมัน ก็เหมือนกับว่ามีคุณแม่ของลูกอยู่ข้างกายพ่ออย่างไรอย่างนั้น”
ใบหน้าของหลี่เชินประดับไปด้วยรอยยิ้มขณะพูด กล้องยาสูบอันนี้เป็นสิ่งค้ำจุนจิตวิญญาณเพียงอย่างเดียวในชั่วชีวิตนี้ของเขา
กู้ออนจับกล้องยาสูบอันนี้ไว้แน่น แนบมันลงกับทรวงอก คล้ายกับว่าสามารถรู้สึกถึงความรักของคุณแม่ได้
“ฮอน ที่ลูกมาในวันนี้ คิดว่ามีเรื่องอยากจะพูดกับพ่อสินะ” หลี่เชินเก็บรอยยิ้มขึ้น เขาพูดอย่างไม่ปิดบัง ตรงไปตรงมาเป็นอย่างมาก
“ใช่ค่ะ ฉันมีธุระจึงมาพบคุณ ที่จริงแล้วก็เป็นเรื่องเดิมที่นำมาพูดใหม่อีกครั้ง หวังว่าคุณจะสามารถปล่อยบริษัทเป่หมิงไปได้”
“ไม่ได้! ฮอน ถ้าหากว่าลูกเอ่ยคำขอร้องอื่นๆกับพ่อ พ่ออาจจะรับปากลูก แต่ว่าเรื่องนี้ไม่เหลืออะไรให้พูดคุยปรึกษากันอีกแล้ว” ใบหน้าของหลี่เชินเต็มไปด้วยความโกรธ
บริษัทเป่หมิง ก็คือเกล็ดย้อนของเขา ตอนที่ยังไม่ได้แตะโดนเกล็ดย้อนอันนี้ สามารถพูดได้ว่าอะไรก็คุยกันง่าย แต่เมื่อแตะโดนเกล็ดย้อนในเรื่องนี้แล้ว เขาจะไม่มีทางรับปาก
สำหรับการปฏิเสธของเขาในคำเดียว กู้ฮอนได้เตรียมความคิดให้พร้อมอย่างเต็มที่แล้วระหว่างทางที่มา
เธอไม่ได้เหมือนกับครั้งแรกที่หลังจากหลี่เชินมีโทสะขึ้นมาแล้ว เธอก็มีโทสะตามขึ้นมาด้วย ถึงอย่างไรก็ยังคงมีท่าทีผ่อนคลายเช่นเดิม “ฉันหวังว่าคุณจะชัดเจนมากพอ ฉันไม่ได้ขอร้องวิงวอนคุณ และก็ไม่ได้สั่งคุณเช่นกัน ฉันเพียงแค่กำลังเตือนคุณ ถ้าหากไม่ปล่อยมือในสถานการณ์นี้ ก็เป็นไปได้อย่างมากว่าคุณจะต้องเผชิญหน้ากับผลลัพธ์ที่ไม่มีทางย้อนคืนกลับมาได้อีก”
หลี่เชินหัวเราะเสียงเย็น “จะมีผลลัพธ์อะไรกัน ฮอน ลูกอย่าใช้ประโยคนี้มาข่มขู่พ่อ ลูกก็ไม่คิดดูให้ดีบ้าง จากทนายความเหล่านั้นไปจนถึงผู้อำนวยการโกวนั่น ยังมีอีก ทำไมเป่หมิงยี่เฟิงถึงสามารถกลับไปยังบริษัทเป่หมิงได้อย่างราบรื่น สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นพ่อที่ให้การสนับสนุนพวกเขาอยู่เบื้องหลัง ลูกพูดมาสิว่าตอนนี้ยังมีอะไรที่พ่อไม่สามารถจะยอมรับได้อีก”
“ในเมื่อคุณเป็นตัวการใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังของผู้อำนวยการโกว ก็ควรจะทราบชัดเจนว่าวันนั้นเขาทำอะไรกับฉันบ้าง คุณยังกล้าเรียกฉันปาวๆว่าลูกสาว แต่ตอนที่ผู้ใต้บังคับของคุณวางแผนไม่ดีทั้งหมดกับฉันนั้น คุณกลับไม่ได้ก้าวออกมาเลย ส่วนเป่หมิงโม่ เขาก้าวออกมาช่วยฉันอย่างกล้าหาญ” กู้ฮอนมองหลี่เชิน “ตอนที่ฉันรู้ว่าคุณเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเขา คุณรู้ไหมว่าฉันผิดหวังต่อคุณมากแค่ไหน”
หลังจากหลี่เชินได้ยินคำพูดของเธอแล้ว ในใจที่อัดอั้นไปด้วยโทสะเมื่อครู่นี้ ก็ลดลงมาบ้างเล็กน้อย ไม่อาจปฏิเสธเลยว่า ในเรื่องนี้ เขาบกพร่องในหน้าที่จริงๆ ควรจะพูดว่าเขาไม่ได้คิดเลยว่าจะเกิดเหตุการณ์ที่น่าโมโหเช่นนี้ขึ้น
นี่เป็นสิ่งที่เขาติดค้างลูกสาว
“ลูกวางใจเถอะ สำหรับเรื่องนี้พ่อจะต้องให้คำตอบที่ลูกพอใจอย่างแน่นอน หลังจากที่จัดการเรื่องทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว”
***
แม้ว่ากู้ออนจะอยากโน้มน้าวหลี่เชินให้เขาปล่อยวางความแค้นทั้งหมดก็ดี การล้างแค้นก็ช่าง แต่คาดไม่ถึงเลยว่าเขาจะมีทิฐิและดื้อรั้นเช่นนี้
ความเชื่อนั้นฝังรากลึกอยู่ในความคิดและจิตสำนึกของเขา
“ฮอน ลูกหรือไม่ว่า สาเหตุที่พ่อสามารถอยู่ในตำแหน่งนี้ได้ในตอนนี้ ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะว่าพ่อมีความเชื่อนี้ พ่อรู้ว่า ถ้าอยากจะบรรลุเป้าหมายของพ่อ จำเป็นจะต้องมีอำนาจมากกว่าพวกเขา แต่ว่าในสมัยนั้น พ่อไม่ได้มีศักยภาพยิ่งใหญ่แบบนั้นเหมือนกับพวกเขา และเมื่อมองในระยะยาวแล้ว ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีความเป็นไปได้นี้มากยิ่งขึ้นไปอีก เพียงแต่ว่า ถนนทุกสายนั้นสามารถไปถึงกรุงโรมได้ สู้กับศักยภาพทางด้านเศรษฐกิจไม่ได้ ก็สู้กับศักยภาพในด้านอื่นๆแทน”
หลี่เชินพูดถึงตรงนี้แล้ว ก็ดูเหมือนว่าจะอารมณ์คึกคักขึ้นมา สถานที่แห่งนี้น่าจะเป็นสิ่งที่เขาภูมิใจมากที่สุดแล้วแห่งหนึ่ง “บนโลกใบนี้ ตั้งแต่โบราณกาลจนถึงปัจจุบันนี้เปลี่ยนแปลงไปมากมาย แต่มีสองสิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย สิ่งแรกก็คือเม็ดเงิน สิ่งที่สองก็คืออำนาจ พวกเขาตระกูลเป่หมิงมีเงิน อย่างนั้นพ่อก็จะต้องมีอำนาจ”
กู้ฮอนเห็นหลี่เชินเล่าประวัติเกี่ยวกับตัวเองด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความคึกคัก แม้จะผ่านมาหลายปีขนาดนี้ เขาได้กลายเป็นบุคคลที่แม้จะพูดไม่ได้ว่า มีอำนาจมากมายเหนือผู้คนทั้งบนและล่าง แต่ก็ถือว่าสามารถใช้มือข้างเดียวปิดบังฟ้าได้ผืนหนึ่งแล้ว
เล่าถึงตอนท้าย หลี่เชินก็พูดกับเธออย่างมีความหมายว่า “ฮอน พ่อสามารถพูดแบบนี้ได้ ถ้าหากว่าลูกสามารถที่จะไปจากบริษัทเป่หมิงได้ ตัดขาดความสัมพันธ์ทุกอย่างกับเป่หมิงโม่อะไรนั่น พ่อสามารถรับประกันได้ว่าจะให้ลูกใช้ชีวิตผ่านคืนวันได้สะดวกสบายยิ่งกว่าตอนนี้ สำหรับเด็กทั้งสามคนนั้น แม้ว่าพวกเขาล้วนแซ่เป่หมิง พ่อก็สามารถไม่ตำหนิความผิดในอดีตได้ ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นหลานแท้ๆของพ่อ สรุปแล้ว พวกลูกแม่ลูกสามารถมีชีวิตที่ดีกว่าพวกตระกูลเป่หมิงได้ ลูกดูสิว่าตอนนี้พวกตระกูลเป่หมิง กลายสภาพเป็นอย่างไรไปแล้ว ไม่มีความเป็นหนึ่งเดียว แต่ละคนปากหวานก้นเปรี้ยว เต็มไปด้วยกลอุบาย เฮ้อ อย่างไรเป่หมิงเจิ้งเทียนก็คงคิดไม่ถึง อาณาจักรที่เขาพยายามสร้างขึ้นมาชั่วชีวิตนี้ ถึงรุ่นที่สองก็ใกล้จะล่มสลายเสียแล้ว”
“มโนภาพนี้ไม่ว่าคุณจะวาดให้ใคร ฉันคิดว่ายากมากที่คนจะปฏิเสธได้ แต่สำหรับฉันแล้ว กลับไม่มีความดึงดูดใจอะไรเลย”
ประโยคนี้ของกู้ฮอนทำให้หลี่เชินตะลึงค้าง “ลูกรู้ไหมว่าลูกพูดอะไรอยู่ สาเหตุที่ตอนนี้ลูกสามารถพูดแบบนี้ได้ นั่นก็เพียงแค่เพราะว่าในมือของลูกมีเงินทุนอยู่แล้ว และบริษัทเป่หมิงก็เป็นเงินทุนของลูก แต่ในวันหนึ่ง เมื่อไม่มีบริษัทเป่หมิงแล้ว สิ่งอื่นๆที่ลูกมีทั้งหมดล้วนไม่มีแล้ว รวมถึงรถหรูที่ลูกขับมาในวันนี้…….หลังจากที่สูญเสียสิ่งเหล่านี้ไปแล้ว ลูกจะสามารถพูดแบบนี้ออกมาได้อีกไหม ฮอน ลูกยังเยาว์วัยอยู่มาก มีเรื่องมากมายที่คิดได้ไม่รอบด้าน”
“ไม่ สาเหตุที่ฉันสามารถพูดคำพูดเหล่านี้ได้ นั่นก็เพราะว่าฉันเดินมาจากสถานการณ์ที่ยากจนข้นแค้นจริงๆ แม้จะไม่สามารถประกาศได้ว่า ผ่านการลิ้มรสชาติในชีวิตคนเรามาสารพัด แต่ก็สัมผัสรสชาติต่างๆในการใช้ชีวิตมามากกว่าคนมากมาย คืนวันที่ยากจนข้นแค้น ฉันก็ผ่านมาแล้ว คืนวันที่ได้รับความอัปยศอดสูอย่างที่สุด ฉันก็กัดฟันยืนหยัดจนผ่านมาแล้วเช่นกัน ในวันนี้ แม้ว่าฉันจะนั่งอยู่ในตำแหน่งที่ผู้คนมากมายล้วนอิจฉาตาร้อน แต่ฉันไม่ได้คิดว่าตำแหน่งนี้เป็นของฉัน เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ฉันจะเลือกจากไป กลับไปสู่ความเรียบง่าย” เธอพูดอย่างเยือกเย็น น้ำเสียงราบเรียบนี้แสดงให้เห็นถึงความเด็ดเดี่ยวที่หล่อหลอมมาตลอดหลายปีนี้