บทที่ 1042 แสงจันทร์ในคืนฤดูหนาว
“เด็กๆจ๊ะ ข้างนอกอากาศเย็นมากแล้ว รีบเข้ามาได้แล้ว”
หลังจากที่เป่หมิงโม่ไปได้ไม่นาน กู้ฮอนก็มายืนเรียกพวกเด็กๆที่ประตู
“ตกลงครับ/ค่ะแม่” หลังจากเด็กๆส่งเสียงตอบรับแล้ว ก็วิ่งกลับเข้ามาในบ้านพร้อมกับรอยยิ้ม
“หม่าม้าคิดว่าตุ๊กตาหิมะที่พวกเราปั้นดีกว่าตัวนั้นของคุณพ่อไหมคะ?” จิ่วจิ่วเอื้อมมือเล็กๆที่หนาวเย็นมาจับมือใหญ่ของกู้ฮอน
กู้ฮอนมองเห็นว่ามีกองเล็กๆกองหนึ่งอยู่ข้างๆตุ๊กตาหิมะตัวโต อย่างไรก็ตามไม่สามารถตัดสินถึงความสวยงามของฝีมือได้
แต่ว่าเธอยังพูดปลอบจิ่วจิ่วอย่างเอาใจว่า : “แน่นอนว่าตัวที่พวกหนูปั้นสวยกว่าจ้ะ”
หลังจากที่จิ่วจิ่วได้ฟังแล้วดูเหมือนว่าจะยังไม่พอใจ : “หม่าม้าโกหก เห็นอยู่ชัดๆว่าของคุณพ่อปั้นสวยกว่าอีก”
“เอาล่ะเอาล่ะพวกหนูรีบเข้ามาเถอะ ข้างนอกหนาวจะแย่แล้ว” แอนนิที่อยู่ในบ้านร้องทัก
เมื่อทั้งหมดเข้ามาในบ้านแล้ว กู้ฮอนรีบเปลี่ยนเสื้อให้กับเด็กๆทั้งสามคน พร้อมทั้งแบ่งนมร้อนให้แต่ละคนเพื่ออบอุ่นร่างกาย
“แม่ของพวกหนูไม่ได้หลอกหนูหรอกจ้ะ แต่เพราะในสายตาของแม่ ไม่ว่าลูกจะทำออกมาสวยหรือไม่สวย แต่ในสายตาของเธอย่อมสวยไปหมดอย่างไม่รู้ตัว”
แอนนิพูดพร้อมหมุนตัวเดินไปยังห้องครัว
ผ่านไปสักพักก็มีกลิ่นหอมฉุยลอยออกมาจากด้านใน
หยางหยางเงยหน้าขึ้น แล้วใช้จมูกสูดกลิ่นอย่างแรง : “ทำไมกลิ่นถึงได้หอมขนาดนี้ กลิ่นหอมเหมือนกับมันเทศเผาที่คุณปู่ริมทางทำเลย”
เฉิงเฉิงสูดกลิ่น แล้วพยักหน้าเล็กน้อย “เหมือนกับมันเทศเผาเลย”
จิ่วจิ่วกระพริบตาด้วยความประหลาดใจ : “มันเทศคือผักอะไรเหรอคะ? มันเทศกับหนูเหมือนกันไหมคะ?” พูดจบแล้วดูเหมือนว่าเธอจะตกใจกับคำถามของตัวเอง มีประกายเลือนรางอยู่ในเบ้าตา
หนูเผาน่าจะเป็นอาหารที่น่ากลัวอย่างมาก
“มันเทศอบมาแล้วจ้า…” ตามมาด้วยเสียงของแอนนิ เธอสวมถุงมือคู่หนาสำหรับทำบาร์บีคิว แล้วเดินออกมาจากห้องครัวพร้อมด้วยจานกระเบื้องสีขาว จากนั้นก็วางไว้บนโต๊ะกาแฟในห้องนั่งเล่น
มันคือมันเทศจริงๆ
แอนนิพูดอย่างลำบากใจว่า : “ฉันเพิ่งจะเรียนรู้วิธีการอบ เลยไม่รู้ว่ามันจะเข้าที่หรือยังนะ”
“ป้าแอนนิทำออกมาได้ดีจริงๆครับ มันเหมือนกับที่คุณปู่ริมถนนเผาเป๊ะเลย” หยางหยางพูดพร้อมกับยกนิ้วโป้งให้
ส่วนจิ่วจิ่วล่ะ ตั้งแต่ตอนที่แอนนิยกจานออกมา ก็ใช้มือน้อยๆของตัวเองปิดตาแน่น
ถึงแม้ว่ากลิ่นจะทำให้เธอรู้สึกจิตใจเบิกบาน แต่เมื่อคิดถึงหนูที่อยู่ด้านใน…
ความรู้สึกสวยงามนั้นหายไปในทันที
เธอไม่กล้ามองไปยังสิ่งที่น่ากลัวเช่นนี้
กู้ฮอนย่อตัวลงแล้วโอบจิ่วจิ่วไว้ในอ้อมกอดของตัวเอง และพูดอย่างอ่อนโยนว่า : “ลูกน้อย มันเทศไม่ใช่หนูหรอก หนูดูสิ…”
หลังจากฟังที่แม่พูดแล้ว จิ่วจิ่วที่รู้สึกกังวลในตอนแรก จากนั้นมือเล็กๆที่ปิดตาไว้ก็ค่อยๆมีช่องทะลุออกมา
เธอมองไปที่จานด้วยความสงสัย
เห็นเพียงแค่ข้างในมีของห้าอันที่ดูเหมือนกับมะเขือยาววางอยู่ เพียงแต่ว่าผิวของมันไม่เป็นสีม่วงเลย ยิ่งไปกว่านั้นพอมองดูแล้วมันแห้งเล็กน้อย ในส่วนที่แตกออก มีบางอย่างที่มีสีเหมือนคาราเมล
หลังจากที่ยืนยันแล้วว่ายังไงก็ไม่ใช่หนู จิ่วจิ่วถึงจะเอามือออก
เฉิงเฉิงที่เหมือนกับเป่หมิงโม่ เป็นเหมือนกับสุภาพบุรุษตัวน้อย ถ้าแม่ของพวกเขาไม่ขยับก่อน เขาก็จะไม่ขยับเป็นคนแรก
แต่หยางหยางกลับไม่เป็นเหมือนเขาเลย เด็กกินเก่งคนนี้มองเห็นของอร่อยแล้ว ก็อดใจไม่ไหวที่จะเอื้อมมือไปคว้า
“ระวังลวก…”
**
น่าเสียดายที่หยางหยางมือไวมากเกินไป ขณะที่แอนนี่พูด มือของเขาก็จับของตรงหน้าไว้แน่นแล้ว
ใบหน้าที่ตะกละตะกรามนั้นเปลี่ยนสีไปในพริบตา สุดท้ายเมื่อถูกลวกก็ตะโกนเสียงดังว่า : “ร้อนมากเลย…”
เขาแทบจะโยนของชิ้นนั้นที่อยู่ในมือลงบนพื้น
“ดูลูกสิเพราะไม่มีความอดทน เลยมีจุดจบแบบนี้!” กู้ฮอนไม่ได้รู้สึกสงสารกับพฤติกรรมเช่นนี้ของหยางหยางเลยแม้แต่น้อย
เธอรู้สึกว่าควรจะหนักกว่านี้ด้วยซ้ำ เพื่อทำให้เด็กคนนี้จำไว้นานๆถึงจะดี
แต่ทว่าแอนนิกลับสะดุ้งตกใจเล็กน้อย เธอรีบถอดถุงมือออกแล้วจับมือเล็กๆของหยางหยาง
และเห็นว่ามือเล็กๆของหยางหยางนั้นมีรอยลวกสีแดง
“ยังร้อนอยู่หรือเปล่า?” แอนนิถาม
หยางหยางหัวเราะเบิกบาน : “ไม่เป็นไรแล้วครับ ไม่เป็นไร ผมเป็นลูกผู้ชาย เรื่องนี้ไม่เป็นอะไรเลย”
กู้ฮอนชำเลืองมองเขา “ลูกก็แค่ดื้อดึงไปอย่างนั้น ถ้าทำได้ก็ลองหยิบอีกอันหนึ่งสิ เป็นพี่ชายแต่ไม่เหมือนพี่ชายเลย”
พูดพร้อมกับมองไปที่จิ่วจิ่ว : “ลูกน้อยจ๊ะหนูห้ามเลียนแบบพี่เขานะ หนูต้องทำตัวให้เหมือนกับเฉิงเฉิงถึงจะดีรู้หรือเปล่า”
ใช่แล้ว หยางหยางกลายเป็นสื่อการสอนในเชิงลบไปแล้ว
แอนนินำมีดส้อมและอุปกรณ์บนโต๊ะอาหารตามมาทีหลัง
“ป้าแอนนิครับ มันเทศต้องใช้มือกินถึงจะได้รสชาตินะครับ ถ้าใช้อุปกรณ์พวกนี้…มันจะไม่…”
หยางหยางมองดูอุปกรณ์บนโต๊ะอาหารที่มันวาวเหล่านี้แล้วขมวดคิ้ว เขาอยากจะใช้คำสักคำเพื่อมาอธิบายมัน แต่ดูเหมือนว่าเมื่อคำพูดมาถึงริมฝีปากแล้วกลับพูดไม่ออก
แน่นอนว่าแอนนิเข้าใจความคิดของเขา เธอยื่นมือมาเขี่ยจมูกของเขา : “เธอคิดจะพูดว่า “ทำให้ยุ่งยากไม่เข้าเรื่อง” หรือว่าอย่างอื่นใช่ไหม? ไม่อยากใช้ของพวกนี้แล้วจะใช้อะไรล่ะ? ถ้าทำได้ก็ใช้มือหยิบไปเลย ถ้าหากว่าทำหล่นล่ะก็คอยดูแล้วกันว่าฉันจะจัดการเธอยังไง?”
เฉิงเฉิงยืนอยู่ด้านข้างและมองดูหยางหยางหัวเราะคิกคัก นี่คือการกินมันเทศที่หยางหยางทำให้เป็นเรื่องยุ่ง
กู้ฮอนหยิบมีดแล้วผ่ามันเทศเผยให้เห็นหัวใจสีเหลือที่น่าเย้ายวนอยู่ข้างใน จากนั้นก็มีไอสีขาวและกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์อบอวลไปทั่วห้องนั่งเล่นทันที
“คุณเป่หมิงไปแล้ว พวกของฉิงฮัว ดูเหมือนจะพักอยู่กับแม่ของเธอ พวกเรากินไม่หมดหรอก” แอนนิกล่าว
“กินหมดครับ กินหมด…” หยางหยางที่กำลังถือส้อม แล้วจ้องตะครุบมันเทศชิ้นที่แห้งกว่าชิ้นอื่นตาเป็นมัน
“ไม่รู้ว่าพ่อไปถึงแล้วหรือยัง” เฉิงเฉิงพูดแล้ววิ่งไปที่หน้าต่าง เขาเงยหน้าขึ้นมองไปทางวิลล่าที่ซานปาน
กู้ฮอนหั่นชิ้นเล็กๆให้จิ่วจิ่วและให้เธอกินอย่างระมัดระวังแล้วเดินมาที่หน้าต่าง
วิลล่าที่ซานปานนั้นถึงจะไม่มีใครอยู่แต่กระนั้นก็ยังคงเปิดไฟส่องสว่างอยู่ เพราะฉะนั้นด้วยข้อนี้เพียงอย่างเดียวจึงไม่สามารถตัดสินได้ว่าเป่หมิงโม่กลับถึงบ้านอย่างปลอดภัยหรือยัง
แต่ถ้าหากโทรหาเขาในตอนนี้ แล้วเขายังขับรถอยู่บนเนินเขา การรับสายอาจจะเป็นอันตรายก็ได้ไม่ใช่หรือ…
เป็นเวลาเกือบชั่วโมงแล้วที่เขาออกจากที่นี่ ถ้าหากเป็นเวลาปกติก็จะถึงนานแล้ว เพียงแต่ว่าที่ด้านนอกหิมะยังคงตกอยู่ ถนนไม่น่าจะเดินทางได้ง่ายขนาดนั้น
“ลูกรัก ลูกไปกินก่อนเถอะจ้ะ อีกสักพักแม่จะโทรหาเขาเอง” กู้ฮอนพูดพร้อมกับตบไหล่เฉิงเฉิงเบาๆ
ทันทีที่เฉิงเฉิงจากไปไม่นาน มือถือของเธอก็ส่งเสียงดังขึ้น
เธอเห็นหน้าจอแสดงว่าเป็นสายมาจากเป่หมิงโม่ หัวใจของเธอหล่นวูบในทันที
“ผมมาถึงแล้ว ไม่ต้องห่วงนะ”
**
กู้ฮอนพยักหน้า : “อื้ม งั้นก็ดีแล้วค่ะ คุณรีบพักผ่อนเถอะค่ะ”
เป่หมิงโม่ตอบรับมาหนึ่งคำ หลังจากนั้นจึงวางสาย
ที่จริงเขามีคำพูดมากมายที่อยากจะพูดกับกู้ฮอน แต่เมื่อคำพูดมาอยู่ริมฝีปากแล้ว เขาก็ต้องฝืนกลืนมันลงไป
กู้ฮอนเก็บมือถือ กลับไปหาพวกเด็กๆ : “คุณพ่อของลูกๆกลับถึงบ้านแล้วนะจ๊ะ”
“มันน่าเสียดายจังเลยค่ะ ที่คุณพ่อไม่ได้กินมันเทศอร่อยๆแบบนี้ ป้าแอนนิคะ หนูอยากจะกินทุกวันเลย” จิ่วจิ่วใช้ส้อมเล็กๆจิ้มแล้วเอาเข้าปาก
“เหอๆ แม่หนูน้อยที่รัก คิดไม่ถึงเลยว่าหนูจะสนับสนุนฉันขนาดนี้ ตกลง ฉันจะทำให้หนูทานทุกวัน โอเคไหมจ๊ะ” แอนนิยิ้มแล้วลูบหัวเล็กๆของจิ่วจิ่ว
“ลูกรัก ตอนกลางคืนกินมากไม่ได้นะจ๊ะ เพราะไม่อย่างนั้นท้องเล็กๆของพวกลูกจะรับไม่ไหว” กู้ฮอนพูดเตือน แล้วก็หยิบขึ้นมาใส่ปากหนึ่งชิ้นเพื่อลิ้มรสชาติ
เธออดไม่ได้ที่จะพยักหน้า : “ไม่เลวเลยจริงๆ ใส่ในเมนูเป็นอาหารพิเศษได้อย่างสมบูรณ์แบบเลยนะ”
แอนนิรู้สึกปลาบปลื้มอย่างมาก : “จริงเหรอ พวกเธออาจจะหลอกฉันอยู่ก็ได้”
“ป้าแอนนิป้าพูดว่าพวกเราหลอกคุณป้า ถ้างั้นพวกเราจะได้ประโยชน์อะไรล่ะ? น่ากลัวว่าต่อจากนี้จะไม่ได้กินของอร่อยแบบนี้อีกแล้ว” หยางหยางกินชิ้นเล็กๆแล้วยังรู้สึกไม่สะใจ เลยหยิบชิ้นที่เล็กกว่าขึ้นมาอีกหนึ่งชั้นแล้วกินทั้งชิ้นในคราวเดียว
*
เป็นเวลากลางดึกแล้ว ในที่สุดหิมะที่ตกมาตลอดทั้งวัน ในที่สุดก็ค่อยๆเริ่มเบาลง หลังจากผ่านไปสองชั่วโมงกว่า แสงสว่างที่หายไปนานบนท้องฟ้าได้ปรากฏออกมาอีกครั้ง
ถึงแม้ว่าจะเป็นพระจันทร์เสี้ยว แต่แสงสว่างนั้นปรากฏเด่นชัด
ผู้คนต่างพากันซ่อนตัวอยู่ภายในบ้านที่อบอุ่น รอยเท้าที่ยุ่งเหยิงบนพื้น และรอยล้อรถก็ถูกเกล็ดหิมะปกคลุมอีกครั้ง
ทิ้งไว้เพียงพื้นขาวโพลนสะท้อนแสงจันทร์ ทำให้ด้านนอกยิ่งดูสว่างขึ้น
เด็กเข้านอนหลังจากกินอิ่มแล้ว ในห้องนั่งเล่นเหลือเพียงแอนนิและกู้ฮอนสองคนนั่งดูทีวีอยู่บนโซฟา
ที่จริงพวกเขาต่างกำลังคิดเรื่องของแต่ละคนอยู่ในใจ
ในที่สุดกู้ฮอนก็เป็นคนเอ่ยปากก่อน : “แอนนิ หยินปู้ฝันคนนี้ดีจริงๆ ฉันหวังว่าเธอจะคิดให้ดีๆสักหน่อยนะ”
“กู้ฮอน วันนี้ที่เธอคุยกับฉันในร้านอาหาร ใจของฉันก็ฟังอยู่แล้วล่ะ ฉันน่ะ รู้ว่าคุณหยินปู้ฝัน เป็นคนที่ดีมาก ยิ่งไปกว่านั้นยังประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน เพียงแต่ฉันคิดว่าฉันไม่ดีพอที่จะเข้าไปพัวพันกับเขา รู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควรกับเขาเลย”
กู้ฮอนมองไปที่แอนนิอย่างประหลาดใจ : “เธอจะไม่คู่ควรกับเขายังไง เธออ่อนโยนและมีคุณธรรม ยิ่งไปว่านั้นยังมีความสามารถ ถ้าฉันเป็นผู้ชายล่ะก็ ฉันจะแต่งงานกับเธอ”
“กู้ฮอน เธอไม่ต้องปลอบใจฉันหรอก ฉันไม่ได้ดีเหมือนอย่างที่เธอพูดขนาดนั้น ฉันไม่คู่ควรกับเขาเพราะฉันเคยมีชีวิตแต่งงานที่ล้มเหลว ยิ่งไปกว่านั้น…และฉัน…” แอนนิพูดมาถึงตรงนี้ก็กัดริมฝีปากของตนเอง
เพราะเธอไม่มีทางพูดคำที่เหลืออยู่ออกมาได้จริงๆ เพราะว่าสำหรับผู้หญิงแล้ว มันเป็นข้อบกพร่องที่ไม่สามารถชดเชยได้จริงๆ
แล้วก็เพราะข้อบกพร่องนี้ด้วย เธอถึงได้มีชีวิตการแต่งงานที่ล้มเหลว
บอกตามตรง เธอไม่อยากให้สาเหตุนี้ทำให้ตัวเองต้องได้รับความทรมานอีกเป็นครั้งที่สอง
กู้ฮอนมองดูการแสดงออกถึงความลังเลของเธอ แล้วคาดเดาได้หลายส่วน เธอมองอย่างเห็นอกเห็นใจแล้วเหยียดแขนออกไปวางไว้บนไหล่ของแอนนิเบาๆ
เรื่องระหว่างผู้หญิงก็เป็นแบบนี้ เพียงแค่คนหนึ่งแสดงท่าทาง อีกฝ่ายก็เข้าใจได้
***
กู้ฮอนปลอบใจเธอ : “แอนนิ ฉันหวังว่าเธอจะไม่คิดแบบนี้ บางทีสิ่งต่างๆอาจจะไม่เลวร้ายเหมือนอย่างที่เธอคิด ไม่ใช่ว่าไม่ไม่มีเรื่องอะไร ถึงจะมีปัญหาด้านนั้นจริงๆ แต่ตอนนี้ทางการแพทย์ก็เจริญขนาดนี้ ต้องมีวิธีแก้ไขใช่ไหมล่ะ? หยินปู้ฝันคนนี้ ฉันรู้จักเขาดีที่สุดแล้ว เขามีความรู้สึกที่ดีต่อเธอจริงๆ อย่าพลาดโอกาสนี้เลย”
แอนนิหันหน้าไปมองกู้ฮอน ท่าทางยังคงเต็มไปด้วยความระมัดระวังอย่างเห็นได้ชัด
“กู้ฮอน ฉันมีเรื่องอยากจะถามเธอ หวังว่าเธอจะตอบฉันมาตามจริงได้หรือหรือเปล่า?”
“ได้สิ ระหว่างฉันกับเธอยังมีอะไรที่ไม่สามารถพูดได้ล่ะ?”