บทที่ 1045 คุณพ่อรวยแล้ว
มาถึงโซนกลุ่มที่สอง เธอเริ่มแนะนำอีก : “พื้นที่นี้เป็นผลงานของ John Galliano ค่ะ เขาเป็นหัวหน้านักออกแบบของ Christine Dior คุณเป่หมิงคะ คุณลองดูว่ามีสไตล์ไหนที่ถูกใจบ้างหรือเปล่า…”
โดยทั่วไปแล้วชายหญิงมาซื้อเสื้อผ้าด้วยกัน มักจะเป็นผู้ชายที่รู้สึกทนไม่ได้กับความชักช้าของผู้หญิง
แต่สำหรับเป่หมิงโม่และกู้ฮอน ดูเหมือนว่าความรู้สึกนี้กลับตรงกันข้าม
พวกเขาเดินไปทีละชั้นทีละชั้น แล้วมองดูชุดจำนวนไม่น้อย ลองชุดไปมากกว่าสิบชุด แต่ดูเหมือนว่าท้ายที่สุดแล้วจะยังไม่เจอสไตล์แบบที่เป่หมิงโม่พึงพอใจเลย
เมื่อมองดูนาฬิกา ได้อยู่ข้างในนั้นมานานกว่าสองชั่วโมงแล้ว
“คาดว่าทั้งสองท่านคงจะรู้สึกเหนื่อยแล้ว เชิญพักผ่อนที่ร้านกาแฟของทางเราสักครู่” พนักงานสามารถสังเกตจากสีหน้าและคำพูด และเธอยังคงมองเห็นความเหนื่อยล้าเหล่านั้นของกู้ฮอนด้วย
เป่หมิงโม่เองก็มองออกว่ากู้ฮอนเริ่มเหนื่อยแล้ว ดังนั้นจึงพยักหน้าแล้วเดินไปกับพนักงานเพื่อไปยังชั้นของร้านกาแฟสำหรับพักผ่อน
ทันทีที่พวกเขานั่งลง ก็มีบริกรยกกาแฟร้อนๆมาเสิร์ฟให้พวกเขาสองแก้ว : “นี่คือกาแฟ Blue Mountain เชิญทานให้อร่อยค่ะ”
“ขอบคุณ”
เมื่อพนักงานเสิร์ฟไปแล้ว หลังจากเป่หมิงโม่ดื่มกาแฟก็ถามว่า : “เป็นยังไงบ้าง รู้สึกเหนื่อยแล้ว?”
กู้ฮอนพยักหน้า : “ไม่เคยเห็นใครซื้อเสื้อผ้าเหมือนคุณเลย ฉันที่เป็นผู้หญิงยังรู้สึกเบื่อหน่ายเลยค่ะ”
“ไม่ต้องเร่งรีบเกินไป แล้วเราจะเจอมันในไม่ช้า” ดูดูแล้วเป่หมิงโม่นั้นอดทนมากเพื่อรอจนถึงเวลา
ที่จริงแล้วเขาใช้เวลาสองชั่วโมงกว่าเพื่อหาเสื้อผ้าให้กับกู้ฮอน โดยตัวเขาเองไม่ได้กลับไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย
ในใจของกู้ฮอนเข้าใจดี ดังนั้นเธอจึงไม่บ่นอีก เพียงแค่ใช้ประโยชน์ในเวลาอันเล็กน้อยนี้รีบพักดื่มกาแฟ
*
พวกเขาใช้เวลาตลอดช่วงบ่ายในร้าน ดังนั้นภายใต้สถานการณ์สุดวิสัย จึงให้ฉิงฮัวขับรถ ไปรับพวกเด็กๆและแอนนิ
จนเมื่อเป่หมิงโม่พากู้ฮอนไปส่งที่วิลล่า ท้องฟ้าก็มืดแล้ว
***
กู้ฮอนกัดฟันแล้วพาร่างของตัวเองไปห้องนั่งเล่นที่มีคนสามคนนั่งอยู่บนโซฟา จากนั้นก็เหมือนเป็นลูกบอลที่ลมรั่วออก ทั้งตัวได้อ่อนยวบลง
เป่หมิงโม่ที่สงบเยือกเย็น เขาหยิบถุงกระดาษสองสามใบจากท้ายรถแล้วเดินเข้าไปในวิลล่า
“ว้าว! วันนี้พ่อกับแม่ไม่ได้ไปรับพวกเรา ที่แท้เป็นเพราะร่ำรวยไปแล้วนี่เอง…” หยางหยางไม่เคยเห็นภาพเช่นนี้มาก่อน ที่มีกระเป๋าใบเล็กใบน้อยเต็มไปหมดมากกว่าสิบใบ
“รวย…” ลั่วเฉียวอยากจะหัวเราะเมื่อได้ยินคำนี้ : “หยางหยาง ถ้าพุ่งไปที่ตัวตนของคุณพ่อแล้ว รวยหรือไม่รวยมันต่างกันยังไง แต่ว่า…”
ลั่วเฉียวพูดพร้อมกับเหลือบมองไปเห็นสัญลักษณ์บนถุงเหล่านี้ ดวงตาก็สว่างขึ้นทันที : “นี่คือแบรนด์ระดับชั้นนำทั้งหมดเลย ปกติแล้วถึงแม้จะมีเงิน ก็ไม่แน่ว่าจะซื้อมันได้ บ่ายวันนี้พวกคุณคงไม่ได้บินตรงไปยุโรปหรอกนะ”
กู้ฮอนที่นอนคว่ำหน้าอยู่บนโซฟา เพิ่งจะหายใจได้นิดหน่อย แต่แรงกายกับใจไม่ไปด้วยกันเลย : “เครื่องบิน? เธอลองให้ฉันบินไปกลับภายในห้าหรือหกชั่วโมง ถึงแม้จะนั่งจรวดไปแต่ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะไปได้ไวขนาดนั้น”
“ถ้าอย่างนั้นพวกเธอไปไหนมาล่ะ? หรือว่าจะเป็น…” ในเวลานี้เอง ทันใดนั้นก็มีชื่อร้านๆหนึ่งพุ่งเข้ามาในความคิดเธอ : “ฮอน…เย้น…” ตอนที่เธอเอ่ยชื่อนี้ออกมา ดูเหมือนจะได้ยินเสียงสั่นในลำคอ
แน่นอนว่าเป็นร้านขายเสื้อผ้าที่ไม่เหมือนใคร ให้บริการเฉพาะบรรดาผู้ประกอบการขนาดใหญ่เท่านั้น แน่นอนว่ายังมีพวกทายาทเศรษฐีรุ่นที่สอง รุ่นที่สาม รวมถึงกลุ่มคนร่ำรวยรุ่นใหม่ด้วย
แม้แต่ดาราภาพยนตร์อย่างลั่วเฉียวก็ไม่แน่ว่าจะมีสิทธิ์นัดหมายล่วงหน้าเพื่อซื้อเสื้อของพวกเขา
ดูเหมือนว่าเธอจะมีความกระตือรือร้นเล็กน้อย อยากจะดูว่าที่สุดแล้วเสื้อผาข้างในจะมีคุณภาพเยี่ยมแค่ไหน
เพียงแต่ว่าเป่หมิงโม่ยังคงยืนอยู่ที่นี่ ดังนั้นต้องรักษาหน้าวางตัวให้เหมาะสม
เป่หมิงโม่เหลือบมองไปที่ลั่วเฉียว ก็รู้ว่าเธอจับจ้องอยู่ที่ถุงเหล่านี้ ไม่เพียงแค่เธอ แม้แต่จิ่วจิ่วยังมองด้วยสายตาสงสัย
ถึงแม้ว่ายังไม่มีแนวคิดอะไรที่ยิ่งใหญ่มากนักอยู่ในหัวของเธอ แต่ก็เดาได้ว่าภายในถุงนั้นคืออะไร
“มีส่วนแบ่งสำหรับพวกคุณทุกคนในถุงเหล่านี้ รวมไปถึงเจ้าตัวเล็กในอ้อมแขนของคุณด้วย ทุกใบมีชื่ออยู่แล้ว พวกคุณหากันเอาเองนะ”
เป่หมิงโม่พูดแล้วสายตาก็จ้องมองไปที่เด็กชายตัวน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนของแอนนิและมองเขาด้วยสายตาสงสัยเช่นเดียวกัน : “เขาเกิดมาได้สักพักแล้ว ผมยังไม่ได้แสดงอะไรเลย”
“เจ้านาย แบบนี้ทำให้ผมรู้สึกละอายใจนะครับ…” ฉิงฮัวไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี
เป่หมิงโม่หันกลับมาตบบ่าฉิงฮัว : “ตอนที่อยู่บริษัทเป่หมิง นายคือผู้ช่วยของฉัน แต่ในบ้านเก่าหลังนี้และที่นี่ และฉันที่ออกจากบริษัทเป่หมิงมาแล้ว นายคือพี่น้องของฉัน ระหว่างพี่น้องยังต้องใช้คำที่สุภาพมากมายขนาดนี้เลยเหรอ?”
กู้ฮอนมองดูเขา แล้วรู้สึกซาบซึ้งใจต่อความมีน้ำใจของเขา
ลั่วเฉียวส่งทารกน้อยสู่อ้อมกอดของฉิงฮัวอย่างเบิกบานใจแล้ววิ่งไปที่กองถุงกระดาษตรงหน้าอย่างมีความสุขแล้วทำหน้าที่เป็นเป็นตัวแทนจ่ายของโดยอัตโนมัติ
เธอส่งของให้พร้อมกับพูดอย่างมีความสุขว่า : “กู้ฮอนพวกเราไม่ขอบคุณเธอ แต่จะขอบคุณเป่หมิงโม่…แทนนะ” เธอเกือบจะเรียกเขาว่าเป่หมิงโม่ผู้ร่ำรวยเพราะมีความสุข มันช่างอันตรายมากจริงๆ
โชคดีที่ดูเหมือนว่าเป่หมิงโม่ไม่ได้ยินอะไรที่ผิดปกติ นับว่าเป็นการหลอกลวงเพื่อหลีกเลี่ยงให้มันผ่านไป
ในเวลานี้เอง แอนนิมองดูสภาพของกู้ฮอนที่เป็นเช่นนี้แล้ว จึงยกอาหารมาที่ห้องนั่งเล่นเลยละกัน
“กินข้าวกันเถอะ”
***
คืนนี้ความรู้สึกตื่นเต้นดูเหมือนจะแพร่เชื้อไปทั่ววิลล่า
เป่หมิงโม่กินข้าวเย็นเสร็จแล้ว ก็เล่นกับเด็กๆอยู่สักพักแล้วจากไป
หลังจากที่เขาไปแล้ว ถึงได้มาถึงจุดสุดยอดความสุขเล็กๆอีกอย่างหนึ่ง
เมื่อกี้นี้ในตอนที่เป่หมิงโม่ยังอยู่ แน่นอนว่าต้องรักษาหน้าของตัวเองไว้ด้วยการแสดงออกอย่างสุภาพ โดยฉพาะลั่วเฉียวที่อดทนไม่เปิดดูว่ามีอะไรอยู่ในข้างในกันแน่
ความรู้สึกนี้เหมือนกับบทร้อยแก้วที่จ้าวเปิ่นซานกล่าวเอาไว้ว่า : “การอดกลั้นเป็นสิ่งที่น่าอึดอัดจริงๆ…”
สำหรับแอนนิแล้ว อันที่จริงเธอไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก ดังนั้นหลังจากที่ลั่วเฉียวมอบให้เธอแล้ว เธอก็วางเอาไว้ข้างๆ
อย่างไรก็ตาม เป่หมิงโม่ยังบอกกับเธอเป็นการเฉพาะเจาะจงว่า เมื่อร้านของเธอเปิดในวันคริสมาสต์อีฟ จะต้องได้ใช้มันอย่างแน่นอน
เด็กทั้งสามคน เฉิงเฉิง หยางหยาง และจิ่วจิ่ว เองหลังจากได้รับในส่วนของพวกเขาแล้ว ก็แอบเปิดดูที่มุมเล็กๆ
เด็กชายทั้งสองคนกดดันและกังวลเรื่องเสื้อผ้ามาโดยตลอด
“ว้าว ดีมากจริงๆ” ลั่วเฉียวเปิดถุงกระดาษของเธอ แล้วหยิบชุดยาวที่ฟ้าออกมาจากด้านใน สีน้ำเงินอ่อนและรูปแบบของมันเป็นสิ่งที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน
พอได้สัมผัสเนื้อผ้าด้วยมือแล้วก็เป็นความรู้สึกสบายใจที่ไม่สามารถจะพรรณนาได้ สมกับที่ถึงมีเงินก็อาจจะไม่สามารถซื้อได้จริงๆ ไม่ได้การละ ฉันจะต้องลองใส่ดูตอนนี้เลย” ลั่วเฉียวพูดพร้อมกับหยิบเสื้อผ้าขึ้นไปชั้นบนอย่างรวดเร็วเพื่อลองสวมดู
“แอนนิ ทำไมเธอไม่เปิดดูของเธอล่ะ?” หลังจากที่กู้ฮอนกินข้าวแล้ว และได้พักผ่อนสักครู่ ในที่สุดเรี่ยวแรงของร่างกายฟื้นกลับคืนมาบางส่วน
แอนนิเหลือบมองดูถุงแว้บหนึ่ง : “ในสมองของฉันมีแต่เรื่องของการเริ่มเปิดกิจการในวันมะรืนนี้ จะมีความคิดมาเปิดดูของพวกนี้ได้ที่ไหนกัน เมื่อกี้นี้ฉันเองก็เห็นของลั่วเฉียวแล้ว ของฉันก็ไม่ต้องดูแล้วล่ะ ยังไงก็ตามมันต้องดีอยู่แล้ว ฉันต้องขึ้นไปคำนวณค่าใช้จ่ายสักหน่อย และต้องเตรียมสิ่งที่ต้องใช้ในวันมะรืนนี้”
“หม่าม้า เสื้อผ้าของแม่ล่ะคะ?” จิ่วจิ่วถามด้วยความสงสัย เพราะว่าเมื่อกี้นี้ตอนที่เห็นป้าเฉียวเฉียวแจกถุงกระดาษก็ไม่เห็นของแม่
ที่จริงแล้วกู้ฮอนเองมีคำถามเช่นเดียวกันกับจิ่วจิ่ว เพียงแต่ว่าในสภาพแวดล้อมเช่นนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเอ่ยถามเป่หมิงโม่ แต่ว่าเธอก็คิดได้อย่างรวดเร็ว ผู้ชายคนนั้นจะต้องเอาเสื้อผ้าของเธอไปแล้ว บางทีคงอยากจะให้ตัวเองน่าทึ่งมากยิ่งขึ้นในงานเลี้ยงปาร์ตี้ย์ค็อกเทลวันพรุ่งนี้
พ่อค้าเป่หมิงรุ่นที่สองคนนี้ ทำไมถึงชอบอะไรเรื่องให้สมองต้องจินตนาการด้วยนะได้ดูก่อนดูทีหลังก็ต้องดูไง
“เสื้อผ้าของหม่ามี้ ตอนนี้ยังไม่ได้เอามาจ้ะ ต้องรอจนถึงพรุ่งนี้ถึงจะได้นะ มา มาดูกันว่าแม่หนูน้อยใส่เสื้อผ้าที่คุณพ่อให้แล้วสวยหรือเปล่า?”
พูดแล้วเธอกับจิ่วจิ่วก็เปิดถุงนั้นด้วยกัน
“ว้าว…มันเป็นชุดนางฟ้าสีชมพูที่สวยมากๆเลย พอแม่หนูน้อยของเราสวมมันก็จะกลายเป็นนางฟ้า มา ใส่ให้หม่าม้าดูหน่อยนะ”
“ไม่เอาค่ะ…” จิ่วจิ่วส่ายหัวอย่างแรง
เดิมทีกู้ฮอนคิดว่าจิ่วจิ่วจะต้องรีบเปลี่ยนชุดอย่างมีความสุข แต่พอเห็นปฏิกิยาของเธอเป็นอย่างนี้แล้วก็เกิดความงุนงงเล็กน้อย : “ทำไมล่ะจ๊ะลูกรัก?”
“คุณพ่อซื้อให้ หนูอยากใส่ให้คุณพ่อดูค่ะ” จิ่วจิ่วกล่าวด้วยความจริงจังอย่างยิ่ง
หลังจากได้ยินคำพูดนี้แล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอดูเหมือนกับว่าจะแข็งทื่อไปเล็กน้อย คล้ายกับว่าเกิดความอึดอัดขึ้นในใจ
พวกเขาล้วนกล่าวกันว่าลูกสาวจะจูบพ่อ ตอนแรกเธอไม่เชื่อเลยจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจิ่วจิ่วเรียกเป่หมิงโม่ว่าปีศาจแห่งสุขา
แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงก็คือ หลังจากติดต่อกันไม่กี่เดือน สถานการณ์กลับพลิกกลับเป็นเช่นนี้
***
โอเค คำพูดที่ว่า “ลูกสาวคือคนรักของพ่อในชาติที่แล้ว” ดูเหมือนจะมีเหตุผลอยู่บ้าง แล้วตอนนี้จิ่วจิ่วไม่ได้แสดงออกมางั้นเหรอ?
ความหวาดกลัวที่เป่หมิงโม่นำมาให้เธอ แต่เขากลับสามารถแก้ไขมันอย่างง่ายดายในระยะเวลาไม่กี่เดือน
ต้องบอกว่าเด็กมีสัญชาตญาณชนิดหนึ่ง : ใครดีกับเธอ เธอก็จะเข้าหาใครคนนั้น ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้จะทำบางอย่างที่ทำร้ายจิตใจเธอ…
แน่นอนว่าการทำร้ายจิตใจนี้มันเกิดจากตนเองจงใจสร้างขึ้น เพราะว่าตอนนั้นกู้ฮอนเกลียดผู้ชายคนนี้เป็นอันมาก ถึงแม้ว่าระหว่างพวกเขาจะมีลูกถึงสามคนก็ตาม…
ในบางช่วงเวลาเธอเคยคิดอยู่บ้างว่า ถ้าหากเป่หมิงโม่มาค้นพบเธอเข้า แล้วมีคำถามเกิดขึ้น บางทีเธออาจจะตอบไปว่า “เป็นลูกของคนข้างบ้าน” ก็ได้ สิ่งนี้จะสามารถขับไล่ความคิดของเขาที่มีกับตนเองและลูกๆได้
แต่ท้ายที่สุดแล้วเธอไม่ได้ทำเช่นนี้
“ว่าไงครับแม่ แม่คิดว่าพวกเราสองคนเป็นยังไงบ้าง?” ตอนนี้เฉิงเฉิงและหยางหยางมายืนอยู่ตรงหน้ากู้ฮอน
ไม่รู้ว่าเด็กสองคนนี้เปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็วในตอนไหน ไม่นานนักพวกเขาก็เปลี่ยนไปสวมชุดที่พ่อซื้อมาให้เรียบร้อยแล้ว
เฉิงเฉิงสวมชุดสูทสีขาวตัวเล็กๆ มีการวาดลวดลายสีดำบนพื้นสีขาว ให้ความรู้สึกขี้เล่นและน่ารักอย่างแท้จริง
แต่บนตัวของหยางหยางกลับตรงข้ามกับเฉิงเฉิงโดยสิ้นเชิง ชุดสูทสีดำตัวเล็กมีการวาดลวดลายสีขาว แต่เป็นรูปแบบที่แตกต่างจากเฉิงเฉิง
แต่อย่างไรก็ตาม ในตอนที่ทั้งสองยืนอยู่ด้วยกัน ลวดลายสีขาวและสีดำถูกรวมเข้าด้วยกันก่อให้เกิดภาพของเทวดา
การออกแบบเช่นนี้ทำให้กู้ฮอนหรือเป่หมิงโม่เองก็คิดไม่ถึง
ในตอนที่พวกเขาอยู่ในร้าน “ฮอนเย้น” เพื่อเลือกของขวัญให้กับคนอื่นๆ สายตาก็หันไปเห็นชุดสูทเล็กๆสองชุดนี้ พวกมันถูกแขวนอยู่ในตำแหน่งที่ไม่เด่นชัดมากนัก แต่พอมองเห็นแล้วดูพิเศษมาก