บทที่ 1110 ฉันตกใจแทบตาย
การหลอมรวมเข้ากับคนในครอบครัว ทำให้เขารู้สึกถึงความสุขและความอบอุ่นที่มากยิ่งขึ้น
*
กู้ฮอนนำพารอยยิ้มที่ดีใจเดินออกมาจากข้างในตึกใหญ่ของสำนักพิมพ์XX ฝีเท้าของเธอเบาและเร็วแต่กลับแฝงไว้ด้วยความรู้สึกที่เป็นจังหวะ
ดูท่าแล้ว เธอกับบรรณาธิการเฝิงน่าจะคุยกันได้ถูกชะตามากเลยทีเดียว และที่สำคัญน่าจะราบรื่นมาก
ยังมีเวลาเกือบหนึ่งเดือน ก็จะสามารถพบเจอกับหนังสือเล่มใหม่ของเธอได้แล้ว
“Hi ลูกรัก วันนี้พวกหนูเป็นยังไงกันบ้างจ้ะ?” เธอกำลังเอากุญแจออกมาจากรูกุญแจ
ตอนนี้เธอกับพวกลูก ๆ ยังคงอาศัยอยู่ในคฤหาสน์บนไหล่เขานี้
ในห้องโถงใหญ่มีกลิ่นหอมของอาหารลอยมาเป็นระรอก ๆ
เจ้าเด็กน้อยทั้งสามคนนั่งเรียบร้อยอยู่เป็นเพื่อนข้าง ๆ ผู้ใหญ่ทั้งสองท่าน พวกเขากำลังดูการ์ตูนที่กำลังฉายอยู่ในโทรทัศน์
ถ้าจะพูดว่าพวกเขาอยู่เป็นเพื่อนคุณปู่คุณย่าแล้วละก็ น่าจะต้องพูดว่าผู้ใหญ่ทั้งสองท่านอยู่เป็นเพื่อนพวกเขาดีกว่า
แต่ว่าเหมือนว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่สำคัญเท่าไหร่ เพราะว่าดูจากเสียงหัวเราะที่พวกหัวเราะออกมานั้นแล้ว พวกเขาล้วนมีความสุขกันทั้งนั้น
พอได้ยินเสียงของแม่ เจ้าเด็กน้อยทั้งสามคนต่างก็มองไปทางประตูอย่างพร้อมเพรียงกัน
“หม่ามี๊ คุณแม่ แม่……”
กู้ฮอนหันหลังไปปิดประตูลงให้สนิท แล้วเดินไม่กี่ก้าวก็มาถึงข้างหน้าพวกเขา ในมือหิ้วกล่องอาหารอยู่แล้ววางบนโต๊ะน้ำชา
“ดูท่าหนูจะกลับมาช้าไปแล้วใช่ไหม อาหารคงโดนพ่อบุญธรรมทำเสร็จหมดแล้วละซิ” รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอไม่ได้ลดน้อยลง
เพียงแต่ว่าโม้จิ่งเฉิงกลับยิ้มแล้วก็ส่ายหน้า “อย่าให้คนคนนั้นที่อยู่ในครัวได้ยินเข้าล่ะ ไม่งั้นละก็ฉันก็รับประกันได้ยากว่า อีกหลายเมนูที่จะทำต่อไปจะโดนทำออกมายังไงบ้างก็ไม่รู้”
คนคนนั้นในห้องครัว……
ดูท่าแล้วน่าจะมีคนอื่นอีกละซิ
จะเป็นแอนนิหรือว่าเฉียวเฉียวล่ะ?
นี่เป็นคนสองคนที่โผล่ขึ้นมาในสมองของเธออย่างรวดเร็ว
“ดูซิแม่เอาอะไรกลับมาบ้าง” หยางหยางเจ้าเด็กขี้สงสัยนั้น เห็นไม่ได้เลยที่บนโต๊ะจะมีสิ่งของที่ห่อวางเอาไว้
เขาพูดไปด้วย และก็ยื่นมือออกไปหยิบด้วย
“ยังร้อนอยู่เลย แม่ซื้ออะไรอร่อยมาเหรอ?”
พอเปิดกระดาษที่ห่อชั้นนอกอยู่ออก ข้างในก็จะเห็นเป็นกล่องอาหารสเตนเลสสองชั้น
เปิดฝากล่องออก ก็เป็นกลิ่นหอมกลิ่นหนึ่งพุ่งมาใส่จมูก
“ว้า วันนี้แม่ซื้อเกี๊ยวซ่ากับเปาะเปี๊ยะมาด้วย เป็นของชอบที่สุดของผมทั้งนั้นเลย” หยางหยางที่อยากกิน ก็เลยยื่นออกไปคว้า
เพียงแต่ว่า มือเล็ก ๆ ที่เขาเพิ่งยื่นไป ก็โดนมือใหญ่มือหนึ่งตีเข้าให้ทีหนึ่ง
***
“แม่ อย่าขี้เหนียวซิ แค่กินอันเดียวเอง” ตอนนี้เวลานี้หยางหยางนั้นโดนอาหารเลิศรสตรงหน้าทำให้ลุ่มหลงไปแล้ว ก็เลยนึกว่าเป็นแม่ที่ไม่ให้ตัวเองกิน
แต่ที่ไหนได้เสียงที่ดังมาจากข้างหลังนั้น กลับทำให้เขารู้สึกว่าร่างกายเล็ก ๆ ของเขาตกใจจนสั่นน้อย ๆ
“ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลากินข้าว”
นี่เห็นได้ชัดว่าเป็นเสียงของพ่อที่ยังยุ่งอยู่ในครัวเมื่อกี้
นี่มันช่างเหมือนกับผีที่ไปมาไม่มีสุ้มเสียง ถึงได้ทำให้ตัวเองไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด
เขารีบหดมือกลับมาทันที และที่สำคัญยังส่งสายตาไปมองเฉิงเฉิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ อีกด้วย ความหมายก็คือเห็นพ่อมาแล้ว ทำไมถึงได้ไม่บอกตัวเอง
เฉิงเฉิงมองเขาแล้วยักไหล่อย่างเบื่อหน่าย
สำหรับน้องชายตัวเองคนนี้นั้น เขาก็รู้สึกว่ารักแต่ไม่รู้จะช่วยยังไงแล้วจริง ๆ
หยางหยางหันหน้ากลับไปมองเป่หมิงโม่ที่หน้าขรึมอยู่ แล้วยิ้มแฮะ ๆ สองที “พ่อ รอกับข้าวมื้อนี้ของพ่อมาชั่วโมงกว่าแล้วนะ ท้องของผมมันร้องตั้งนานแล้วนะ”
มองลูกชายคนเล็กแล้ว เป่หมิงโม่ก็ยักคิ้ว “ดูท่าฉันจะทำให้เธอเสียเวลาในการกินข้าวแล้วล่ะซิ?”
คำพูดประโยคนี้ทำให้หยางหยางต้องหนาวสั่นขึ้นอีกหนึ่งครั้ง คงจะไม่ได้ทำให้พ่อโกรธแล้วใช่ไหม สมองน้อย ๆ ของเขากำลังเริ่มหมุนวนอย่ารวดเร็ว
“พ่อ ผมไม่ได้จะบ่นว่าพ่อทำกับข้าวช้า มีคำคำหนึ่งพูดไว้ว่าอาหารดีไม่กลัวดึกใช่ไหม และที่สำคัญพวกเรานั้นมั่นใจฝีมือในการทำอาหารของพ่ออยู่แล้ว”
พูดแล้ว เจ้าเด็กหยางหยางยังคอยออดอ้อนกอดขาของเป่หมิงโม่เอาไว้อีกด้วย “พ่อ พ่อกลับไปค่อย ๆ ทำต่อเลย พวกเรารอไหว”
ช่างไม่เอาไหนเลยจริง ๆ กู้ฮอนอยากจะเดินเข้าไปหิ้วเขาขึ้นมาจริง ๆ เจ้าเด็กที่โอนเอียงไปทางคนที่มีอำนาจกว่าแบบนี้ นี่ยังใช่ลูกชายตัวเองอยู่หรือเปล่าเนี่ย
คนที่มีความคิดเหมือนกับเธออีกคนก็คือเฉิงเฉิง เขารู้สึกว่าขายหน้าขึ้นมาบ้าง โดยเฉพาะตอนที่เห็นหยางหยางที่มีใบหน้าเหมือนกับตัวเองเปี๊ยบนั้น มักจะทำให้เขารู้สึกเหมือนเห็นภาพลวงตาว่าคนที่กำลังกอดขาอยู่ตรงนั้นเป็นตัวเอง
“ถ้าหากเธอยังไม่รีบออกไปแล้วล่ะก็ ฉันก็รับประกันความปลอดภัยในวินาทีต่อไปของเธอยากแล้วนะ” เป่หมิงโม่นั้นยิ่งไม่ชอบใจการกระทำแบบนี้ของลูกชายคนเล็กของตัวเอง
เขาคิดว่าเป็นลูกผู้ชายคนหนึ่งจะมาทำแบบนี้ไม่ได้ นี่มันจะทำให้ศักดิ์ศรีของคนตระกูลเป่หมิงจะต้องกวาดพื้นแล้ว ถึงแม้คนที่อยู่ที่นี่จะเป็นคนในครอบครัวทั้งหมดก็ตาม
แล้วถ้าวันหนึ่ง เขาไปเจอกับคนที่แข็งแกร่งกว่าตัวเองคนหนึ่งที่ข้างนอกเข้า เขาจะยังทำแบบนี้ไหม?
ดูท่าถึงเวลาที่จะต้องปลูกฝังค่าของความเป็นคนให้เจ้าหมอนี่ดี ๆ สักครั้งแล้ว
*
หลังจากกินอาหารค่ำแล้ว หวีหรูเจี๋ยและโม้จิ่งเฉิงกำลังพาจิ่วจิ่วดูโทรทัศน์อยู่
ส่วนกู้ฮอนนั้นกลับเข้าห้องนอนไปแล้ว
วันนี้พูดคุยกันเรื่องละเอียดปลีกย่อยมากมายที่เกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้กับ บรรณาธิการเฝิงไป เรื่องเหล่านี้ล้วนจำเป็นจะต้องกลับมาแก้ไขอย่างจริงจัง
ในตอนที่เฉิงเฉิงกับหยางหยางกำลังเตรียมจะกลับเข้านอนของตัวเองนั้น ก็โดนเป่หมิงโม่เรียกไว้ซะก่อน
“พวกเธอสองคนตามฉันมาห้องหนังสือ” เขาพูดจบก็หมุนตัวเข้าไปในห้องหนังสือ
เฉิงเฉิงและหยางหยางมองหน้ากันทีหนึ่ง
“จบแล้ว นี่พ่อจะจัดการฉันแล้วใช่ไหม” หยางหยางทำหน้าเศร้า เหมือนกับว่าอยากจะร้องขอความช่วยเหลือ
กระทั่งเขาคิดว่าจะให้คุณปู่คุณย่ามาช่วยตัวเองพูดดี ๆ สักคำสองคำกับพ่อให้เขาหน่อยดีไหม
พอเห็นแววตาที่ร้องขอของหยางหยางแล้ว โม้จิ่งเฉิงก็ยิ้มน้อย ๆ “วางใจเถอะ พ่อของเธอเขาไม่ทำอะไรเธอหรอก”
ที่เขาสามารถพูดแบบนี้ได้นั้น ก็เพราะว่าในช่วงเวลาที่กินข้าวเมื่อกี้ เขาไม่เห็นท่าทางโกรธเคืองของเป่หมิงโม่แต่อย่างใด แต่กลับดูอารมณ์ดีซะมากกว่า
“นายนี่นะ ต่อไปทำอะไรก็ใช้สมองให้มาก ๆ อะไรที่ควรพูด อะไรที่ไม่ควรทำ ทำแบบนี้ชีวิตนายจะได้สบายขึ้นมาหน่อย” ในเวลาแบบนี้เฉิงเฉิงได้แสดงท่าทีของพี่ชายออกมา
น้องชายคนนี้ก็เป็นแบบนี้ ตัวเองลำบากลำบนพูดหลักการให้เขา เขาก็ไม่ฟัง ก็จะต้องให้พ่อมาพูดกับเขาดี ๆ สักหน่อยแล้ว นี่ก็เป็นเพราะหวังดีกับเขาทั้งนั้น
เฉิงเฉิงและหยางหยางมาถึงห้องหนังสือของเป่หมิงโม่
แสงสว่างในนี้เมื่อเทียบกับของห้องรับแขก หรือห้องครัวแล้วไม่ได้สว่างเท่า
อยู่ในนี้ เหมือนกับห้องมืดสลัวเล็ก ๆ ที่ให้รอก่อนที่จะเข้าเกมหอคอยปริศนายังไงอย่างงั้น
บนโต๊ะทำงานที่อยู่ข้างหน้าพวกเขานั้น มีโคมไฟที่มีฝาครอบสีเขียวอันหนึ่งกำลังส่องแสงสว่างออกมา รูปทรงสีเข้มของมันกำลังลากเป็นเงายาว ๆ อยู่บนโต๊ะที่มีลายไม้นั้น
มือเล็ก ๆ ของหยางหยางกำเข้าหากันแน่น ที่จริงตอนแรกเขาอยากจะจับมือเฉิงเฉิงที่อยู่ข้าง ๆ เอาไว้
แต่ว่าเฉิงเฉิงกลับไม่มีความหมายแบบนั้น เขาดูเป็นตัวของตัวเองมากกว่า มือเล็กทั้งสองข้างเอาใส่ไว้ในกระเป๋า
ที่จริงเขารับรู้ได้ว่าหยางหยางกำลังกลัวอยู่บ้าง แต่ว่าคนที่พวกเขากำลังเผชิญหน้าอยู่นั้นคือพ่อของพวกเขาเอง ไม่ใช่ใครอื่น
“พ่อครับ พวกเรามาแล้ว”
เห็นเพียงแต่เก้าอี้หมุนตรงหน้าพวกเขาที่หันไปทางชั้นวางหนังสือกำลังหมุนตัวกลับมา และเป่หมิงโม่กำลังนั่งอยู่บนนั้น
เขามองดูลูกชายทั้งสอง “มื้อเย็นกินอิ่มกันหรือยัง?”
“กินอิ่มแล้วครับ……”
“อิ่มแล้ว…..”
หยางหยางพูดคำเสียงเบาตามหลังเฉิงเฉิงมา
ในใจของเขากำลังคิดใคร่ครวญว่า : พ่อยังคงใจแคบแบบนี้จริง ๆ ด้วย ยังคงคว้าเรื่องตอนที่กินข้าวไว้ไม่หยุดอีก
ดูท่าแล้วยังไงการโดนชุดนี้ในวันนี้ก็คงหนีไม่พ้น ใจของหยางหยางก็อยากให้มันจบ ๆ ไปขึ้นมา “พ่อ คงไม่ต้องจริงจังกับเรื่องเมื่อกี้ขนาดนี้หรอกมั้ง ต่อไปผมจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้วยังไม่พออีกเหรอ”
นี่มันขวดไหนไม่เปิด ก็ยังเปิดขวดนั้นชัด ๆ
พอเฉิงเฉิงได้ยินหยางหยางพูดแบบนี้ ก็ยังอยากจะให้เขาสักทีหนึ่งเลยจริง ๆ มีอย่างที่ไหนพุ่งไปหาปากกระบอกปืนเอง
แต่ว่ามีที่ไหนคำพูดที่พูดออกไปแล้วยังจะเก็บกลับมาได้อีก
“พ่อครับ ที่จริงหยางหยางไม่ได้หมายความแบบนั้น แต่คือเขาได้สำนึกผิดแล้ว” ในเมื่อเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน และยังเป็นฝาแฝดอีก สิ่งที่ควรช่วยพูด ก็ยังต้องพูดอยู่ดี
หยางหยางพอได้ยินเฉิงเฉิงช่วยตัวเองพูดขึ้นมา ความกล้าก็มีมากขึ้นมาหน่อยแล้ว
เป่หมิงโม่มองลูกชายที่หน้าตาเหมือนกันเปี๊ยบยืนอยู่ตรงหน้า
โดยเฉพาะเฉิงเฉิง จากที่เป็นเด็กทารกเมื่อก่อน ตอนนี้กลับเป็นพี่ชายที่มีความรับผิดชอบไปแล้ว
สำหรับหยางหยางนั้น ถึงแม้ว่าการเติบโตของเขาตัวเองจะไม่ได้อยู่ข้างกายด้วย แต่ว่ายังไงก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง และถึงแม้ว่าเขาจะทำเรื่องอะไรที่ทำให้ตัวเองโกรธขึ้นมา ก็ล้วนสามารถให้อภัยได้ทั้งนั้น
และยิ่งไปกว่านั้น……
“ที่ฉันเรียกพวกเธอมานั้นไม่ใช่เพราะว่าเรื่องนี้หรอก และที่สำคัญฉันรู้สึกว่าที่หยางหยางทำแบบนี้ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร”
คำพูดนี้พอหยางหยางฟังแล้ว ก็เหมือนกับได้ยินคำอภัยโทษยังไงอย่างงั้น และหายใจโล่งไปเปลาะหนึ่งเลย
นี่มันทำให้เบบี๋ตกใจเกือบตายแล้วจริง ๆ
เป่หมิงโม่มองพวกเขาแล้วพูดต่อ “ตอนนี้พวกเธอก็โตแล้ว มีเรื่องมากมายที่พวกเธอควรจะรู้ และมีกฎระเบียบมากมายที่พวกเธอจะต้องรู้จักที่จะไปปฏิบัติตาม……”
นี่คือบทความยาวบทหนึ่งที่ออกมาจากปากของเป่หมิงโม่เอง
เขาใช้วิถีทางที่ง่ายที่สุด มาพูดกฎระเบียบของครอบครัวที่เขาตั้งขึ้นเองมาพูดให้ลูกชายทั้งสองฟัง
ลูกหลานของตระกูลเป่หมิงนั้นจะไม่มีกฎประจำบ้านไม่ได้ เด็กคนหนึ่งที่ไม่มีกฎประจำบ้าน เวลาออกไปข้างนอกจะต้องโดนคนอื่นเขาหัวเราะเยาะแน่นอน ถึงแม้บางคนจะไม่พูดออกมาซึ่ง ๆ หน้าก็ตาม
และคนทุกคนของตระกูลเป่หมิง ขอแค่อยู่ต่อหน้าคนอื่น ก็เป็นตัวแทนภาพลักษณ์ของตระกูลเป่หมิง และการกระทำทุกอย่างไม่ว่าจะเวลาไหน ก็สามารถกระทบต่อภาพประทับใจที่คนนอกมีต่อตระกูลเป่หมิงได้
เขาจะเอาเรื่องพวกนี้มาพูดให้ลูก ๆ ฟัง ไม่ใช่ว่าเพื่ออะไรอย่างอื่น แต่ว่าจะให้พวกเขาเข้าใจจากก้นบึ้งหัวใจว่าตระกูลเป่หมิงนั้นมีความหมายพิเศษกับพวกเขา
นี่เป็นความรู้สึกที่กลั่นกรองมาจากจิตใจหลังจากที่เป่หมิงโม่ต้องผ่านเรื่องราวมากมายมาหลายปีนี้ เมื่อก่อนนั้นตัวเองเคยเป็นคนที่วนเวียนอยู่นอกตระกูลเป่หมิง
คนที่ไม่วงศ์ตระกูลนั้น คือถูกกำหนดมาให้โดดเดี่ยว
ความหมายของวงศ์ตระกูลนั้นยิ่งใหญ่สำหรับคนคนหนึ่งมากจริง ๆ ความรู้สึกระหว่างพี่น้องแบบนั้น ก็ไม่ใช่สิ่งที่ลูกคนเดียวจะสามารถรับรู้ได้
มีเรื่องราวมากมายที่ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้อยู่ในนั้น
ที่เป่หมิงโม่เรียกลูกชายทั้งสองคนมาถึงห้องหนังสือของตัวเองนั้น จุดประสงค์ไม่ใช่ว่าอยากจะสั่งสอนหยางหยาง หรือว่ามาบรรยายบทความยาวอะไรแบบนั้น
เพียงแต่ว่าเขาไม่อยากจะให้ลูกทั้งสองคนพลาดจากสิ่งเหล่านี้ สิ่งที่จะมีความหมายอย่างอื่นกับชีวิตพวกเขา
ในช่วงเวลาหลังจากนั้น เฉิงเฉิงและหยางหยางต่างก็ตั้งใจฟังเป็นอย่างมาก เหมือนกับว่าพวกเขาได้สัมผัสถึงความลำบากและตั้งใจของพ่อแล้ว
*
เช้าวันใหม่เริ่มต้นขึ้น และนำพาความหวังใหม่ ๆ มาให้กับทุกคน
หนังสือใหม่จะวางแผงแล้ว กู้ฮอนจะต้องเริ่มวิ่งไปตามร้านหนังสือใหญ่ ๆ กับผู้รับผิดชอบของเธอบรรณาธิการเฝิงเพื่อเป็นกลไกในการโฆษณา
สังคมตอนนี้ก็เป็นแบบนี้ เหล้าถึงจะหอมแต่ก็กลัวอยู่ในตรอกลึก จึงจำเป็นจะต้องทำการโฆษณา
สำหรับทางด้านนี้นั้น ดูเฝิงกั๋วหั้วแล้วเหมือนจะไม่ได้เตรียมการอะไร หรือพูดอีกอย่างคือไม่มีความสามารถแบบนี้
ที่จริงเรื่องที่จำต้องลงมือเองนั้นมีไม่เยอะ โดยเฉพาะการออกหนังสือแล้วนั้น ตอนแรกสามารถให้บรรณาธิการเล็ก ๆ คนหนึ่งไปทำแทนตัวเองก็ได้แล้ว
แต่ว่าเขากลับอยากจะลงมือทำด้วยตัวเอง
เหตุผลก็เพราะว่า หลังจากที่ใกล้ชิดกันแล้ว เขาก็ชื่นชมในตัวกู้ฮอนและวิธีการการทำงานของเธอเอามาก ๆ นี่ถือว่าเป็นเรื่องที่หาได้ยากจริง ๆ
คนสมัยนี้ แค่มีชื่อเสียงนิดหน่อย ก็ชอบทำเป็นเหมือนกับว่าตัวเองนั้นโด่งดังมากและยโสโอหังอย่างยิ่ง
ไม่รู้จริง ๆ เลยว่าคนพวกนั้นไปเอาความมั่นใจมาจากไหนกัน
แต่ว่ากู้ฮอนกลับไม่มีกลิ่นอายแบบนี้เลยสักนิด
ประสบการณ์ที่ผ่านมาของเธอ เฝิงกั๋วหั้วก็พอรู้มาบ้างแล้ว
แน่นอนก็เพราะว่าได้ดูบทแนะนำหนังสือของเธอมาก่อน แล้วจึงรู้สึกว่าเป็นผลประโยชน์ที่หาได้ยากเล่มหนึ่งจริง ๆ ถึงได้เริ่มทำความรู้จักกับตัวนักเขียน
แล้วเขาก็ได้พบกับความอัศจรรย์ใจ ว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ