บทที่ 1142 แต่งงานกับเขา…
ความคิดของเด็กนั้นไม่ได้ซับซ้อนเหมือนผู้ใหญ่ และมักจะจินตนาการเรื่องต่างๆด้วยความเรียบง่ายอย่างยิ่ง
เป็นเพราะอารมณ์ที่เรียบง่ายนี้เอง ทำให้วัยเด็กสวยงามมากกว่าความทุกข์หรือไม่มีความทุกข์เลย
กู้ฮอนรีบก้มหน้าลง
ตอนนี้เธอเองก็ไม่รู้ว่าควรจะเผชิญหน้าด้วยอารมณ์แบบไหน
“กู้ฮอน เหล่าเป่หมิงพูดขนาดนี้แล้ว เธอยังจะมัวอึ้งอะไรอยู่อีก?”
“พวกคุณสองคนเกิดมาคู่กัน…”
“เป่หมิงโม่ คุณจะพูดอะไรให้ต้องแปลความอีกล่ะ ยังไม่รีบทำจริงๆอีก…”
“ให้โอกาสพี่รองสักครั้ง แล้วให้โอกาสตัวเองด้วย…”
ที่เหลือก็คือ ทุกคนต่างร้องเชียร์อย่างไม่ขาดสาย
หวีหรูเจี๋ยและโม้จิ่งเฉิงที่กำลังนั่งอยู่บนเบาะมีรอยยิ้มที่เปล่งประกายมากยิ่งขึ้น
ในที่สุดวันที่พวกเขารอคอยก็มาถึงแล้ว
ฉวยโอกาสในตอนที่ผู้คนรอบข้างพากันโห่ร้อง
ในขณะที่เป่หมิงโม่เอ่ยคำสารภาพ ยังคงมีความรู้สึกอึดอัดอยู่เล็กน้อย แต่ความรู้สึกนี้หายไปอย่างรวดเร็ว
เดิมทีก็เป็นเช่นนี้อยู่แล้ว เขาไม่ได้เป็นขโมยและไม่ได้ปล้นด้วย อะไรที่พูดต่อหน้าแม่ของลูกตัวเองเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมต้องรู้สึกอายด้วยล่ะ
โดยไม่มีการบอกล่วงหน้า เขากอดกู้ฮอนที่ใบหน้าร้อนฉ่าไว้ภายในอ้อมแขนอย่างแนบแน่น
“กู้ฮอนเป็นเจ้าสาวของผมนะ รับปากสิ”
เสียงของเขาทุ้มต่ำและมีแรงแม่เหล็กดึงดูด
ทุกประโยคทุกคำนั้นชัดเจนอยู่ในหูของกู้ฮอน
เธอรู้สึกคันเล็กน้อยที่หูเมื่อได้ฟัง มีลมร้อนพัดผ่านขนที่ใบหู
และรู้สึกชาจากใบหูไปจนถึงฝ่าเท้า
ทั้งตัวเหมือนลอยอยู่ในเมฆและม่านหมอก
นี่คือภาพลวงตาของตัวเองใช่ไหม?
เธอเริ่มถามตัวเอง
มันเป็นเรื่องยากสำหรับเธอที่จะจินตนาการจริงๆ
ทุกอย่างที่ตัวเองเผชิญอยู่ในเวลานี้ ในอดีตดูเหมือนว่ามันจะเกิดขึ้นได้แค่ในความฝันเท่านั้น
แต่ทว่า นั่นเป็นเพียงชั่วเวลาสั้นๆ ไม่ใช่สิ่งที่เป็นจริง และลวงตาอย่างยิ่ง
ก่อนหน้านี้เธอเองก็เคยรู้สึกหวาดหวั่นกับเรื่องนี้อยู่เล็กน้อย
นั่นคือช่วงเวลาที่พวกเขาสองคนต่างทำร้ายทิ่มแทงซึ่งกันและกันราวกับเม่น
หลังจากตอนนั้นเป็นต้นมา ก็ไม่เคยรู้สึกแบบนี้อีกเลย
หลังจากคบกันมานาน ความรู้สึกบางอย่างระหว่างคนสองคนจะค่อยๆจางลง
ดังนั้น ตอนนี้จึงไม่มีความรู้สึกใดๆอีกต่อไปแล้ว
และเสมือนว่าเป็นมือซ้ายหรือมือขวาของคุณ
กลายเป็นสิ่งที่มีอยู่จนเป็นนิสัย และอยู่ด้วยกันจนเคยชิน
สำหรับพวกเขาแล้ว ดูเหมือนว่าได้ทำลายปรากฏการณ์สากลนี้ไปแล้ว
เป่หมิงโม่กอดกู้ฮอนแน่นไว้ในอ้อมแขนของตนเอง
ในช่วงเวลานี้มันเคยเป็นสิ่งที่เขาโหยหามากที่สุด
ต่อให้ก่อนหน้านี้จะเคยกอดเธอมากกว่าหนึ่งครั้ง
แต่ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ หรือสภาพแวดล้อมโดยรอบล้วนแต่ไม่ได้เป็นธรรมชาติอย่างเช่นวันนี้
ราวกับว่าในที่สุดตนเองก็สามารถรวบรวมความกล้าประกาศให้ทุกคนรับรู้
“เป่หมิงโม่ คุณเล่นสนุกพอหรือยัง รีบปล่อยฉันได้แล้ว”
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร กู้ฮอนพูดได้แค่คำนี้
เธอรู้สึกประหม่าเล็กน้อย และตื่นเต้นจนไม่รู้จะทำอย่างไรดี
นี่มันเป็นสิ่งที่สวยงามและคือฝันที่เป็นจริงงั้นเหรอ?
ถ้าเป็นอย่างนั้น เธอก็อยากรีบตื่นขึ้นมาจากความฝันทันที เธอไม่อยากที่จะจมอยู่ในความฝันแบบนั้น…
“กู้ฮอน ผมไม่ได้พูดเล่น ได้โปรดเชื่อผม ผมจริงจัง หลังจากคิดอยู่นาน ผมหวังว่าคุณจะสามารถอยู่เคียงข้างผมได้ตลอดเวลา ได้กอดคุณต้อนรับพระอาทิตย์ขึ้นในทุกๆวัน…”
เป่หมิงโม่ไม่ยอมคลายอ้อมแขนจากเธอ ยิ่งไปกว่านั้นยังกอดแน่นขึ้น
“ฉันเกือบจะหายใจไม่ออกแล้ว…”
หัวใจของกู้ฮอนนั้นสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่องเพราะเขา
คำพูดที่ไพเราะแสนหวานนั้นทำให้หญิงสาวรู้สึกพึงพอใจและสะเทือนอารมณ์ได้อย่างง่ายดาย
เธอเองก็เป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาคนหนึ่ง เธอยังปรารถนาที่จะมีใครสักคนมารักและดูแลตัวเอง
เธอได้ยินคำพูดจากชายคนนี้ที่กำลังโอบกอดเธอ ทุกคำที่พูดอยู่ข้างหูล้วนแต่มาจากส่วนลึกของหัวใจไม่มีคำโกหก
เธอเชื่อเขา
และไม่เคยที่จะเชื่อในตัวเขาเหมือนกับช่วงเวลานี้
ดูเหมือนว่าเขาที่เคยเลวร้ายในตอนนั้น ความชั่วร้ายที่เขาเดินมาไกลได้หายไปแล้ว
ตอนนี้เขากลายเป็นคนใหม่ ทำให้ใจของตนเองนั้นเต้นโครมคราม…
เป่หมิงโม่ค่อยๆคลายมือจากเธอ จากนั้นต่อหน้าทุกๆคน เขาก็คุกเข่าลงข้างหนึ่งตรงหน้ากู้ฮอน ยกมือข้างหนึ่งของเธอขึ้นมาแล้วจูบที่หลังมืออย่างแผ่วเบา : “กู้ฮอน คุณเต็มใจที่จะเป็นเจ้าสาวของผมหรือเปล่า?”
คุณเต็มใจจะเป็นเจ้าสาวของผมหรือเปล่า…
กู้ฮอนเอาแต่คิดถึงประโยคนี้ในหูไม่หยุด
เธอรู้สึกว่าตัวของเธอสั่นเทาเล็กน้อย จากนั้นน้ำตาก็ไหลออกมาเป็นสองเส้นไหลผ่านแก้มของตนเองอย่างรวดเร็ว แล้วกระเซ็นเป็นคริสตัลใสลงบนพื้น
ไม่เพียงแต่เธอ แต่หวีหรูเจี๋ยและโม้จิ่งเฉิงก็กำลังมองดูพวกเขาด้วยรอยยิ้ม และในเวลานี้ก็รู้สึกซาบซึ้งใจกับฉากนี้เป็นอย่างมาก
โม้จิ่งเฉิงหยิบผ้าเช็ดหน้าของตนเองขึ้นมา แล้วเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของหวีหรูเจี๋ยอย่างอ่อนโยน : “วันนี้เป็นวันที่ดี อย่าร้องไห้…”
หยินปู้ฝัน แอนนิและซูยิ่งหวั่นที่อยู่ข้างๆพวกเขา ก็ใช้กระดาษทิชชู่เช็ดน้ำตา
“คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าเป่หมิงโม่คนนี้ที่ปกติมองดูว่าเย็นชาเป็นท่อนไม้ จะพูดคำพูดพวกนี้ได้คล่องปากอย่างใจคิด” ลั่วเฉียวพูดพร้อมกับใช้ข้อศอกทิ่มไปที่ฉิงฮัวที่อยู่ข้างๆ : “คุณก็อยู่กับเจ้านายมาหลายปีแล้ว ทำไมไม่เรียนรู้สิ่งเหล่านี้มาบ้าง คำพูดง่ายๆไม่กี่คำ ก็หลอกฉันได้แล้ว ไม่ได้ล่ะ ฉันจะให้คุณขอฉันแต่งงานอีกครั้ง…”
“เอ่อ…” ทันใดนั้นเหงื่อก็ออกบนหน้าผากของเขา
โชคดีที่ตอนนี้ชูหยุนเฟิงตะโกนขึ้นมา : “เฮ้เฮ้ เป่หมิงโม่ ทำไมไม่ทำตามธรรมเนียมปฏิบัติล่ะ…”
ทุกคนในที่แห่งนั้นล้วนแต่ตื้นตันใจกับพวกเขา แต่ในสมองของชายหนุ่มกลับเต็มไปด้วยกระบวนการความคิด…
“แต่งงาน…”
“แต่งงาน…”
ในเวลานี้ จะไม่มีใครสามารถคาดเดาเขาได้
ทุกคนพากันตะโกนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ในตอนที่ทุกคนเปล่งเสียงคำว่า “แต่งงาน” อยู่นี้ เสียงเพลงแต่งงานก็ดังขึ้น
เพลงแต่งงาน…
สิ่งนี้สำหรับทุกคนแล้วถือว่าเป็นบทเพลงที่ศักดิ์สิทธิ์
มันไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นว่าคนสองคนจะอยู่ด้วยกันนับจากนี้ แต่ยังแสดงให้เห็นถึงคำมั่นสัญญาที่คนสองคนมีให้แก่กัน และยืนหยัดไม่เปลี่ยนแปลง…
เส้นตายของพันธะนี้คือชั่วชีวิตของพวกเขา…
การแสดงดนตรีหมายความว่าพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ได้เริ่มขึ้นแล้ว…
อย่างไรก็ ตอนนี้ตามนางเอกในพิธียังไม่ได้เข้าสู่บทบาทของตัวเธอ
บางทีควรให้เวลาเธอได้ปรับตัวสักหน่อย
เป่หมิงโม่คุกเข่าข้างเดียวโดยไม่ขยับอยู่ที่นั่น เขากำลังรอให้เธอพยักหน้า
เวลานี้ในใจของกู้ฮอนมีแต่ความว่างเปล่า
แต่ว่าในหัวใจกลับเหมือนทะเลสาบอันเงียบสงบ แล้วมีก้อนหินหล่นลงไปจนเกิดระลอกคลื่นเล็กๆ
ไม่มีเสียงดังรอบตัวแล้ว โดยสายตาของทุกคนต่างเบนมาที่เธอ
แน่นอนว่าพวกเขาประหลาดใจกับการกระทำของเป่หมิงโม่
ประหลาดใจที่ที่เป่หมิงโม่เลือกใช้วิธีการขอแต่งงานแบบดั้งเดิม
สำหรับคนแบบเขา น่าจะขอแต่งงานในแบบแตกต่างจากคนอื่น ด้วยวิธีการใหม่ๆไม่ยึดติดกับสิ่งเดิมๆ
การแต่งงานของหยินปู้ฝันและแอนนิก็เป็นในแบบที่เป่หมิงโม่ ‘จัดการ’
เขาสามารถจัดงานแต่งงานในทะเลได้ และด้วยความอดทนของเขา ต่อให้จัดงานแต่งงานบนสวรรค์ก็ไม่น่าแปลกใจ
ยังไงก็ตาม ในใจของเป่หมิงโม่ การแต่งงานไม่ว่าจะเกิดขึ้นในรูปแบบใด มันก็เป็นเพียงรูปแบบหนึ่งเท่านั้น ที่แท้จริงก็คือต้องใช้ความจริงใจในหัวใจมอบให้กัน
เขาภักดีต่อความจริงใจนี้
“กู้ฮอน คุณตกลงที่จะแต่งงานกับผมหรือเปล่า?”
เสียงทุ้มต่ำและนุ่มนวลดังขึ้นอีกครั้ง และกระทบหัวใจของเธออีกรอบ
“แต่งงานกับเขา…”
“แต่งงานกับเขา…”
“แต่งงานกับเขา…”
เสียงตอบรับก็เหมือนคลื่นในทะเล
คลื่นทีละลูก เข้ามาเป็นชั้นๆ
ท้ายที่สุดมันก็เหมือนคลื่นที่โหมกระหน่ำ เข้ามากระทบโขดหินที่ชายฝั่ง
หญิงสาว ก็จะอารมณ์อ่อนไหวเช่นนี้
เธอจะซึมซับบรรยากาศที่อยู่รอบๆตัว จนกระทั่งในใจเกิดเสียงสะท้อนที่อธิบายไม่ได้โดยไม่รู้ตัว
เช่นเดียวกับกู้ฮอนในเวลานี้ เธอถูกทุกคนรอบข้างค่อยๆผลักดันครั้งแล้วครั้งเล่า
แน่นอนว่าเธอไม่ได้อาศัยเพียงแต่แรงผลักดันนี้เท่านั้น ท้ายที่สุดแล้วเธอยังมีเหตุผลอีกด้าน ตัวตนอีกด้านในใจของตนเองคอยเตือนสติไม่หยุดว่า : “ต้องใจเย็นๆนะ…”
อารมณ์ของทุกคนต่างก็นิ่งค้างพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย
“คุณแม่ หม่าม้า แม่…”
เสียงร้องเรียกของพวกเด็กๆดังอยู่ในหูของกู้ฮอน
เป็นอีกครั้งที่หัวใจของเธอถูกสัมผัส
ความสมดุลเริ่มเอนเอียงส่ายไปมาจากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่ง…
ในที่สุดเพลงก็จบลงแล้ว…
เมื่อเพลงจบลงแล้ว ใบหน้าที่ประหม่าของเป่หมิงโม่ก็ค่อยๆปรากฏรอยยิ้ม
เพราะในที่สุดเขาก็เห็นกู้ฮอนพยักหน้าเบาๆสองครั้ง
เธอไม่ได้พูดอะไร แต่การพยักหน้าด้วยการขยับที่น้อยมาก เขาก็ยังจับได้
“กู้ฮอน คุณตกลงแล้ว?”
เสียงของเป่หมิงโม่ในตอนนี้เกือบจะแสดงให้เห็นถึงการสั่น และเสียงที่สั่นเช่นนี้อาจจะได้ยินเพียงแค่ระหว่างพวกเขาสองคนเท่านั้น
เขารู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย และนี่เป็นความรู้สึกตื่นเต้นครั้งแรกในชีวิตของเขา
ความรู้สึกนั้นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถแสดงออกมาเป็นคำพูดได้จริงๆ
ในเวลานี้เขามองเห็นน้ำตาสองเส้นที่อยู่บนแก้มของเธอ…
“ว้าว…”
เด็กทั้งสามคนกระโดดขึ้นจากเก้าอี้ในเวลาเดียวกัน
“ว้าว…”
แล้วก็มีเสียงปรบมืออย่างอบอุ่น…
เสียงปรบมืออันยาวนาน…
ในช่วงเวลานี้คำบอกกล่าวที่เต็มไปด้วยการปรุงแต่งถ้อยคำที่สวยงาม ก็ไม่อาจจะแสดงถึงคำอวยพรที่ทุกคนมีให้พวกเขาได้เรียบง่ายเช่นนี้
ต่างก็ซาบซึ้งใจและต่างก็กล่าวอวยพร พิธีการยังคำดำเนินต่อไป นี่อาจจะเป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้ชูหยุนเฟิงยังอยู่ที่นี่
จู่ๆน้ำตาก็ไหลออกมาทันทีทันใด ผู้ชายคนนี้ช่างไร้ประโยชน์จริงๆ
สิ่งนี้ทำให้ทุกคนพุ่งความสนใจมาที่เขา
และยังทำให้สายตาของเป่หมิงโม่และกู้ฮอนมองมาที่เขาเช่นกัน
“เจ้านี่คิดจะเล่นอะไรแผลงๆอีก…” เป่หมิงโม่เลิกคิ้วขึ้นมาสองครั้งอย่างอดไม่ได้
คำกล่าวที่ว่า ‘เกิดเป็นผู้ชายต้องซ่อนน้ำตาไว้ไม่ให้ใครเห็น’
ผู้ชายคนนี้เป็นเช่นนี้อย่างคาดไม่ถึงและไม่มีการเตือนล่วงหน้า
อย่างไรก็ตาม ชูเอ้อใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาของเขาอย่างรวดเร็ว
เขารู้สึกว่าเมื่อสักครู่นี้เขาทำตัวเปิ่นไปเล็กน้อยเลยรู้สึกอาย
แต่ทว่าเขาก็กลอกตาไปมา ราวกับว่าเขาไม่เป็นไรถึงแม้จะเกิดความรู้สึกเศร้า : “ขอโทษด้วย ที่เมื่อสักครู่ผมทำตัวไม่เหมาะสมไปหน่อย แต่ทุกคนคงต้องสงสัยมากแน่นอนว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น”
แน่นอนว่าไม่มีใครให้ความสำคัญกับมันเลย