บทที่ 1137 เมืองปริศนา
“คุณเตรียมอาหารกลางวันไว้ที่นี่หรือ ฉันก็ว่าหลายวันมานี้คุณทำตัวลับๆล่อๆ พูดมาเถอะ ยังมีอีกกี่เรื่องที่ปิดบังฉัน” กู้ฮอนในตอนนี้รู้สึกอยากรู้ขึ้นมาบ้างแล้วจริงๆ
เป่หมิงโม่เห็นเธอมีปฏิกิริยาตอบสนองในทางที่ดี ตัวเองก็ผ่อนคลายลงไม่น้อย “คุณชื่นชอบที่จะให้ผมพูดแผนการของผมออกมาทีเดียว หรือว่าค่อยๆขุดค้นมันทีละเล็กทีละน้อย ได้พบกับเรื่องเซอร์ไพรส์ไม่หยุดหย่อนกันล่ะ”
กู้ฮอนเอียงศีรษะขมวดคิ้ว “รู้เรื่องทั้งหมดในครั้งเดียว ฟังดูแล้ว นอกจากจะสามารถสัมผัสกับความรู้สึกถูกเซอร์ไพรส์ครั้งใหญ่แล้ว ที่เหลือก็เรียบๆเฉยๆ ในเมื่อเป็นแบบนี้ ไม่สู้เซอร์ไพรส์เล็กๆน้อยๆที่มาไม่หยุดหย่อน สายน้ำไหลไปเรื่อยๆอย่างช้าๆจะดีกว่าหน่อย”
“อย่างนี้ก็ง่ายแล้ว วันนี้ผมสามารถเติมเต็มความปรารถนาของคุณได้” เป่หมิงโม่มีความเชื่อมั่นเป็นอย่างมาก
กู้ฮอนมองเขาอย่างเหยียดหยาม “คุณน่ะหรือ ฉันเห็นว่าปกติคุณเหมือนกับคนที่ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา เรื่องเซอร์ไพรส์ที่สร้างออกมาในบางโอกาส สุดท้ายแล้วก็กลายเป็นเรื่องที่ทำให้ตื่นตระหนก สหายเหล่าเป่หมิง การทำเรื่องโรแมนติกนั้น อย่าได้เชื่อมั่นตัวเองขนาดนี้จะได้ไหม คุณไม่ได้อยู่ในช่วงวัยที่จะทำสิ่งที่โรแมนติกแล้ว”
ดูถูก เป็นการดูถูกทั้งแต่ต้นจนจบ
นี่เป็นคำดูถูกที่มีต่อตัวเองของผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เป่หมิงโม่ได้รับ
เขาได้ยินแล้ว ก็รู้สึกไม่สบอารมณ์เล็กๆในใจ แต่ผู้หญิงที่อยู่เบื้องหน้าเขาคือกู้ฮอน ทำให้เขาจนปัญญาที่จะทำอะไรเธอ
แต่ว่า เขาเขยิบเข้าไปกระซิบใกล้ใบหูของเธอประโยคหนึ่ง “คุณบอกว่าผมแก่แล้วหรือ คุณต้องรับผิดชอบประโยคนี้ด้วยตัวเอง”
ประโยคนี้ทำให้กู้ฮอนรู้สึกมีกระแสไฟไหลผ่านใบหูไปอย่างรวดเร็วจนทำให้ชาไปตลอดทั้งร่างอีกครั้ง
เกือบจะรู้สึกได้ว่าขนทุกเส้นในร่างกายตั้งขึ้นมา
จึงอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นระริก
ในใจเธอเข้าใจเป็นอย่างมากว่าที่เป่หมิงโม่ เจ้าหมอนี่พูดนั้นไม่ได้มีความหมายเพียงแค่อย่างเดียว
“ไปให้พ้น อย่าคิดว่าทำอะไรเพื่อฉันแล้ว จะสามารถอาศัยสิ่งนั้นมาขอรางวัลหรือการตอบแทนอะไรได้” พูดแล้ว เธอก็หมุนตัวเดินไปตามทางถนนเส้นเล็กๆนั้นอย่างรวดเร็ว
ทิวทัศน์รอบด้านอันงดงามยังคงทำให้เธอรู้สึกจิตใจปลอดโปร่ง แต่ในเวลานี้เธอไม่อยากจะหยุดเดินเพื่อชื่นชมอีกแล้ว
เหมือนกับว่ามีความตื่นตระหนกเกิดขึ้นในใจเล็กๆ
ที่นี่เงียบสงบเป็นอย่างมาก เงียบเสียจนสามารถได้ยินเสียงฝีเท้าอันเร่งรีบของตัวเอง
ถ้าหากว่าเจ้าหมอนี่ไม่มีความอดทน ลงมือทำอะไรกับตัวเองที่นี่ล่ะก็ เกรงว่าจะสามารถทำได้ตามอำเภอใจ โดยไม่ต้องเกรงกลัวใครอย่างแน่นอน
ในขณะที่ยังไม่มีการเตรียมการใดๆ เธอไม่อยากจะเผชิญกับเหตุการณ์แบบนี้ อย่างน้อยตอนนี้ก็ไม่อยาก
ตอนนี้ เธอร้อนใจต้องการหาลูกๆให้เจอ หรือไม่ก็คนอื่นๆที่อยู่ที่นี่ก็ได้
มุมปากเป่หมิงโม่ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ค่อยๆเดินตามอยู่ด้านหลังเธอ เหมือนกับแมวและหนูที่ถูกจับเอาไว้ในกรงเดียวกัน
แมวไม่รีบร้อนจับหนูเอาไว้ เพราะมันไม่มีทางที่จะให้หนี สุดท้ายแล้วก็ยังคงกลายเป็นอาหารบนจานของตัวเองอยู่ดี
จำเป็นต้องพูดว่า ที่นี่เหมือนกับเขาวงกตเล็กๆแห่งหนึ่ง เส้นทางที่อยู่เบื้องหน้า กลับยาวไกลอย่างเห็นได้ชัด…….
“ถ้าหากว่าไม่มีผมล่ะก็ คุณคงจะทำได้เพียงเดินวนอยู่ที่นี่” เป่หมิงโม่มีท่าทางสบายๆ เป็นตัวของตัวเองและเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นเป็นอย่างมาก
กู้ฮอนที่เดินนำอยู่ด้านหน้าจะเชื่อคำพูดของเขาได้อย่างไร จึงยังคงก้าวเท้าเดินเร็วต่อไป
จนกระทั่งเธอรู้สึกว่าตัวเองเดินวนไปวนมาแล้วจริงๆ
ถึงได้หันหน้ากลับไป เขาเหมือนกับดวงวิญญาณดวงหนึ่ง ตั้งแต่ต้นจนจบรักษาระยะห่างที่แน่นอนกับตัวเองมาโดยตลอด ไม่รีบร้อนและไม่เชื่องช้า
“คุณทำอะไรที่นี่กันแน่” เธอรู้สึกเหนื่อยหอบเล็กน้อย
“ผมบอกกับคุณไปแล้วไม่ใช่หรือ ว่าทำได้แค่เดินวนอยู่ในนี้เท่านั้น ผมตั้งชื่อให้กับสถานที่แห่งนี้ว่า ‘เมืองปริศนา’ เป็นอย่างไร น่าสนใจสินะ”
กู้ฮอนได้ยินแล้วก็เข้าใจ “คุณคงจะไม่ได้พาฉันมาที่นี่ เพื่อให้พวกเรามาชื่นชม ‘เมืองปริศนา’ ของคุณหรอกนะ เด็กๆอาจจะรู้สึกสนใจ แต่ฉันสามารถบอกกับคุณได้เลยว่า ฉันไม่ชอบมันเลย นี่มันอ่อนหัดเกินไปแล้ว”
สำหรับความคิดเห็นของเธอ เป่หมิงโม่ไม่เห็นด้วย “ผมคิดว่าคุณควรเรียนรู้ที่จะมองสถานที่แห่งนี้อย่างผ่อนคลายสักเล็กน้อย คุณจะค้นพบความน่าสนใจของสถานที่แห่งนี้ เอาล่ะ ผมเห็นว่าใกล้ถึงเวลาแล้ว ถึงตอนที่จะเสิร์ฟอาหารแล้ว”
เขาพูด พลางจูงมือกู้ฮอนก้าวเท้ายาวไปข้างหน้า
“เสิร์ฟอาหารคาวหวาน คุณจะพาฉันไปที่ไหน” แม้ว่าในสมองของกู้ฮอนจะเต็มไปด้วยความสงสัย แต่ในตอนนี้กลับทำได้เพียงแค่ถูกเขาจูงเดินไป
เป่หมิงโม่ได้ตอบเธอ แต่เดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ
พูดไปแล้วก็ทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย สถานที่ที่พวกเขาเดินผ่านนั้น ตัวเองก็เดินผ่านไปแล้วเหมือนกัน แต่หลังจากที่เลี้ยวไปสองรอบ ความจริงก็กระจ่างแจ้งขึ้นมาในเบื้องหน้า
นี่คือทางออกทางหนึ่งของเมืองปริศนานี้ พวกเขายืนอยู่ที่นี่ ด้านหน้าพวกเขาปรากฏภาพสีขาวขึ้นมา
สะอาดเสียจนเกือบจะบอกได้ว่าไม่มีฝุ่นเลยแม้แต่น้อย
อยู่ที่นี่ก็เหมือนกับอยู่ในโลกอีกใบหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีความเงียบสงบที่ไม่เข้าพวกกับเมืองที่สับสนพลุกพล่านรอบๆเลย
ไม่ไกลกันนั้นมีบังกะโลกำแพงสีแดง กระเบื้องสีเทาอยู่สามหลัง มองดูแล้วเหมือนกับอาคารก่อสร้างที่มีอายุมานานเล็กน้อย
ด้านหน้าบังกะโล มีต้นไม้ใหญ่ที่ต้องใช้คนสามสี่คนถึงจะสามารถโอบได้รอบต้นหนึ่ง
เรือนยอดของต้นไม้ต้นนี้ใหญ่เกินไปแล้วจริงๆ บังกะโลด้านล่างทั้งหลังถูกเงาของมันปกคลุมไปหมด
กิ่งไม้ที่โน้มลงมาเหมือนกับต้นไม้แห่งชีวิตในหนังเรื่องอวตาร ให้ความรู้สึกโบราณและลึกลับกับผู้คน
เป่หมิงโม่หันหน้า เบนสายตามองไปยังกู้ฮอนที่อยู่ข้างกาย
เธอดูเหมือนกับว่าจะถูกทิวทัศน์เบื้องหน้านี้ทำให้ตกตะลึงไปแล้ว
“ผมชื่นชอบปีนต้นไม้ต้นนั้นตั้งแต่เด็ก ยืนมองเมืองแห่งนี้อยู่ข้างบนนั้น ก็ได้ความรู้สึกอีกแบบหนึ่ง” เขาพูด จูงมือเธอเดินไปด้านหน้าอย่างช้าๆ
พวกเขาหยุดลงเมื่อเดินมาถึงข้างต้นไม้ต้นนั้น
เขาเงยหน้ามอง กิ่งไม้และใบไม้ที่หนาแน่นนั้นทำให้สามารถเห็นได้แค่ผืนฟ้านิดๆหน่อยๆที่ปรากฏออกมา
ลมเย็นพัดผ่านระใบหน้า กิ่งไม้และใบไม้ขยับไหวไปมาเล็กน้อย
รู้สึกถึงจิตใจที่เบิกบานผ่อนคลาย
นี่คือเมืองในอุดมคติที่สร้างขึ้นมาในเมืองแห่งนี้
“คุณชอบที่นี่ไหม”
“อะไรหรือ”
กู้ฮอนยังคงทอดถอนใจให้กับสิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้าเหล่านี้ ทั้งยังคาดไม่ถึงว่าเขาหมายความว่าอะไร
เป่หมิงโม่หมุนให้ร่างของเธอหันมาเผชิญหน้ากับตัวเอง มือข้างนึงของเธอก็ถูกกอบกุมเอาไว้ในมือของตัวเอง
มองเธอด้วยสายตาลึกซึ้ง “คุณชอบที่นี่ไหม”
“ฉัน ฉันไม่รู้” กู้ฮอนคิดไม่ถึงจริงๆว่าเขาจะแสดงสีหน้าท่าทางแบบนี้กับตัวเอง
นี่ทำให้เธอรู้สึกหายใจถี่เร็ว แก้มค่อยๆปรากฏริ้วแดงขึ้นมา เพื่อที่จะไม่ให้เขาเห็นความรู้สึกของตัวเอง จึงก้มหน้าลงเล็กน้อย
“มองผม” เสียงเป่หมิงโม่ทุ้มต่ำ แต่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนอันน่าดึงดูด
พูดแล้วก็ยกมือซ้ายขวาของเธอขึ้นมาเบาๆ นิ้วลูบไปบนแหวนที่อยู่บนนิ้วนางวงนั้นของเธอช้าๆ
กู้ฮอนรู้สึกได้ว่าหัวใจของตัวเองเต้นเร็วมากขึ้น คล้ายกับว่าในตอนนี้ เธอรู้สึกถึงอะไรได้อย่างเลือนราง
เขาคงจะไม่ได้พาตัวเองมาที่นี่เพื่อฉลองวันเกิดง่ายๆแบบนี้หรอก นะ……
หรือว่าจะเป็น……
เธอไม่กล้าคิดต่อไป แต่ก็รู้สึกเหมือนว่าในใจของตัวเองมีความคาดหวังกระเพื่อมอยู่เล็กๆ
เธอเงยหน้าขึ้นช้าๆอีกครั้ง
เห็นตอหนวดเล็กน้อยที่คางของเขา……
มุมปากที่ยกขึ้นน้อยๆ……
จมูกโด่งเป็นสัน……
สุดท้ายนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความร้อนแรงคู่นั้นของเขา
“วันนี้คุณดูสวยมาก” เป่หมิงโม่มองเธอ ทั้งยังเอ่ยชมอย่างไม่ตระหนี่
“คุณลืมทานยาใช่ไหม” แม้ว่ากู้ฮอนจะรู้สึกดีใจเล็กน้อย แต่เธอกลับรู้สึกได้ว่าเจ้าหมอนี่มีอะไรที่ไม่เหมือนเดิมเล็กน้อย
หรือจะใช้คำว่า ผิดปกติ มาแทนก็ได้
“คุณก็คือยาของผม ผมอยากมีคุณอยู่ข้างๆไปชั่วชีวิต……..”
“ฝันไป……อุ๊บ……..”
ไม่รอให้กู้ฮอนพูดให้จบ ริมฝีปากคู่นั้นของเธอก็ถูกปิดเอาไว้แล้ว
“อุ๊บๆ……”
ประโยคหนึ่งก็ยังพูดออกมาไม่ได้
เธอคิดจะผลักเขาออก เพราะรู้สึกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดในตอนนี้ อย่างไรก็สัมผัสถึงความเป็นจริงไม่ได้
หรือว่าตัวเองอยู่ในความฝันกัน
ที่จริงแล้วในบางครั้ง เขาก็เคยมาปรากฏตัวในความฝันของตัวเองจริงๆ……
เพียงแต่การปรากฏตัวทุกครั้ง เธอล้วนสามารถทำให้ตัวเองลุกขึ้นมานั่งบนเตียงได้อย่างรวดเร็ว ภายในเวลาไม่นาน
หลังจากมองไปรอบด้านแล้ว ก็ยังคงมีตัวเองคนเดียว
แต่ว่าในครั้งนี้ เธอไม่ได้ตื่นขึ้นมา
นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ
เธอสามารถรับรู้ถึงความร้อนแรงของเขาได้อย่างชัดเจน ความร้อนแรงที่มีต่อตัวเอง……
ไร้สิ้นหนทางที่จะต่อต้านเขา……
ที่แย่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เธอรู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองพอจะทำได้ก็คือพยายามปรับตัวเองให้เข้ากับเขา แสดงความในใจออกมา อย่างไม่ปิดบัง…..
ภาพลวงตา ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นภาพลวงตา
แต่ก็จริงแท้อะไรเช่นนี้
เธอไร้เรี่ยวแรงจะต่อต้าน และไม่อยากจะต่อต้าน ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ……
เส้นผมยาวสีดำเหมือนอีกาของเธอนั้นปลิวไปตามสายลมเบาๆที่พัดมา ดูสง่างามและนุ่มนวล
“แซกๆ……” เสียงกิ่งไม้และใบไม้ถูกลมพัดให้ขยับ เสียงที่ดังจากการขยับไหวนั้น เหมือนกับว่ากำลังอวยพรให้พวกเขา
“อ๊า เด็กดูไม่ได้นะ!”
เสียงกรีดร้องของเด็กดังขึ้นมา เหมือนกับสายฟ้าที่ผ่าลงมาทำลายความสงบในผืนฟ้า
ความงดงามที่หลอมละลายระหว่างพวกเขาสองคน ถูกแทงทะลุเข้ามาอย่างโหดร้ายทั้งอย่างนั้น
พวกเขาถอยไปด้านหลังสองก้าว
ความกระอักกระอ่วนที่ถูกคนเปิดเผยออกมาปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพวกเขาอย่างรวดเร็วจนเห็นได้ชัด
เป่หมิงโม่นั้นยังดี การฝึกฝนอย่างหนักในสนามรักมาหลายปีนั้น ทำให้เขาไม่ใส่ใจกับสิ่งเหล่านี้ไปนานแล้ว
แต่กู้ฮอนกลับทำไม่ได้
เธอใช้มือลูบผมไม่หยุดด้วยความกระอักกระอ่วน
“พวกคุณมาตั้งแต่เมื่อไรกัน” เป่หมิงโม่หันหน้าไปมองยังสถานที่ที่มีเสียงลอยมา
ก็เห็นลูกๆสามคนยืนเรียงกันเป็นแถวหนึ่ง ด้านหลังพวกเขายังมีหวีหรูเจี๋ยและโม้จิ่งเฉิง
แน่นอนว่านอกจากฉิงฮัวแล้ว ก็มีผู้ติดตามเพิ่มขึ้นมาอีกคน นั่นก็คือหยินปู้ฝัน
“มาได้ครู่หนึ่งแล้วล่ะ เพียงแต่เห็นว่าพวกนายกำลังมีอารมณ์ปฏิพัทธ์ต่อกันเช่นนี้ ก็เกรงใจที่จะเข้าไปขัด” หยินปู้ฝันหัวฮาๆ เอ่ยตอบ
ก็ไม่รู้ว่าเขาพูดความในใจจริงๆ หรือว่าแค่มีใจอยากดูเรื่องสนุกที่นี่เท่านั้น
สรุปแล้วในใจเป่หมิงโม่ก็รู้สึกไม่สบอารมณ์เล็กน้อย “อย่างนั้นพวกนายยัง……”
แต่ว่าเมื่อคำพูดที่มาถึงริมฝีปากก็ถูกกลืนกลับลงไปทั้งอย่างนั้น
เขามองผู้เยี่ยมชมขึ้นๆลงๆ พิจารณาอย่างมีโทสะอยู่ชั่วครู่ “เสื้อผ้าที่ผมซื้อล่ะ ทำไมถึงได้สวมชุดนี้ออกมากัน จะแสดงละครกันหรือครับ”
“นี่คือเสื้อผ้าที่ฉันเตรียมให้พวกเขา ถ้าหากว่าสวมเสื้อผ้าที่นายเตรียมไว้ให้ ทำไม่ดีจะเข้าใจผิดว่ามาเข้าร่วมงานศพเอาได้ นี่เป็นวันที่น่ายินดีวันหนึ่ง อย่างไรก็ต้องสร้างความรื่นเริงสักหน่อยใช่หรือไม่”
หยินปู้ฝันพูดจนทำให้เป่หมิงโม่รู้สึกไม่ชอบฟังอยู่บ้างจริงๆ แต่เมื่อคิดสักเล็กน้อยก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
กู้ฮอนในตอนนี้นั้นใจสงบนิ่งเล็กน้อยแล้ว เธอถลึงตาใส่เป่หมิงโม่ เหมือนกับตำหนิการกระทำทั้งหมดของเขา
ส่วนสิ่งที่เป่หมิงโม่ตอบกลับมาก็คือใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเป็นผู้บริสุทธิ์
จะโทษตัวเองได้อย่างไรกัน พูดได้เพียงแค่ว่าคนงามกับทิวทัศน์ที่งดงามเช่นนี้ ทำให้คนรู้สึกตื่นเต้นจนควบคุมตัวเองเอาไว้ไม่อยู่จริงๆ
แน่นอนว่า ความในใจของตัวเองนั้น กู้ฮอนไม่ได้รับรู้ด้วย
เห็นท่าทางของเขาแล้ว เธอเข้าใจได้เพียงแค่ว่า ไม่ใส่ใจ จะทำอะไรก็ทำ…….
เธอเดินมาถึงข้างกายโม้จิ่งเฉิง คล้องแขนของเขาเหมือนกับเด็กคนหนึ่ง เอ่ยอย่างแง่งอนว่า “พ่อบุญธรรม ทำไมคุณถึงได้ตามมาดูเรื่องตลกด้วยกันคะ…..