บทที่ 1139 น้ำเย็นกะละมังหนึ่ง
คนที่เป็นแม่ จะไม่รักและทะนุถนอมลูกชายตัวเองได้อย่างไรกัน เดิมเธอคิดอยากจะให้ฉิงฮัวช่วยจัดการแทนลูกชาย แต่เธอเพิ่งจะเอ่ยจบ ตอนที่คิดจะหาฉิงฮัว ก็พบว่าเขาไม่ได้อยู่ในกลุ่มคนนี้ด้วย
“เขาอาจจะมีเรื่องอื่นที่ต้องไปทำ ผมไปดูเขาสักหน่อย อย่างไรพวกเราสองคนก็จัดเตรียมได้เร็วขึ้นกว่าหน่อย” เป่หมิงโม่ในตอนนี้เริ่มที่จะเป็นห่วงเขาแล้วจริงๆ
“ทำไมนายเพิ่งจะมาถึงกัน พวกเขาล่ะ”
ตอนที่เงาร่างของเป่หมิงโม่ปรากฏตัวขึ้นที่ข้างต้นไม้ใหญ่อีกครั้งหนึ่ง ก็เกือบจะมองทิวทัศน์เบื้องหน้าด้วยความตกตะลึง
เมื่อเห็นว่าเดิมสนามที่โล่งกว้าง ในตอนนี้ดูเหมือนกับแผงลอยขายของที่มักจะเห็นได้ตามถนนในฤดูร้อน
โต๊ะกลมตัวใหญ่เป็นพิเศษตัวหนึ่งวางอยู่ใต้ต้นไม้ ปิดบังต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ด้านหลังได้พอดี สำหรับเส้นทางที่เขาเดินกลับมานั้น ไม่เห็นอะไรเลยแม้แต่น้อย
คนพูดก็คือป่ายมู่ซี
วันนี้เขาแต่งกายเหมือนกับบาร์เทนเดอร์ผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งมาก ด้านในเสื้อกั๊กสีดำเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวหนึ่ง
มุมปกเสื้อทั้งสองด้านนั้นมีเครื่องประดับโลหะประดับอยู่อย่างประณีต ซึ่งดึงดูดสายตามากเป็นพิเศษ
“นายเข้ามาได้อย่างไร เข้ามาเมื่อไรกัน”
เป่หมิงโม่พูดกับเขา แต่นัยน์ตากลับสอดส่องมองไปรอบด้าน
ก็เห็นว่าปล่องไฟบนหลังคาบ้านสีขาวหลังซ้ายมือสุดกำลังมีไอควันลอยออกมา
เห็นได้ชัดว่าด้านในมีคนอยู่ แต่กลับไม่เห็นเงาร่างของฉิงฮัวเลย
ป่ายมู่ซีหยิบผ้าสีขาวขึ้นมาด้วยท่าทางสบายๆ เช็ดถูแก้วไวน์แต่ละใบที่หยิบออกมาจากกล่องหนังสีดำเบื้องหน้าอย่างละเอียด “ทำไมต้องทำเหมือนกับตรวจสอบนักโทษด้วย แน่นอนว่าฉันก็เดินเข้ามา สองวันมานี้นายยุ่งจนมึนไปแล้วหรือ ลืมไปแล้วหรือว่าก่อนหน้านี้พวกเราพูดไว้ว่าอย่างไร”
ประโยคนี้เป็นการเตือนเป่หมิงโม่แล้วจริงๆ
มีเรื่องแบบนี้จริงๆ ป่ายมู่ซีและชูเอ้อล้วนรับปากว่าจะลงแรงในงานแต่งงานของตัวเอง อีกทั้งยังเคยบอกสถานที่และเวลากับพวกเขาไปตั้งแต่เนิ่นๆแล้ว”
นี่ยุ่งจนมึนไปแล้วจริงๆ
เป่หมิงโม่ยื่นมือไปตบหน้าผากตัวเองเบาๆ จากนั้นก็หัวเราะเยาะตัวเอง “ยุ่งจนมึนไปแล้วจริงๆ ทำไมถึงเห็นแค่นายที่นี่คนเดียว ชูเอ้อล่ะ ในบ้านหลังนั้นคงไม่ใช่เขาหรอกนะ”
ป่ายมู่ซีหันหน้ากลับไปมองครั้งหนึ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยการเหยียดหยาม “นายประเมินเขาไว้สูงไปแล้วนะ ถึงแม้ว่าจะเป็นไข่ไก่ แต่ถ้าหากว่าเขาสามารถทำให้สุกได้ ตัวอักษร ป่าย นี้ของฉันก็คงต้องเขียนกลับหัวแล้ว ด้านในเป็นภรรยาของฉัน”
เป่หมิงโม่ไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้าง “เธอทำอาหารเป็นหรือ นายมั่นใจนะ”
ป่ายมู่ซีเช็ดทำความสะอาดแก้วใบสุดท้ายเสร็จแล้ว ก็วางเรียงเป็นระเบียบเรียบร้อยบนโต๊ะ จากนั้นก็โค้งตัวเล็กน้อย มองไปที่พวกมัน เหมือนกับว่ากำลังดูงานศิลปะทีละชิ้น ทีละชิ้น
“เฮ้ ฉันพูดกับนายอยู่นะ”
“กริ๊ง……”
เป่หมิงโม่เห็นว่าเขาไม่ตอบ ก็หยิบแก้วที่อยู่ใกล้ตัวเองมากที่สุดมาสองใบ จากนั้นก็กระทบมันเข้าหากันเล็กน้อย
นี่สามารถดึงความสนใจของป่ายมู่ซีได้จริงๆ แต่เขาก็พูดด้วยเสียงตึงเครียดอย่างเห็นได้ชัด “เฮ้ นายเบามือหน่อยได้ไหม พวกนี้ล้วนเป็นแก้วคริสตัลนะ” พูดแล้ว เขาก็เดินอ้อมโต๊ะมา ยึดแก้วสองใบในมือของเป่หมิงโม่กลับคืนมา ใช้ผ้าขาวที่พาดอยู่บนไหล่ถูไปบนแก้วให้สะอาด เกรงว่าด้านบนจะเหลือรอยนิ้วมือของเขาเอาไว้ “อย่านึกว่า นอกจากกู้ฮอนของนายที่ทำอาหารเป็นแล้ว ภรรยาของฉันจะทำไม่เป็น เธอก็แค่ไม่ชอบเท่านั้นเอง วันนี้ถือว่านายมีวาสนา เธอลงมือทำอาหารด้วยตัวเอง”
“เหอะ มองไม่ออกเลยจริงๆ นายก็เปลี่ยนคนเก่งนินา หญิงสาวที่ไม่เคยต้องซักผ้าถูบ้าน กลับสามารถแสดงความสามารถเชี่ยวชาญออกมาตอนอยู่กับนายได้……”
“เป่หมิงเอ้อ นายพูดถึงฉันหรือ”
เสียงพูดมา คนก็มา เป่หมิงโม่กำลังพูดคุยกับป่ายมู่ซี จึงไม่ได้สังเกตว่าด้านหลังพวกเขามีคนเพิ่มขึ้นมาอีกหลายคน
คนที่เดินอยู่ด้านหน้าสุดคือชูหยุนเฟิง
“ใครพูดถึงนายกัน อย่าคิดแบบนี้ เป่หมิงเอ้อกำลังชื่นชมภรรยาของฉันต่างหาก” ป่ายมู่ซีมองเขาอย่างดูถูกครั้งหนึ่ง
ชูหยุนเฟิงเดินมาถึงข้างกายป่ายมู่ซี ยื่นแขนไปโอบไหล่เขา ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย “ฮิฮิ เป่หมิงเอ้อชมภรรยานายต่อหน้านาย นายคิดว่าเป็นเรื่องที่ดีหรือ”
“เฮ้ๆ นายวางแก้วที่อยู่ในมือลงเลยนะ นี่เป็นถึงคริสตัลที่ฉันรักและทะนุถนอมมากที่สุดเซตหนึ่งเลย”
ป่ายมู่ซีเห็นมือของเป่หมิงโม่ในตอนนี้มีแก้วที่ตัวเองเพิ่งเช็ดถูไปเพิ่มขึ้นมาอีกใบ ยังจะต้องบอกความหมายอีกหรือ แน่นอนว่านี่เตรียมจะโยนไปทางชูเอ้อ
เขาหยิบอะไรมาตีล้วนไม่มีปัญหา แต่ห้ามหยิบแก้วนี้
ป่ายมู่ซีตื่นตระหนก เดินไปถึงข้างกายเป่หมิงโม่ในไม่กี่ก้าว ยกมือขึ้นไปแย่งแก้วมา ทั้งยังหยิบกล่องที่วางแก้วคริสตัลอันเป็นที่รักของตัวเองส่งให้เขา “ใช้สิ่งนี้ดีกว่า ขนาดใหญ่ มีน้ำหนัก…….”
“เฮ้! ป่ายมู่ซี ฉันนึกว่านายจะช่วยฉัน คิดไม่ถึงเลยว่านายจะได้ทีขี่แพะไล่ ฉวยโอกาสเอาเปรียบผู้อื่นที่ตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากแบบนี้!” ชูหยุนเอ่ยกระโดดเว้นระยะห่างออกไปตั้งนานแล้ว เตรียมท่าทางพร้อมจะชกต่อยเรียบร้อย
เขาพูด สายตาก็มีประกายความผิดหวังออกมา ผิดหวังต่อป่ายมู่ซี
“ขอโทษด้วยนะชูเอ้อ นายก็ได้ยินแล้ว แก้วใบนี้ค่อนข้างล้ำค่าจริงๆ ดังนั้นจึงต้องให้นายได้รับความไม่เป็นทำเสียหน่อย แต่ในทางกลับกันแล้ว นี่ไม่ใช่เพราะปากเสียๆของนายที่ทำให้ผู้อื่นมีโทสะหรือ ไม่มีใครหนีพ้นกรรมชั่วของตัวเองไปได้หรอก” ป่ายมู่ซียกแก้วอันเป็นที่รักของตัวเองขึ้นมา และเช็ดถูอีกครั้งหนึ่ง
ชูเอ้อรู้สึกว่าตัวเองถูกใส่ร้ายอย่างรุนแรง “ฉันปากเสียอย่างไร ทำไมถึงได้ล่วงเกินเป่หมิงเอ้อเสียล่ะ อาศัยประโยคนั้นหรอกหรือ แต่ในทางกลับกัน แม้ว่าจะเป็นฉันที่พูด คนที่ควรจะโยนสิ่งของใส่ฉันคือนายไม่ใช่เขานะ ซูยิ่งหวั่นเป็นภรรยาของนาย……”
ประโยคนี้เป็นการปลุกคนให้ตื่นจากฝันในคำเดียว เมื่อครู่ป่ายมู่ซีคล้ายจะยังไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว เขายกของในมือขึ้นเตรียมจะโยนไป “ถ้าจะล้อเล่นก็ไปล้อเล่นกับภรรยาของนาย เอาฉันไปพูดให้น้อยๆหน่อย!”
“เฮ้ๆ นี่เป็นลูกรักของนายนะ!” ในใจชูเอ้อตะโกนว่า ‘แย่แล้วๆ’ ไม่หยุด แต่ท่ามกลางสถานการณ์ร้อนรนนั้น คำพูดนี้ก็แตะโดนจุดอ่อนของป่ายมู่ซีเข้า ตาเห็นแก้วใบนั้นที่เขาวางลงอย่างระมัดระวัง ถึงจะใจสงบลงได้
เขามองไปทางทั้งสองคนด้วยท่าทางที่เป็นผู้บริสุทธิ์ “พวกนายสองคนเป็นอะไรไปกัน ฉันมาอวยพรด้วยความปรารถนาดี ทำไมถึงได้กลายเป็นเป้าของทุกคนเสียแล้วล่ะ ถือเสียว่าเมื่อครู่นี้ฉันล้อเล่นเกินไปหน่อยไม่ได้หรือ วันที่น่ายินดีขนาดนี้ สร้างเรื่องอะไรสนุกๆสักหน่อย ทำไมต้องจริงจังด้วย นายดูสิว่าฉันเอาอะไรมาด้วย สถานที่จัดงานใหญ่ขนาดนี้ ไม่อาจจะขาดบริกรไปได้นะ”
เขาพูดแล้วก็ปรบมือเสียงดังสองที ด้านหลังเขาก็มีคนเพิ่มขึ้นมาอีก 20 กว่าคน สวมเสื้อกั๊กสีดำ ด้านในเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาว……
“เอ่อ……” ชั่วขณะหนึ่งที่ชูหยุนเฟิงมีสีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย “ป่ายมู่ซี ฉันว่านะ นายก็จริงๆเลย ทำไมจะต้องให้ความร่วมมือกับฉันตลอดเลย ดูสิ นายไปอยู่ท่ามกลางพวกเขาแล้วจะหาเจอได้อย่างไร”
แน่นอนว่าคนที่กระอักกระอ่วนไม่ใช่เขาคนเดียว ป่ายมู่ซีกลอกตามองบนใส่เขา “ชูเอ้อ ใช้มุกนี้ให้น้อยๆหน่อย วันนี้เหล่าเป่หมิงเป็นตัวเอก ฉันถึงได้ยกด้านที่สุกใสงดงามให้กับเขา ไม่อย่างนั้นล่ะก็…….”
ป่ายมู่ซีพูด สายตาเหลือบไปมองเป่หมิงโม่อย่างไม่ได้ตั้งใจ ก็เห็นว่าเขากำลังถลึงตาใส่ตัวเองอยู่ เสี้ยววินาทีนั้นก็รู้สึกถึงไอเย็นที่เริ่มแล่นขึ้นมาตามกระดูกสันหลัง
เขาโบกแก้วในมือไปมา “ฉันไปทำเรื่องที่ฉันควรจะทำดีกว่า”
ชุหยุนเฟิงคล้ายกับว่าภูมิใจที่หาแพะรับบาปได้ “ป่ายมู่ซี เป็นอย่างไร ใส่ตัวเองเข้าไปด้วยเถอะ” พูดแล้ว ก็เสริมความกล้าเดินไปถึงด้านหน้าเป่หมิงโม่ ยกมือรับกล่องที่อยู่ในมือของเขามา จากนั้นก็วางไว้บนโต๊ะที่อยู่ด้านข้าง
เหมือนกับว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ตบลงบนบ่าของเขา “เป่หมิงเอ้อ พวกเรามีความสัมพันธ์กันมาตั้งหลายปีขนาดนี้ มาที่นี่ก็เพื่อแสดงความยินดีให้นายนะ”
“เจ้าสาวและลูกทั้งสามคนของนายล่ะ”
ชูหยุนเฟิงกวาดตามองไปรอบหนึ่ง พลางเอ่ยถาม
“ไม่ต้องพูดถึงนาย ขนาดฉันก็ยังไม่เห็นพวกเขาเลย” ป่ายมู่ซีไม่รอให้เป่หมิงโม่พูด ตัวเองก็เอ่ยแทรกขึ้นมาก่อนประโยคหนึ่งแล้ว
“ฉันว่านะเป่หมิงเอ้อ นี่มันไม่ซื่อสัตย์และจริงใจแล้วนะ วันดีขนาดนี้กลับไม่แจ้งเจ้าสาวหรือว่าเอ่ยพูดกับผู้อื่นสักหน่อย หรือว่าพูดแล้ว แต่ผู้อื่นไม่อยากเข้าถ้ำเสือกัน ฉันว่านะ ไม่ว่าจะอันไหน สำหรับนายล้วนไม่ใช่เรื่องที่ดี” เขาพูดพลางเขยิบไปอยู่ข้างกายป่ายมู่ซี “ป่ายมู่ซี ฉันว่านายไปบอกกับภรรยานายเถอะว่าไม่ต้องทำอาหารแล้ว พวกเราก็เก็บของกันเถอะ”
เมื่อสาดน้ำเย็นกะลังมังหนึ่งไป
ไม่ต้องพูดเลยว่า เป่หมิงโม่ไม่มีอะไรจะพูดได้ เดิมเรื่องในวันนี้ก็คลุมเครือมาโดยตลอด
*
เป่หมิงโม่จากไปช่วงเวลาหนึ่งแล้ว ผู้ใหญ่สามคนและเด็กทั้งสามคนก็รอจนร้อนใจ
ไม่รู้ว่าเจ้าหมอนี่ไปทำอะไรกันแน่
“ฮอน มีประโยคหนึ่งที่ป้าไม่รู้ว่าควรจะพูดในตอนนี้หรือไม่ ป้าอยากจะรู้ว่าทำไมเธอกับโม่ถึงไม่สามารถใช้ชีวิตด้วยกันได้” สุดท้ายแล้วตอนนี้หวีหรูเจี๋ยก็อดทนไม่ไหว เอ่ยถามถึงสิ่งที่อยู่ในใจของเธอไป
ถ้าหากว่ากู้ฮอนมีความรู้สึกให้กับลูกชายของตัวเอง แน่นอนว่าก็ไม่มีอะไรจะดีไปมากกว่านี้แล้ว แม้ว่าจะเป็นความรู้สึกธรรมดา เธอก็อยากจะใช้เวลาสั้นๆนี้ พูดสิ่งดีๆแทนลูกชายตัวเองสักหลายประโยค
ประโยคนี้ถามขึ้นมากะทันหันอยู่บ้าง บวกกับวันนี้เป่หมิงโม่จะฉลองวันเกิดให้กับตัวเอง รวมไปถึงตอนที่พวกเขาอยู่ใต้ต้นไม้……..
เรื่องราวทั้งหมดนี้เหมือนกำลังบอกใบ้เรื่องเรื่องหนึ่ง
แม้ว่ากู้ฮอนจะไม่กล้ายืนยัน แต่ก็สามารถรับรู้ได้อย่างเลือนราง
ตอนนี้เมื่อถูกหวีหรูเจี๋ยถาม ถึงได้ทำให้ตัวเองเริ่มต้นเผชิญหน้ากับปัญหานี้อย่างจริงจัง
เงียบกริบ……
เธอรู้สึกว่าสมองของตัวเองสับสนวุ่นวายเล็กน้อย แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงสับสนวุ่นวาย
เมื่อเผชิญหน้ากับหวีหรูเจี๋ย ตัวเองก็แค่ต้องให้คำตอบที่แน่นอนหรือไม่ก็ปฏิเสธสองอย่างเท่านั้นเอง
แต่ในใจ เมื่อเผชิญหน้ากับเป่หมิงโม่ คำตอบสองประเภทนี้ไม่สามารถครอบคลุมความในทั้งหมดได้
ความรู้สึกที่มีต่อเขานั้นซับซ้อนเล็กน้อย
แต่ว่า ปัญหาเรื่องนี้ ไม่ว่าจะในอดีต ปัจจุบัน หรือว่าช่วงเวลาหนึ่งในอนาคต ล้วนสามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่สุดท้ายแล้ววันหนึ่งก็ต้องให้คำตอบออกมาอยู่ดี
“ผมคิดว่าพ่อคนนี้ก็ไม่เลวเลย” ยังไม่รอให้เธอพูด หยางหยางก็เอ่ยพูดขึ้นมาก่อนหนึ่งประโยค
ถัดมาเฉิงเฉิงกับจิ่วจิ่ว ก็พยักหน้าไปตามๆกัน
ในชีวิตของพวกเขาสามคนนั้น บทบาทที่ไม่สามารถขาดไปได้ก็คือบิดา
“อืม เป่หมิงโม่คนนี้ เป็นสามีนั้นฉันไม่ชัดเจน แต่ในฐานะคุณพ่อล่ะก็ ถือได้ว่าเป็นคุณพ่อที่ดีคนหนึ่งจริงๆ” หยินปู้ฝันก็เอ่ยแทรกขึ้นมา
กู้ฮอนยังคงรักษาความเงียบเอาไว้
****
*
“Hi……พวกเรามาแล้ว”
จากเสียงที่สดใส รวมไปถึงกลิ่นหอมที่ลอยมาตามสายลม
ไม่ต้องดูก็รู้ว่าลั่วเฉียวมาแล้ว
ฉิงฮัวที่หาไม่พบมาโดยตลอดก็อยู่ข้างกายเธอ คนที่เดินตามหลังมาก็คือแอนนิ
คราวนี้ เพื่อนสนิทของกู้ฮอนก็ล้วนมาถึงแล้วเช่นกัน
“ฮอนของพวกเราไปไหนแล้วล่ะ เป่หมิงโม่ นายคงจะไม่ให้พวกเราเจอเธอแวบหนึ่งก็แต่งเธอเข้าบ้านเลยหรอกนะ” ลั่วเฉียวพูดอย่างตรงไปตรงมา เหมือนกับว่าไม่พอใจ
“พวกเธอมาได้อย่างไรกัน” เป่หมิงโม่ไม่ได้ตอบกลับไป แต่กลับเอ่ยถามฉิงฮัวแทน
“นี่……ผมคิดว่าวันนี้เป็นวันแต่งงานของเจ้านายกับคุณผู้หญิง อย่างไรก็ต้องให้เพื่อนๆของเธอมาอวยพรเธอ แบบนี้ถึงจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ดังนั้น ผมจึงเรียกให้พวกเธอมาด้วย…….”
เรื่องดำเนินมาจนถึงตอนนี้แล้ว ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ เป่หมิงโม้ล้วนถูกผลักให้เดินต่อไป
นี่ทำให้เป่หมิงโม่รู้สึกคาดไม่ถึงอยู่บ้าง แผนการเดิมคือการแต่งงานกันภายในครอบครัว ตอนนี้ดูท่าจะเป็นไปไม่ได้เสียแล้ว