บทที่ 1136 แผนการร้ายที่เก็บงำเอาไว้อยู่ในใจ
หรือว่าตัวเองจะโง่เขลาตั้งแต่เกิดกัน
หรือว่าเป่หมิงเอ้อ เจ้าหมอนี่พูดจาไร้สาระเกินจริงกัน
*
“คุณพ่อคุณแม่ไปจากที่นี่หรือยัง” เฉิงเฉิงเอ่ยถามหยางหยางที่กำลังเหยียบอยู่บนม้านั่ง มือทั้งสองข้างเกาะอยู่บนขอบหน้าต่าง มองไปทางด้านนอก
ในตอนนี้บานกระจกสีน้ำตาลถูกปกคลุมด้วยหมอกบางๆชั้นหนึ่งจากลมหายใจร้อนของหยางหยางที่รินรดอยู่
เขาใช้แขนเสื้อเช็ดด้านบนส่วนหนึ่ง “อืมๆ พวกเขาไปจากที่นี่แล้ว เดินไปทางด้านหน้าแล้ว”
เขาพูดแล้วก็กระโดดลงมาจากม้านั่ง เดินมาถึงหน้ากระเป๋าเดินทางใบเล็กของตัวเอง แล้วเปิดมัน “ฮิฮิ นายว่าถ้าคุณพ่อเห็นพวกเขาสวมชุดนี้แล้วจะโมโหจนเป็นบ้าเลยไหม”
พูดแล้ว เขาก็หยิบเสื้อผ้าสีแดงออกมาชุดหนึ่ง กางออกมาดู ก็เป็นเสื้อคลุมตัวยาวที่สวมในงานแต่งงานของกู้ฮอนและหยินปู้ฝันในปีนั้น
“เฮ้ นายบ้าไปแล้วใช่ไหม คุณพ่อพาพวกเราไปซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่แล้วไม่ใช่หรือ” เฉิงเฉิงเห็นแล้วก็รู้สึกไม่สงบเล็กน้อย เขาไม่อยากจะให้วันนี้ต้องจากกันไปอย่างไม่มีความสุขเหมือนสองครั้งก่อนหน้านั้น “รีบเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าที่ซื้อให้นายเร็ว ชุดนี้ห้ามหยิบออกมาเด็ดขาด”
“ว้าว เสื้อผ้าชุดนี้สวยมากเลย” แม้ว่าเฉิงเฉิงจะไม่อยากให้หยางหยางเปลี่ยนมาใส่เสื้อผ้าชุดนี้ แต่จิ่วจิ่วที่อยู่ด้านข้างนั้นเห็นเสื้อผ้าชุดนี้เป็นครั้งแรก สีที่ฉูดฉาดนั้นดึงดูดสายตาของเธอเอาไว้ได้อย่างรวดเร็ว
หยางหยางมีสีหน้าลำพองใจ หยิบเสื้อผ้าชุดนั้นออกมาโอ้อวดอยู่หน้าน้องสาว “เป็นอย่างไร ชุดนี้ดูดีกว่าชุดสูทที่พ่อซื้อให้สินะ” เขาพูด พลางหยิบอีกชุดหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเดินทางใบเล็กของตัวเอง และโยนไปให้เฉิงเฉิง “ฉันก็เอาของนายมาด้วย”
เพียงแต่ว่า ถึงตอนท้าย ก็มองไปทางจิ่วจิ่วด้วยสีหน้าลำบากใจ “น่าเสียดายมาก ที่พี่ไม่มีชุดของเธอ”
หยางหยางเจ้าหมอนี่ ตั้งใจจะทำลายงานแต่งงานที่คุณพ่อวางแผนอย่างรอบคอบมาหลายวันหรือไง
ในตอนนี้เองที่ประตูห้องของพวกเขาถูกผลักเข้ามาจากด้านนอก “หลานๆ พวกหลานเตรียมตัวกันเสร็จแล้วหรือยัง”
โม้จิ่งเฉิงกับหวีหรูเจี๋ยก็เดินเข้ามาตามเสียงที่ลอยมา
พวกเขาล้วนเปลี่ยนเป็นชุดราตรีที่ใช้ในการเข้าร่วมงานแต่งงานที่เป่หมิงโม่ซื้อให้พวกเขาเรียบร้อยแล้ว
ไม่ต้องพูดเลยว่า ผู้ชราสองท่านนี้สวมแล้วดูเยาว์วัยกว่าปกติอย่างเห็นได้ชัด
หลังจากที่พวกเขาเห็นเป่หมิงโม่พากู้ฮอนจากไปแล้ว ถึงได้มาที่ห้องของเด็กๆทั้งสามคน
เด็กน้อยทั้งสามคนอืดอาดยืดยาดไม่ยอมออกมา ไม่รู้ว่าพวกเขากำลังทำอะไรกันอีก
“ทำไม พวกหลานยังเปลี่ยนเสื้อผ้าไม่เสร็จหรือ” หวีหรูเจี๋ยมองเด็กทั้งสามคนด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย
เมื่อเห็นว่ามีกำลังเสริมมาแล้ว เฉิงเฉิงก็เดินไปหยุดอยู่เบื้องหน้าโม้จิ่งเฉิงในทันที “คุณปู่โม้ หยางหยางไม่ยอมเปลี่ยนเสื้อผ้า ตอนนี้ผมโน้มน้าวเขาไม่ได้”
“ฉันไม่ยอมเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ไหนกัน ฉันแค่อยากดูว่าชุดไหนดีกว่า ตอนแรกที่พ่อพาพวกเราไปซื้อนั้น ฉันก็ไม่มีทางเลือก จำต้องเลือกมาชุดหนึ่งเท่านั้นเอง ปู่โม้ดูสิครับ ผมคิดว่าชุดนี้ดีกว่าเล็กน้อย สวมชุดสูทสีดำทะมึน ผมคิดว่าไม่เหมือนกับการไปเข้าร่วมงานแต่งงาน กลับคิดว่าเหมือนกับไปงานศพมากกว่า”
อย่าถือสาอะไรกับคำพูดของเด็ก ที่คิดอะไรก็พูดออกมาโดยไม่หลีกเลี่ยงอะไร
นี่…….
โม้จิ่งเฉิงคิดแล้ว ที่จริงสิ่งที่หยางหยางพูดมาก็ไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุผลทั้งหมด งานแต่งงานของพวกเราชาวจีน ล้วนมีดอกชบา ชุดคลุมยาวสีแดงมาโดยตลอด
มีเพียงแต่งานแต่งงานของชาวตะวันตก ถึงจะสวมชุดสูทเข้าคู่กับกระโปรงแต่งงานสีขาว
ถึงแม้จะพูดอย่างมีเหตุผล แต่ว่าตอนนี้ไม่มีหนทางในการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้ เครื่องแต่งกายทั้งหมดล้วนเป็นชุดของชาวตะวันออก
“หยางหยาง หนูมีความคิดของหนู แล้วทำไมตอนแรกที่เลือกเสื้อผ้าถึงไม่เอ่ยออกมา” หวีหรูเจี๋ยอยากฟังความคิดของหลานชายตัวน้อยเป็นอย่างมาก
หยางหยางถอนหายใจเหมือนกับผู้ใหญ่ตัวน้อยคนหนึ่ง “ผมมีความคิดอะไรที่จะสามารถเสนอออกมาได้กันครับ ผู้ใหญ่อย่างพวกคุณจะมาสนใจอะไรกับเด็กตัวเล็กๆอย่างพวกเรา”
หรือว่าไม่ใช่กัน เกือบทั้งหมด ผู้ใหญ่ ผู้ปกครองล้วนยึดถือความคิดของตัวเองเป็นหลัก แม้ว่าเด็กจะเสนอความคิดของตัวเองออกมา นั่นก็จะถูกละเลยไม่นับไปอัตโนมัติ
พวกเขาคิดว่า ความคิดของเด็กๆล้วนบริสุทธิ์ไร้เดียงสา ไม่เหมาะสมกับความเป็นจริง
ไม่เคยถือว่าคนกลุ่มนี้มีความคิดเป็นของตัวเอง แต่กลับมองว่าเป็น อุปกรณ์เสริม อย่างหนึ่งของตัวเองเท่านั้นเอง
‘อุปกรณ์เสริม’ การเปรียบเทียบแบบนี้ดูโหดร้ายไปบ้าง แต่ก็เป็นความจริงอย่างหนึ่ง
*
เป่หมิงโม่และกู้ฮอน ค่อยๆเดินไปตามทางเบื้องหน้าที่ใช้ก้อนกรวดปูเป็นถนนเส้นเล็กๆที่คดเคี้ยวไปมาระหว่างสวนดอกไม้
ดอกไม้ใบหญ้ารอบด้านแผ่กลิ่นหอมเย็นตลบอบอวล เมื่อสูดลมหายใจเข้าไปครั้งหนึ่ง ก็รู้สึกว่าทั่วทั้งร่างกายผ่อนคลายตามไปด้วย
นี่มันสบายมากเกินไปแล้วจริงๆ
เป่หมิงโม่เดินไปพลาง มองดูนาฬิกาไปพลาง
เข็มนาทีและวินาทีเคลื่อนหมุนไปไม่หยุด ในใจของเขาก็คำนวณว่าตอนนี้เด็กๆจะออกมาแล้วหรือไม่
สถานที่จัดงานใจกลางสวนพวกนั้น จัดเรียบร้อยแล้วหรือไม่……
“ทำไม คุณจะรีบไปทำธุระหรือ ถ้าหากว่าคุณมีเรื่องต้องไปทำล่ะก็ ไม่จำเป็นต้องฝืนอยู่ฉลองงานวันเกิดเป็นเพื่อนฉันหรอก อีกครู่หนึ่งฉันกับพ่อบุญธรรม และคุณป้าหวีหรูเจี๋ยจะพาเด็กๆกลับไปเองก็ได้” ถึงแม้จะพูดแบบนี้ แต่กู้ฮอนก็ไม่ได้อยากจะให้เขาจากไปมากเท่าไร
ขิงก็รา ข่าก็แรง เถียงกันรุนแรงทั้งวัน เมื่อขาดเขาไปก็ยังคงรู้สึกว่าน่าเบื่ออยู่บ้าง
“ผมไม่มีธุระอะไร” เป่หมิงโม่พูด และไม่ดูนาฬิกาต่อไปอีก จะจัดออกมาในสภาพแบบไหนก็ทำได้เพียงแค่อาศัยโชคแล้ว
*
“ก๊อกๆ……” ในตอนนี้เองที่ด้านนอกประตูห้องของเด็กทั้งสามมีเสียงดังขึ้นมา
“ฮิฮิ กำลังเสริมของพวกเรามาแล้ว”
กำลังเสริมหรือ
ทุกคนล้วนมองไปทางหยางหยางด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย
เจ้าเด็กนี้สามารถทำเรื่องที่ไม่คาดฝันออกมาได้ตลอดเวลาและไม่แบ่งสถานที่
เหตุการณ์ไม่คาดฝันแบบนี้ ทำให้คนรู้สึกคุ้นชินไม่ได้จริงๆ
ใครจะมีสติมากมายขนาดนั้นมารับมือได้กัน
หยางหยางหัวเราะฮาๆ ไปเปิดประตู ก็เห็นคนคนหนึ่งอุ้มสิ่งของมากมายยืนอยู่ที่หน้าประตู
เนื่องจากส่วนสูงและสิ่งของ เด็กๆจึงมองไม่เห็นหน้าของผู้มาเยือน
แต่โม้จิ่งเฉิงและหวีหรูเจี๋ยนั้นยังเห็นผู้มาเยือนได้ชัดเจน
“หยินปู้ฝัน หลานมาได้อย่างไรกัน” หวีหรูเจี๋ยประหลาดใจเล็กน้อย หรือว่ากำลังเสริมที่หยางหยางเอ่ยถึงจะเป็นเขากัน
“ฮิฮิ ขอโทษด้วยครับ เหมือนว่าผมจะมาสายไปหน่อย” เขาพูด พลางก้าวเท้าเดินเข้ามา
ฉิงฮัวที่อยู่ด้านหลังเขา ก็เดินตามเข้ามาด้วย
“นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
“คุณพ่อปู้ฝันครับ คุณพ่อก็คือกำลังเสริมที่หยางหยางเชิญมาหรือ” เฉิงเฉิงประหลาดใจอยู่บ้าง แต่มากกว่านั้นก็คือความสงสัย
เรื่องในตอนนี้ หยางหยางสร้างความวุ่นวายก็ช่างมันเถอะ ยังมีหนทางควบคุมได้
แต่เนื่องจากการเข้าร่วมของหยินปู้ฝัน ดูท่าเรื่องทั้งหมดนี้จะมีความซับซ้อนขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว
หยินปู้ฝันวางของลงบนพื้น จากนั้นก็ปรบมือ “คุณป้าครับ สาเหตุที่งานแต่งงานของผมจัดได้ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะเป่หมิงโม่ช่วยเหลือผม ผมรู้สึกขอบคุณเขาเป็นอย่างมาก นับตั้งแต่เรื่องนั้น ผมก็คิดหาโอกาสจะคืนหนี้บุญคุณนี้ให้เขามาโดยตลอด ในเมื่อวันนี้เป็นวันดีของเขากับฮอน ไม่มีอะไรดีไปกว่าการอาศัยโอกาสนี้มาตอบแทนเขาแล้ว อีกทั้งผมกับหยางหยางก็มีความคิดที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน รับรองว่าสามารถเพิ่มสีสันให้กับงานแต่งงานนี้ได้อย่างแน่นอน”
เขาพูดแล้วก็เปิดสิ่งที่เขานำมาด้วยออก “ทุกคนอย่ามัวแต่ยืนอึ้งสิ ไปเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเถอะ วันที่น่ายินดีแบบนี้ สีดำขาวนั้นไม่เป็นมงคลมาก หยางหยาง หนูก็รีบถอดชุดที่อยู่บนตัวออกมา นั่นมันตกรุ่นไปแล้ว จะมาภูมิใจอะไรกัน……”
ทุกคนล้วนเบนสายตาไปที่มือของเขา เห็นว่าเขาหยิบเสื้อผ้ามาด้วยหลายชุด
เป็นเครื่องแต่งกายสไตล์จีนแท้ๆ
“นี่……ไม่ใช่ว่าโม่ เขาเตรียมเรียบร้อยแล้วหรือ พวกเราทำแบบนี้จะทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์อันน่าอับอายหรือเปล่า” หวีหรูเจี๋ยยังคงเป็นกังวลอยู่บ้างจริงๆ
นิสัยของลูกชายคนนี้ ตัวเองเข้าใจเป็นที่สุด
เรื่องอะไรทำตามเขาไปก็ยังพูดได้ง่าย แต่เมื่อเห็นค้านกับเขาทั้งหมด 80-90% จะต้องทะเลาะกับเขาอย่างแน่นอน
วันดีๆวันหนึ่งแบบนี้ ไม่อาจจะถูกทำลายลงเพราะเสื้อผ้าไม่กี่ชุดได้
“คุณป้าครับ จะพูดอย่างไรหลายปีนี้ผมกับเป่หมิงโม่ก็พบหน้ากันบ่อย นิสัยแย่ๆของเขา ผมก็รู้ วางใจเถอะครับ ผมทำแบบนี้ เขาจะไม่พูดอะไรแน่นอน ผมไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะไม่ยอมแต่งงานเพียงเพราะเสื้อผ้าไม่กี่ตัว”
หยินปู้ฝันนั้นมีใบหน้าที่เต็มไปด้วยความมั่นใจเต็มร้อย
เขาเข้าใจในนิสัยของเป่หมิงโม่เป็นอย่างดี
ตอนแรกที่เขากับหยางหยางวางแผนกันเป็นส่วนตัวนั้น ก็เคยพิจารณาถึงองค์ประกอบนี้เช่นกัน แต่เขารู้ดีว่า ต่อหน้ากู้ฮอน แม้ว่าเป่หมิงโม่จะไม่สบอารมณ์ ก็จะกล้ำกลืนความเจ็บช้ำนั้นลงไป
แต่จะพูดอย่างไร หยินปู้ฝันก็ไม่ได้วางแผนจะก่อความวุ่นวายในงานแต่งงานครั้งนี้
อย่างแรกคือ ตัวเองก็เป็นคนที่มีครอบครัวแล้ว เขารักแอนนิมาก
อย่างที่สอง เป่หมิงโม่ เจ้าหมอนี่ที่ทำทุกอย่างตามความคิดของตัวเอง โดยไม่ใส่ใจความคิดของผู้อื่นนั้น ทำให้ตัวเองรู้สึกกระอักกระอ่วนในตอนที่แต่งงานอยู่บ้าง อีกทั้งนี่ก็เป็นครั้งที่สองที่เขามาแทรกแซงงานแต่งงานของตัวเองแล้ว สำหรับครั้งแรกนั้น แน่นอนว่าเป็นงานที่แต่งกับกู้ฮอน
เป่หมิงโม่จำเป็นต้องได้รับการสั่งสอนเล็กๆน้อยๆ
แน่นอนว่าเจตนาอันชั่วร้ายนี้ของหยินปู้ฝัน ไม่มีใครเข้าใจจริงๆสักคน
แต่ว่าการปรากฏตัวขึ้นของเขาในตอนนี้ เป็นสิ่งหยางหยางกำลังต้องการพอดี
“คุณป้าครับ น้าเขยโม้ พวกคุณดูสิว่า เวลาก็เหลือไม่มากแล้ว รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะครับ อีกสักครู่ตอนดำเนินพิธีการจะได้ไม่ทำให้เป่หมิงโม่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอับอาย”
หยินปู้ฝันเริ่มใช้การพูดโน้มน้าวใจของเขามาเกลี้ยกล่อมให้ผู้ชราทั้งสองทำครั้งแล้วครั้งเล่า
สำหรับเด็กๆทั้งสามคนนั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เรียกให้พวกเขาทำอย่างไร พวกเขาก็ทำอย่างนั้นอย่างเชื่อฟัง โดยเฉพาะหยางหยางที่สนุกสนานชื่นชอบจนไม่รู้สึกเหนื่อย
*
เกือบจะผ่านไปหนึ่งชั่วโมงกว่า เป่หมิงโม่รู้สึกได้ว่าไม่ปกติแล้วจริงๆ
แค่เปลี่ยนเสื้อผ้า จะใช้เวลานานขนาดนี้ที่ไหนกัน
แต่ว่า แม้ในใจเขาจะไม่สงบเช่นไร แต่ข้างกายยังมีกู้ฮอน จึงไม่อาจจะแสดงมันออกมาได้
ที่จริงแล้วสวนแห่งนี้จะพูดว่าเล็กก็ไม่เล็ก แต่จะบอกว่าใหญ่ก็ไม่ถือว่าใหญ่ เพื่อที่จะดึงเวลา เป่หมิงโม่จึงพากู้ฮอนที่ไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมเช่นนี้เดินไปรอบๆ
พูดไปแล้วก็แปลก พวกเขาสองคน เดิมไม่ค่อยพูดอะไรเท่าไรเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงกว่า แต่กลับไม่ได้รู้สึกเบื่อหน่ายหรือมีความรู้สึกด้านลบใดๆ
“ทำไมเด็กๆถึงยังไม่มากันอีก พวกเรากลับไปดูหน่อยดีหรือไม่” ในที่สุดกู้ฮอนก็หมดความอดทนก่อนที่เป่หมิงโม่จะหมดความอดทน
มีหลายครั้งที่คนเป็นแม่วางลูกไว้ที่อันดับหนึ่งในใจ
หนึ่งชั่วโมงไม่มีข่าวคราวจะไม่ร้อนใจได้อย่างไร โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าพวกเขาก็แค่เตรียมตัวกันเท่านั้นเอง แต่มีอะไรที่หนึ่งชั่วโมงแล้วก็ยังเตรียมตัวไม่เสร็จอีก
“ผมคิดว่าพวกเราควรจะเดินไปถึงเบื้องหน้าของพวกเรา ผมจัดเตรียมอาหารกลางวันเอาไว้แล้ว ที่แห่งนี้ไม่ได้มีเส้นทางเพียงสายเดียวที่สามารถไปถึงด้านหน้าได้” เป่หมิงโม่เห็นว่าตอนนี้ก็ได้แก่เวลาแล้ว การปิดบังเธอมากเกินไปนั้นไม่จำเป็นแล้ว
ไม่สู้ค่อยๆเปิดเผยให้เธอรู้ทีละนิดๆ เพื่อที่เธอจะได้มีการเตรียมใจสักหน่อย
เพื่อไม่ให้เธอทิ้งตัวเองเอาไว้ตรงนั้น ในตอนที่เรื่องราวดำเนินมาถึง
เป่หมิงโม่มีความมั่นใจในเรื่องที่ทำลงไปมากมาย แต่เมื่ออยู่ต่อหน้ากู้ฮอนแล้ว ก็ยากที่จะพูดได้ว่าความมั่นใจนั้นอยู่ตรงไหน