บทที่ 1150 จับจุดอ่อน
ชีวิตมักจะเป็นแบบนี้ ไม่ว่าจะต้องพบเจอเรื่องราวอะไร ในช่วงเวลานั้นก็จะรู้สึกว่าไม่มีทางทำได้
แต่เมื่อเหตุการณ์ได้ผ่านไปแล้วสักระยะหนึ่ง พอมองย้อนกลับมาดูอีกที ก็เป็นอีกความรู้สึกหนึ่งว่า มันง่ายดายมากจริงๆ อย่างน้อยก็ไม่ยากเกินกว่าจะแก้ปัญหา
นอกจากนี้ยังเป็นเพราะการที่ได้ใช้เวลาร่วมกัน ทำให้มิตรภาพระหว่างพวกเธอแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
แน่นแฟ้นจนเหมือนพี่น้องแท้ๆ
และไม่ว่าใครก็ตามที่มีความลับเล็กน้อยอะไร ก็มีความเป็นไปได้ที่จะถูก ‘แชร์’ ออกไป
ว่ากันว่า : ไม่ควรเผยแพร่ความน่าเกลียดของครอบครัว แต่ว่าสำหรับแนวคิดของพวกเธอแล้วสิ่งนี้ไม่ใช่ปัญหา
ลูกของบ้านไหนที่ก่อเรื่อง ผู้ชายของบ้านไหนทำเรื่องอะไรให้พวกเธอรู้สึกทนต่อไปไม่ไหวแล้ว…
สิ่งนั้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัวขนาดไหน ก็จะถูกสะบัดให้หลุดออกมา หลังจากนั้นจะได้สัมผัสมุมมองของคนสามคนตรงหน้า ผู้หญิงที่มีค่านิยมเกือบจะเหมือนกัน และต้องกล้ำกลืนกับคำวิจารณ์ที่ไร้ความปราณีของพวกเธอ
ดูเหมือนว่าวันนี้เป็นอย่างนั้นอีกเช่นกัน เป่หมิงโม่เดินออกมาจากห้องน้ำ แล้วนั่งลงบนเก้าอี้บาร์ตัวใหญ่ จากนั้นก็เริ่มเปิดแล็ปท็อปของเขา
“หน่วยข่าวกรองเริ่มแลกเปลี่ยนข่าวสารกันแล้วเหรอ?” เขาอดที่จะแซวไม่ได้
“คุณไม่ต้องยุ่งเลย” กู้ฮอนพูดพร้อมกับวางโทรศัพท์ลงแล้วหันไปมองเขาอย่างว่างเปล่า : “คุณอย่ามาทำให้ฉันแอบรายงานความลับของพวกเขาเลย คุณก็รู้ว่าจุดจบของคนทรยศเป็นยังไง”
คนทรยศ? คำนี้ทำให้เป่หมิงโม่รู้สึกแปลกๆ ดึงเขาเข้าไปพัวพันกับพวกเธอแต่ไม่ขอความเห็นของตัวเขาเลยได้ยังไง?
เขาน่าจะไปอยู่กับสองคนนั้นแล้ว ‘ร่วมแรงใจต่อต้านศัตรู’ ถึงจะถูก
“ผมไม่มีเวลาว่างมากขนาดนั้นเหมือนคุณนะ ที่กลุ่มบริษัทมีเรื่องมากมายที่ผมจำเป็นต้องจัดการ”
ตอนนี้บริษัทเป่หมิงเปลี่ยนไปไม่เหมือนกับตอนที่เขาจากไปอีกแล้ว
เป่หมิงยี่เฟิงคือส่วนประกอบในการทำเรื่องที่ยิ่งใหญ่นี้จริงๆ กล่าวได้ว่าตระกูลเป่หมิงมีผู้สืบทอดแล้ว เขาเริ่มต้นจากการคลำหาทางจนถึงตอนท้ายที่เขาได้พยายามพัฒนาอย่างกล้าหาญ ตั้งแต่ตอนแรกเพิ่งจะเข้ารับช่วงบริษัทเป่หมิงจนถึงตอนนี้ได้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง
แน่นอนว่า เป่หมิงโม่ในฐานะที่ ‘ทำงานฟรี’ นั้นยุ่งมากในช่วงแรก
สำหรับคำอธิบายเช่นนี้ของเป่หมิงโม่แล้ว กู้ฮอนถือว่าการแสดงออกของเขาเป็นเพียงข้ออ้างอย่างหนึ่งหรือเป็นวิธีการในการป้องกันตัวเท่านั้น
ขณะที่พูด เขาก็เปิดอีเมลของตัวเอง ข้างในมีอีเมลหลายฉบับส่งมาจากบริษัทเป่หมิง
ในครอบครัวจะมีคนๆหนึ่งที่ทุ่มเทพลังในการทำงานมากยิ่งขึ้น เหตุผลก็พิลึกกึกกือ บางคนทำเพื่อหารายได้เพิ่มให้กับครอบครัว บางคนก็เพื่ออุดมคติและความทะเยอทะยานอันสูงส่งของตนเอง แน่นอนว่ามีการใช้การทำงานเป็นข้ออ้างเพื่อให้มีความสงบมากขึ้น
สำหรับประเภทของเป่หมิงโม่นั้นมีข้อแตกต่างออกไปเล็กน้อย
เขาไม่จำเป็นต้องทำงานหนักเพื่อการดำรงชีพ
เช่นเดียวกันกับอุดมคติของตัวเขาเอง ถือได้ว่าประสบความสำเร็จตั้งนานแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังประสบความสำเร็จมากเกินไป—— เอากระเป๋าของบริษัทเป่หมิงมาไว้ในกระเป๋าของตัวเอง และยังทำได้ดีกว่าพ่อของเขาเสียอีก
สำหรับประเภทที่สาม : เพื่อความสงบมากขึ้น
บางทีมีเพียงตัวของเป่หมิงโม่ที่สามารถให้คำอธิบายอันสมเหตุสมผลได้
กู้ฮอนที่อยู่ไม่ไกลได้คุยโทรศัพท์กับลั่วเฉียวเป็นเวลานานมากแล้ว
“ผมคิดว่าตอนนี้พวกคุณน่าจะหาที่นั่งลงคุยกันได้แล้ว การคุยกันแบบตามอำเภอใจจะไม่ยิ่งสนุกกว่านี้เหรอ? เส้นทางที่พวกเขาพักอยู่ห่างจากที่นี่ไม่ถึงร้อยเมตรเอง”
เป่หมิงโม่มองไปที่คอมพิวเตอร์ ใช้นิ้วเคาะแป้นพิมพ์อย่างรวดเร็ว
“คุณวางแผนให้ฉันกระโดดไปจากที่นี่ใช่หรือเปล่า? ถ้าคุณไม่ชอบฟังเสียงรบกวน ก็อุ้มเมียน้อยของคุณไปห้องอื่นได้เลยค่ะ”
แน่ล่ะว่ากู้ฮอนรู้ว่าเขาไม่ได้หมายความเช่นนี้ แต่คำพูดของเขาทำให้เธอฟังแล้วไม่พอใจเล็กน้อย
เป่หมิงโม่หยุดมือจากการทำงาน เขาหันไปทางเธอ จากนั้นค่อยๆลุกขึ้นยืนและเดินไปหาเธอ
นี่คงจะไม่ได้เป็นการกระตุก ‘เส้นเอ็น’ ชายคนนี้อีกหรอกนะ…
กู้ฮอนถือโทรศัพท์ไว้ในมือ มองเขา แล้วในใจเริ่มคิดฟุ้งซ่าน
บทสนทนาระหว่างพวกเขาเมื่อสักครู่นี้ เธอปิดที่รับเสียงเอาไว้ เพราะไม่อยากให้ลั่วเฉียวที่อยู่ปลายสายได้ยิน
เมื่อเห็นเป่หมิงโม่เดินมาทางตนเอง เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาทันทีแล้วจงใจแกว่งไปมา
คล้ายกับเป็นการแสดงว่าไม่ยอมให้เขาเข้ามา
“ฮัลโหล? ทำไมไม่มีเสียงเลย? เธอพูดอยู่นี่นา…”
ตามมากับการสั่น เป็นเสียงของลั่วเฉียวดังออกมา
“เธออย่ามาซี้ซั้วนะ ฉันกำลังพูดอยู่นี่ไง” เธอพูดแล้วเอาโทรศัพท์แนบไว้บนหู : “เมื่อกี้นี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นใช่ไหม หรือว่าอีตาเป่หมิงโม่นั่น…”
“ผมชอบความรู้สึกที่ผู้หญิงสองคนรับใช้สามีในเวลาเดียวกัน”
ไม่รู้ว่าเป่หมิงโม่มาอยู่ข้างๆกู้ฮอนตั้งแต่ตอนไหน
ดูเหมือนว่าเขาต้องการให้ลั่วเฉียวที่อยู่อีกปลายสายของโทรศัพท์อีกด้านได้ยินโดยไม่ปิดบัง ด้วยการล่อลวงบางอย่าง
……..
“ปรากฏว่าเป็นคุณชายเป่หมิงโม่ปากดีนี่เอง…ฮิๆ กู้ฮอนเธอต้องระวังตัวไว้ตลอดเวลาแล้วล่ะ” ดูเหมือนลั่วเฉียวจะได้ยินแล้ว
เป่หมิงโม่คนนี้ เป็นคนที่ประมาทไม่ได้เลยจริงๆ
“ที่จริงน่ะ…ตรงกันข้ามฉันไม่กังวลเลย…” กู้ฮอนลากเสียงยาว มองไปที่เป่หมิงโม่ที่ยังปรากฏรอยยิ้มความภาคภูมิใจ
เธอปล่อยมือออกข้างหนึ่งแล้วค่อยๆเอื้อมมือไปที่โต๊ะเล็กๆข้างโซฟา พร้อมกับเปิดลิ้นชักบนสุดก่อนจะหยิบของชิ้นหนึ่งออกมาจากด้านใน
แล้วแกว่งไปมาตรงหน้าเป่หมิงโม่อย่างไม่ใส่ใจ
ของชิ้นนั้นที่อยู่ในมือของกู้ฮอนสะท้อนกับแสงไฟในห้องนอนจนปรากฏเป็นแสงแพรวพราว
บนหน้าเธอปรากฏรอยยิ้มแห่งชัยชนะ : “ฉันไม่สนใจหรอก ตราบใดที่ยังมีของอยู่ในมือของฉัน…”
พูดพลางขยับมืออย่างกระฉับกระเฉงสองครั้ง แล้วก็ได้ยินเสียงดัง ‘คลิก’ จากสิ่งของบางอย่างที่อยู่ในมือของเธอ
มองเห็นสิ่งน่าตื่นตาตื่นใจเป็นประกายแววาวในมือของกู้ฮอน
บางทีนี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่เป่หมิงโม่รู้สึกถึงอาการ ‘ตึกตัก’ ในใจ
เขาเคยอ้างว่าตนแองเป็นลูกผู้ชายที่ไม่กลัวสวรรค์และโลก
ในหลายปีที่ผ่านมา เขาได้พิสูจน์ตนเองแล้วว่าเป็นผู้ชาย บนโลกมนุษย์ที่ไม่มีใครสามารถสั่นคลอนเขาได้
แน่นอนว่าเขาได้รับการยอมรับว่าเป็น ‘ลูกผู้ชาย’
แต่ว่าวันนี้ และในขณะนี้ ได้เผชิญหน้ากับหญิงสาวที่เคยถูกตัวเอง ‘ทำลาย’มากกว่าหนึ่งครั้ง เขารู้สึกคลุมเครือ ในที่สุดการเคลื่อนไหวของเขาก็ถูกกู้ฮอนจับได้
นี่เป็นเพียงไม่กี่ครั้งที่เธอรู้สึกภูมิใจต่อหน้าเขา ยิ่งไปกว่านั้นมันยังเกิดขึ้นแบบเป็นประวัติการณ์
เนื่องจากตอนนี้จับจุดอ่อนได้แล้ว แน่นอนว่าต้องบีบมันให้แรงพอ อย่างน้อยก็ทำให้เขาไม่กล้าต่อหน้าตัวเองสักช่วงะเวลาหนึ่งถึงจะโอเค
“คลิก คลิก…”
ในหูได้ยินเสียงเสียดสีและเสียงกระแทกของโลหะที่ดังกังวานอยู่ภายในห้องอย่างชัดเจน
อย่างน้อยมันก็ทำให้เป่หมิงโม่ได้ยินแล้วรู้สึกอึดอัดจริงๆ
แต่สำหรับหูของกู้ฮอนแล้ว พอได้ยินแล้วกลับรู้สึกผ่อนคลายมากกว่าคอนเสิร์ตบรรเลงเพลงปีใหม่ที่เวียนนาเสียอีก
“สิ่งนี้ฉันซื้อมาจากร้านขายอุปกรณ์เฉพาะที่อยู่ไม่ไกลเมื่อหลายวันก่อนค่ะ ชื่อร้านว่า หวังหมาจื่อ ….พนักงานที่ร้านเคยทำให้ฉันดู เหล็กเส้นหนาสามารถกลายเป็นสองส่วนได้”
เธอพูดพร้อมกับยกสิ่งนั้นขึ้นมา กรรไกรที่มียี่ห้อคุ้นหูคนจีนเกือบทั้งประเทศ
มันแวววาวและเด่นสะดุดตาจริงๆ
เสียงที่คมชัดทำให้เป่หมิงโม่รู้สึกตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อย
เป่หมิงโม่จ้องเขม็งไปที่กรรไกรเล่มนั้น อันที่จริงเขาไม่มีท่าทางหวาดกลัวเลย
แล้วสายตาของเขาก็มองไปที่กู้ฮอนอีกครั้ง : “อะไร? นี่คุณกำลังขู่ผมเหรอ?”
“โอ้! ฉันกล้าที่ไหนกันล่ะ ฉันไม่กล้าใช้อุปกรณ์เล็กๆขนาดนี้มาข่มขู่ประเทศหรอกค่ะ แถมยังเป็นคุณชายรองตระกูลเป่หมิงที่โด่งดังไปทั่วโลกอีก”
แต่อย่างไรก็ตามสามารถฟังออกว่า มีความรู้สึกอวดเก่งเพราะถือกระบี่อาญาสิทธิ์เอาไว้ในมืออยู่
เป่หมิงโม่แสดงท่าทียืนหยัดต่อหายนะโดยไม่ยอมก้มหัวลง
“คุณคิดว่านี่คือสิ่งคมที่สุดแล้วใช่ไหม? ผมนึกว่าคุณอยู่กับผมมาหลายปีขนาดนี้จะสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับสินค้าจากผมได้ไม่น้อย…” พูดพร้อมกับทำตัวเป็นนักมายากล ‘เปลี่ยน’ กรรไกรที่อยู่ในมือของกู้ฮอนไปไว้ในมือของเขา
มองเห็นมือที่ว่างเปล่าของตัวเอง และในมือของเขายังมี ‘อาวุธ’ วิเศษที่เคยเป็นของตนเอง
ภายในชั่วพริบตากู้ฮอนรู้สึกได้ทันทีว่าบนศีรษะของตนเอง มีอีกาจำนวนนับไม่ถ้วนบินวนอยู่และส่งเสียงร้อง ‘กากา’ ….
เธอมันอวดเก่ง เธอมันอวดเก่ง….
นี่มันเป็นเรื่องที่น่าเสียใจจริงๆ
เป่หมิงโม่หยิบกรรไกรขึ้นมาดูผ่านๆ จากนั้นมุมปากของเขาก็โค้งขึ้น ส่งเสียงหัวเราะเยาะออกมา “ฮึ…”
จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้น
แล้วกรรไกรที่ถูกเชื่อว่าเป็น ‘กระบี่อาญาสิทธิ์’ ก็ถูกโยนลงไปพื้น
นี่มันหมายความว่ายังไง
เขาใช้วิธีนี้เพื่อทำลายวิญญาณของตัวเองใช่ไหม?
“ทำไมคุณถึงโยนมันทิ้ง นี่ไม่ใช่ของถูกๆนะคะ” กู้ฮอนโกรธมากและเดินไปหยิบกรรไกรขึ้นมาอีกครั้ง
“ดูดีๆ คุณมองเห็น หวังหมาจื่อหรือเปล่า?”
คำถามนี้ต้องถามเธอแล้วจริงๆ
“ใช่อย่างแน่นอน ฉันซื้อตรงสถานที่ที่มีร้านค้า คนที่ขายให้ฉันยังให้ฉันทดลอง ยิ่งกว่านั้นแพคเกจยังเป็นของแท้ด้วย” แน่ล่ะว่ากู้ฮอนต้องเถียงเขา
“มาดูกันว่าคำที่สลักไว้เป็นคำว่า หวังหมาจื่อหรือเปล่า”
ถึงแม้กู้ฮอนคิดว่าเป่หมิงโม่กำลังจะทำให้ตัวเธอสั่นไหว แต่ก็ยังมองดู
แต่ทว่าหลังจากที่เห็นสามคำนั้น สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
พลาดไปแล้วจริงๆ…
ถึงแม้กู้ฮอนจะรู้ว่าตัวเองโง่อยู่บ้างเล็กน้อย และมันย่อมปรากฏต่อหน้าเป่หมิงโม่ด้วย
นอกเหนือจากเขาแล้ว อันที่จริงเธอก็ฉลาดมาก
แน่ล่ะว่านี่ไม่ใช่การปกป้องตนเอง ถามว่าจะมีใครที่ฉลาดได้มากกว่าเขาอีกล่ะ? Hawking Buffett หรือว่า Soros…
สั่งสมประสบการณ์อยู่ในสังคมมานานหลายปีขนาดนี้ แล้วยังมีคุณชายรองเป่หมิงเป็นฐานความมั่นคงให้อีก แล้วยังจะมีอะไรที่สามารถเขย่าตัวเธอได้อีก?
แต่สิ่งที่วางอยู่ตรงหน้าเธอเป็นการบอกอย่างแท้จริงเลยว่า —— เธอกำลังถูกสั่นคลอนโดยผู้อื่นจริงๆ
มีอักษรสามตัวสลักอยู่บนกรรไกรจริงๆ และอักษรสองตัวก็คือ หมาจื่อ แต่ไม่ใช่หวังหมาจื่อ
ด้านบนตัว ‘หวัง’ มีจุดเกินมา
เทียบกับ หวังหมาจื่อ ยังมี หมาจื่อ อีกอัน
ไม่ใช่ของจริงอย่างแน่นอน…
ต้องอับอายขายหน้าต่อหน้าเป่หมิงโม่ ถึงแม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรก และมันก็จะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย แต่ว่าเธอก็ใกล้ที่จะประสบความสำเร็จอยู่แล้ว…
ใบหน้าของเธอโกรธจนเหมือนกับลูกโป่งสีแดง พียงแค่คุณกระตุ้นเธออีกนิดเดียว มันก็จะระเบิด
“ฉันจะไปถามหาความเป็นธรรมจากพวกเขา!”
ไม่นึกเลยว่าพอพูดแล้วเธอก็เดินออกจากห้องนอนโดยที่สวมชุดนอนอยู่
ดูเหมือว่าเธอจะถูกกระตุ้นแล้วจริงๆ
“คุณจะไปแบบนี้เลยเหรอ?” เป่หมิงโม่เตือนด้วยความปรารถนาดี
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ความตั้งใจแต่แรกของเขา
เป่หมิงโม่ของพวกเรา เป็นผู้ชายทั้งแท่งตั้งแต่หัวจรดเท้า ผู้หญิงของเขาสวมชุด ‘สไตล์’ นี้ จะให้บุคคลที่สามฉวยโอกาสได้อย่างไร?
แค่ใช้สายตามองดูถือว่าโดนเอาเปรียบอย่างมากแล้ว
กู้ฮอนชะงักฝีเท้า ทันทีที่ได้ยินเขาพูดเช่นนี้
สติสัปชัญญะที่กลับคืนมาทำให้เธอได้สติขึ้นมาหน่อย
แน่นอนว่าเธอออกไปแบบนี้ไม่ได้ ไม่ใช่เป็นเพราะว่าเธอคือผู้หญิงของเป่หมิงโม่ หรือทำให้เขาเสียหน้า แต่ถ้าออกไปแบบนี้จะเป็นตัวเองที่เสียหน้าต่างหาก