บทที่ 1163 สวนดอกไม้กลายเป็นแปลงผัก
เขายื่นหน้าถาม : “หัวเราะอะไร มีอะไรน่าหัวเราะ โทรศัพท์เขาใช้ไม่ได้ แล้วของนายใช่ได้รึเปล่า?”
เด็กอ้วนยิ้มอย่างโอ้อวดและหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าตัวเอง เขย่าให้หยางหยางดูตรงหน้า : “ให้พวกนายดูเป็นขวัญตา ของฉันซัมซุง”
ระดับความคุ้นเคยกับโทรศัพท์นั้น ถือได้ว่าเป็นงานอดิเรกเล็กๆ ของเขา
ที่กำลังฮิตกันอยู่ตอนนี้ เขาแทบจะบอกชื่อได้หมด
สำหรับโทรศัพท์ของเด็กอ้วนนั้น ถึงแม้จะเป็นแบรนด์ดัง แต่มองแค่แวบเดียวก็รู้ : “คิดว่าโทรศัพท์แบรนด์ดังที่ไหน ที่แท้ก็ของปลอม ยังมีหน้ามาหัวเราะเยาะคนอื่น”
โทรศัพท์ปลอม…
เด็กอ้วนกระตุกมุมปากขึ้นมาทันที
ความจริงแล้วจะมีเด็กโตสักกี่คนที่จะมาสนใจวิเคราะห์สิ่งของเหล่านี้
แน่นอนว่าให้อะไรก็รับอย่างนั้น พูดอะไรก็ฟังอย่างนั้น
ไม่ต้องการทำความเข้าใจอะไรมาก
เด็กอ้วนเข้าใจมาตลอดว่าเป็นของแท้
“พูดอะไรมั่วๆ โทรศัพท์เครื่องนี้พี่ชายฉันให้มา เขาใช้แต่ของแบรนด์ดังทั้งนั้น”
หยางหยางมองเขาอย่างเห็นใจ จากนั้นถอนหายใจพลางส่ายหน้า : “เด็กอย่างพวกนายนี้หลอกง่ายเสียจริง บอกอะไรก็เชื่อย่างนั้น”
พูดจบก็ดึงมือเด็กแว่นเดินไปทางห้องเรียน
“ลูกพี่! ไอสองคนนั้นหนีไปแล้ว”
“พวกแกสองคนหยุดเดียวนี้” ครั้งนี้เด็กอ้วนน่าจะโกรธจนแทบบ้า
ในเมื่อสองคนนี้ไม่เห็นเขาและพวกที่เขาพามาอยู่ในสายตา คิดจะไปก็ไปคิดจะมาก็มา
อีกอย่างคนที่ชื่อเป้หมิงหยางชอบทำให้เขาโกรธเสียจริง ครั้งที่แล้วก็ถือว่าแล้วไป ครั้งนี้ยังเอาเรื่องโทรศัพท์มาเยาะเย้ยเขาอีก
ไม่ว่ายังไงก็แล้วแต่ในโรงเรียนนี้ฉันก็มีชื่อเสียงอยู่ไม่น้อย
ยิ่งต่อหน้าพวกพ้องของตัวเองยิ่งรู้สึกอับอาย
แต่หยางหยางกลับไม่สนใจ ทำเหมือนไม่ได้ยิน
แต่ทว่าเด็กแว่นคงจะปอดแหก กลัวจนไม่กล้าเดินต่อ
หยางหยางทำได้แค่พยายามใช้แรงผลักเขาเดินไปด้านหน้า
“นายจะไปกลัวอะไร พวกเขาสนใจฉันไม่ใช่นาย ฉันอยู่นายจะกลัวทำไม ใจเย็นๆ อย่าทำให้ฉันขายหน้าได้ไหม”
หยางหยางปลอบใจเด็กแว่น
“รู้ไหมนายกำลังทำให้ฉันเดือดร้อน ไม่งั้นระวังไว้ฉัน…”
หยางหยางต่อยหมัดไปที่หน้าอ้วนๆ ของเด็กอ้วนที่ถูกพยุงโดยเพื่อนอีกสองคน
เด็กอ้วนแสดงท่าทีตื่นตกใจออกมา
จากนั้นใช้แขนเช็ดเลือดที่ไหลออกมาจากจมูก
“อืมม…ก็ไม่เลว” หยางหยางพยักหน้าพอใจ
และหันกลับไปอีกด้าน โบกไม้โบกมือให้เด็กแว่นที่ตื่นตกใจเหมือนกัน : “พวกเราไปกัน”
*
เพิ่งจะพูดไปเองว่าเด็กอ้วนท่าทางดูน่ากลัวมาเพื่อหาเรื่อง แต่เขาเลือกคู่ต่อสู้ผิด
ที่เขาเจ็บแบบนี้ไม่ใช่เพราะฝีมือหยางหยาง
แต่เพราะพวกพ้องที่เขาพามาต่างหาก หยางหยางแค่ใช้เล่ห์เหลี่ยมที่โล่ฮานเคยสอยมานิดหน่อย และหลอกใช้แรงจากพวกพ้องของเด็กอ้วนแค่นั้น
นี้ถือว่าเป็นวิธีการเอาตัวรอดอีกอย่างหนึ่ง
จริงแล้วครั้งก่อนในโรงเรียนนั่นถือได้ว่าเป็นการโชว์ฝีมือเล็กๆ ครั้งนั่นสิถึงจะเรียกได้ว่าประสบความสำเร็จจริง
อยู่ที่นี่ทำให้เป็นเรื่องใหญ่ไม่ได้ เพราะตัวเองมีชนักปักหลังอยู่แล้วไม่อยากจะเพิ่มความยุ่งยากให้ตัวเองอีก
ยังไม่รู้ว่าตัวเองจะได้เรียนที่โรงเรียนนี้ถึงเมื่อไหร่ อย่างน้อยในช่วงเวลานี้ควรเก็บรายละเอียดไว้สักหน่อย
*
ช่างโชคร้ายจริงๆ จริงแค่อยากจะยืมโทรศัพท์เด็กแว่นโทรหาเฉิงเฉิงเท่านั้น
ไม่คิดว่าจะวุ่นวายแบบนี้
ใครจะรู้หลังจากปล่อยเด็กอ้วนหลุดมือไปแล้ว หลังจากนี้จะมาสร้างความวุ่นวายอะไรอีกไหม
ตอนนี้ก็ไม่มีอารมณ์จะคุยโทรศัพท์แล้ว
*
เป็นอีกวันที่เฉิงเฉิงไม่ได้รับข่าวอะไรจากหยางหยาง เขาเริ่มกังวลใจแล้ว
หรือว่าหยางหยางจะมีเรื่องอะไร?
คิดอีกทีคงไม่น่ามีอะไร ในเมื่อพ่อส่งคนไปดูแลหยางหยางแล้ว ไม่มีเรื่องอะไรใหญ่โตแน่นอน
แต่เขาไม่โทรมาเลยนี้สิ หรือว่าเขาจะมีอะไรวุ่นวายนิดหน่อย
*
ผ่านไปอีก1สัปดาห์ สัปดาห์นี่ค่อนข้างน่าเบื่อสำหรับกู้ฮอน แต่ก็ไม่มีอะไร
ในเมื่องานก็คืองาน ชีวิตประจำวันก็คือชีวิตประจำวัน ไม่มีใครสามารถทำแทนได้
แต่เป่หมิงโม่นี้สิ ทั้งๆ ที่รู้ว่าเธอคิดอะไรแต่กลับทำเป็นไม่สนใจ ทำงานยุ่งทุกวัน หลังจากกลับมาบ้านก็มีความสุขกับเล่นอยู่กับลูก
*
ดึกดื่นขณะที่ทุกคนกำลังหลับใหล
โทรศัพท์ของเฉิงเฉิงก็ดังขึ้น
หรือนี่อาจจะเป็นความผูกพันของฝาแฝด เพราะปกติเวลานอนเขาจะปิดเครื่อง
แต่วันนี้กลับไม่ได้ปิด
ดึกขนาดนี้ใครจะโทรมา?
ไม่ใช่แค่ตอนดึกเท่านั้น แม้แต่ตอนกลางวัน ก็แทบจะไม่มีใครโทรหาเขาเลย
“ฮัลโล ใครโทรมา? ดึกขนาดนี้แล้ว…”
เขายังไม่ลืมตาและเสียงยังง่วงอยู่เลย
อีกสองวันก็จะสอบแล้ว ช่วงนี้เขายุ่งกับการอ่านหนังสือจนนอนดึก
การพักผ่อนอย่างเพียงพอ จะช่วยให้การเรียนในวันต่อไปมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
“ฉันเอง แค่ฟังฉันพูดก็พอ ฉันโดนยึดโทรศัพท์ เพราะพ่อบงการ ฉันแอบขโมยโทรศัพท์ของเหล่าโล๋ออกมาตอนเขาหลับ ฉันมีแผนให้นายช่วย แค่ทำตามก็พอแล้ว”
หยางหยางบอกแผนการทั้งหมดให้เฉิงเฉิงฟังผ่านโทรศัพท์ โดยไม่สนใจเลยว่าเขาจะจำได้มากแค่ไหน
แต่หลังจากที่ได้ยินเสียงของหยางหยาง เขาก็มีสติขึ้นมาไม่น้อย อย่างน้อยก็รู้แล้วว่าหลายวันที่ผ่านมาเกิดเรื่องอะไรขึ้น
*
วันต่อมา หลังจากทานอาหารเช้า เป่หมิงโม่วางชามและตะเกียบลงก่อนจะเดินออกจากห้องอาหารไป เฉิงเฉิงใช้โอกาสนี้ขยับเข้าใกล้และบอกแม่ว่า : “เมื่อวานหยางหยางโทรมาหาผม”
ในที่สุดก็ได้ข่าวของหยางหยางอีกครั้ง กู้ฮอนรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที
เพื่อความปลอดภัยเธอมองไปด้านนอกอีกครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าเป่หมิงโม่เดินออกไปแล้ว
ถ้าเขารู้เข้า…
ไม่แน่ใจว่าจะมีความคิดอะไรแปลกๆออกมาอีก
ส่งลูกไปเรียนต่างประเทศไม่พอ ยังจะเอาไปซ่อนไว้ที่ไหนอีกก็ไม่รู้
ถ้าเป็นแบบนั้นจริง เกรงว่าตัวเองจะมีโอกาสได้เจอหน้าลูกอีกครั้งคงยาก
ยิ่งจากการรู้จักเขาแล้ว ผู้ชายคนนี้มีโอกาสทำอย่างที่พูดได้ง่าย
ดังนั้น เพื่อป้องกันความล้มเหลวทุกอย่างต้องดำเนินการอย่างระมัดระวังจะดีที่สุด
*
เป่หมิงโม่ยังคงทำทุกอย่างตามปกติ หลังจากออกจากห้องอาหารก็จะออกจากคฤหาสน์ทันที
ช่วงนี้ไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้กินอะไรผิดไป เดิมมีสวนสวยๆ อยู่หน้าบ้าน
เวลาที่ดอกไม้ผลิบานส่งกลิ่นหอมเข้ามาในบ้าน
เปิดหน้าต่างนั่งดมกลิ่นหอมอยู่ที่โต๊ะทำงาน
จะอ่านหนังสือที่ถือติดมือมา หรือทำอะไรที่ตัวเองสบายใจ
มีความสุขสบายใจอย่างมาก
แต่ความสวยงามแบบนี้ กลับถูกผู้ชายอย่างเป่หมิงโม่ทำลาย
เขาเอาดอกไม้ออกหมดไม่เหลือแม้แต่ดอกเดียว ขนาดทางเดินเล็กๆ ในสวนก็ถูกออกแบบใหม่ทั้งหมด
จากนั้นก็ถมที่ใหม่ด้วยดินดำที่สั่งมาจากทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
*
กู้ฮอนเฝ้าดูเขาเปลี่ยนสวนดอกไม้เป็นสวนผัก
จริงแล้วๆ การเปลี่ยนแปลงแบบนี้ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร
ในเมื่อ เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยว ก็ได้กินสิ่งที่ตัวเองปลูกทำให้รู้สึกดีเสียอีก
แต่เปลี่ยนจากกลิ่นดอกไม้หอมๆ เป็นกลิ่นฉุนๆ ไม่คุ้นจมูก มันก็…
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะวิธีทำของผู้ชายคนนี้รึเปล่า ทุกครั้งที่เขาใส่ปุ๋ย ต่อให้ปิดประตูหน้าต่างแน่นแค่ไหน ก็จะยังมีกลิ่นลอยแทรกเข้ามาอยู่ดี
บางครั้งลั่วเฉียวพาลูกๆ มาคุยเล่นกับกู้ฮอน มักจะพูดติดตลกต่อหน้าเป่หมิงโม่ กลิ่นของเขานั้นต่อให้อยู่ตีนเขาก็ยังได้กลิ่น
เธอพูดขนาดนี้ แน่นอนว่ามันน่าหงุดหงิดนิดหน่อย
แต่เมื่อมองไปที่เป่หมิงโม่อย่างละเอียดรอบคอบ เขากลับไม่สนใจ
ต่อให้ถูกร้องขอ : ถ้าชอบที่จะทำสวน ก็ไปทำที่บ้านไร่ในสวนของคุณป้าสิ
เขาจะทำอะไรก็ได้ที่เขาชอบ
แต่กลับถูกปฏิเสธด้วยเหตุผลที่ว่า ไกลจากบ้านและที่ทำงานเกินไป
*
หลังจากดูเป่หมิงโม่ออกไปทำความสะอาดสวนผักแล้ว กู้ฮอนจึงคุยถึงสถานการณ์ของหยางหยางกับเฉิงเฉิงได้อย่างสบายใจ
คนเป็นแม่ต้องอยากเจอลูกอยู่แล้ว
เฉิงเฉิงเล่าแผนการของหยางหยางทั้งหมดให้แม่ฟัง
จิ่วจิ่วเอนตัวฟังอยู่ข้างๆ เธอก็อยากเจอพี่ชายเหมือนกัน และยังพยายามขอตามแม่ไปด้วย
กู้ฮอนเห็นด้วยทันที แต่ต้องตั้งข้อแม้และกฎข้อควรระวังให้เธอด้วย
แน่นอน ข้อแรกคือต้องเก็บเป็นความลับ ห้ามไม่ให้คนอื่นรู้เด็ดขาด
*
“วันนี้พวกคุณมีธุระอะไรไหม? ผมอยากไปตกปลา ไม่รู้ว่าพวกคุณอยากไป…”
เป่หมิงโม่พูดไม่ทันจบ กู้ฮอนก็โบกมือไปมา : “วันนี้ฉันนัดกับลั่วเฉียว แอนนิแล้ว ฉันจะพาลูกไปด้วย”
การออกไปกับพี่น้องคนสนิทของเธอเป็นเรื่องปกติที่กู้ฮอนทำเกือบทุกสัปดาห์
แต่ครั้งนี้เธอพาลูกสาวและลูกชายไปด้วย
การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ไม่ได้ดึงดูดความแปลกใจของเป่หมิงโม่
อาศัยอยู่ในเมืองเดียวกันแต่คนในครอบกลับไม่ค่อยเจอหน้ากัน
ไม่ใช่ไม่อยากเจอ แต่เจอไม่ได้
ไม่ใช่เจอไม่ได้ แต่คิดว่านี่เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ดีสำหรับเด็กๆ
เป่หมิงโม่ทำหน้าที่ชาวสวนต่อในพื้นที่ของเขา
กู้ฮอนพาเด็กๆ ออกไป
วันนี้พวกเขามีภารกิจสำคัญต้องทำ
*
“คุณชายน้อยหยางหยาง คุณจะไปไหน?”
เหล่าโล๋เห็นหยางหยางสะพายกระเป๋าหนังสือของตัวเอง ใส่หมวกสานที่ไม่รู้ไปเอามาจากไหน และใส่แว่นกันแดดที่เขาชอบใส่ตลอด
ใส่เสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีขาวคู่กับกางเกงยีนขาสั้นสีเข้ม สวมรองเท้าหนังสีดำ
วันนี้เป็นวันหยุดพักผ่อน และหยางหยางก็มีสิทธิ์ที่จะออกไปไหนก็ได้ตามใจ
แต่สำหรับเหล่าโล๋แล้ว การปกป้องดูแลความปลอดภัยของคุณชายน้อยเป็นหนึ่งสิ่งสำคัญในหน้าที่ที่รับชอบ
เขาลุกขึ้นยืน เตรียมพร้อมตามดูแลเขา
หยางหยางเปิดประตู และหันกลับมามองเหล่าโล๋ ใช้มือเล็กๆ นั้นปรับแว่นของตัวเองนิดหน่อยและทำสีหน้าจริงจัง
เหมือนโดนตั้งคำถามในสิ่งที่ไม่ควรถาม
“ฉันถูกขังไว้ที่นี่ทั้งวัน นอกจากไปโรงเรียนก็ไม่เคยได้ไปที่อื่นเลย หรือว่าฉันจะออกไปเดินเล่นให้สบายใจหน่อยไม่ได้รึไง?”
“เรื่องนี้…” เหล่าโล๋ลังเลเล็กน้อย
เจ้านายไว้ใจให้ตัวเองดูแลปกป้องคุณชายน้อย และไม่ได้บอกว่าการปกป้องคือการกักบริเวณ
ในเมื่อยังเป็นเด็ก
เด็กก็มีมุมที่อยากเล่นสนุก
ยังไงก็ตามตัวเขาเองก็ยังอยู่ในฐานะคนรับใช้ เขาปรับสีหน้าและก้มหัวให้เล็กน้อย : “คุณชายน้อยหยางหยาง ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น คุณจะไปไหนก็ได้แต่กลับที่บ้านเจ้านายไม่ได้เท่านั้นเอง”
ถึงแม้ว่าจะอยู่ในเมืองเดียว แต่ถ้าไม่ได้รับการอนุญาตจากเจ้านายก่อนก็ไม่ได้รับอนุญาตให้กลับไป