บทที่ 1165 ต้องอบรมสั่งสอนกันหน่อย
เป่หมิงโม่คิดไม่ถึงว่าภายใต้สถานการณ์แบบนี้ พวกเขายังหาวิธีติดต่อกันได้
ใช่ว่าเขาไม่มีหัวใจ ในเมื่อพวกเขาอยากเจอกัน ในเมื่อตัวเองไม่สามารถทำลายกฎที่ตั้งขึ้นเองได้ จึงทำได้แค่ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ปิดตาไปสักข้างหนึ่ง
แต่นี่ก็ทำให้เหล่าโล๋ลำบากแล้ว
ผู้ชายคนนี้ยังคงตามหาอย่างไร้จุดหมาย
*
กู้ฮอนมองหยางหยางอย่างละเอียด จนมั่นใจว่าลูกออกมาอาศัยนอกบ้านไม่ได้รับความลำบากอะไร
และยังได้ฟังคำตอบจากลูกที่รู้สึกเป็นตัวเองและสบายใจ
นี่ถึงจะทำให้เธอสบายใจจริงๆ
“ลูกรัก พ่อของลูกส่งคนค่อยติดตามตลอดไม่ใช่รึไง?”
เธอนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาในทันที
เพราะเกรงว่าเป่หมิงโม่จะรู้เข้า
หยางหยางแสดงท่าทีได้รับชัยชนะ : “ผมสลัดเขาหลุดไปแล้ว พ่อไม่มีทางรู้”
“งั้นก็ไม่ควรปล่อยให้เขาร้อนใจตามหาลูกน่ะ เหล่าโล๋ไม่ใช่แค่ทำตามคำสั่ง ทั้งยังดูแลความเป็นอยู่ของลูกอีกด้วย”
กู้ฮอนรู้สึกว่าสิ่งที่ลูกทำนั้น ทำให้เหล่าโล๋กำลังลำบาก
ว่ากันว่า ในครอบครัวที่ไม่ได้มีลูกเพียงคนเดียว มักจะมีลูกคนหนึ่งที่จะเป็นที่รักที่เอ็นดูลูกมากกว่าคนอื่นๆ
พวกเขาจะกลายเป็นปัจจัยที่ไม่แน่นอนที่สุดในครอบครัว ไม่ใช่เพียงหนึ่งเดียว
พวกเขาจะทำให้พ่อแม่ปวดหัวอย่างถึงที่สุด แต่ก็ไม่มีวิธีการใดที่จะดีหรือได้ผลเป็นพิเศษ
สำหรับหยางหยางแล้ว เป่หมิงโม่เลือกใช้วิธีการคล้ายๆ กับการเนรเทศ
ตามคำกล่าวที่ว่า : ก่อนที่พระเจ้าจะมอบหมายงานสำคัญให้ใคร จะต้องผ่านการทดสอบความพยายาม ความอดทนต่อความยากลำบาก ความหิวโหย ความสิ้นหวัง ความล้มเหลว เพื่อฝึกให้เขาเรียนรู้ที่จะปรับตัว ดิ้นรนเพื่อเพิ่มความสามารถ
ดูได้ไม่ยาก ในฐานะพ่อของลูกไม่สามารถปล่อยให้เฉิงเฉิงโดดเด่นอยู่คนเดียวได้
เขาอยากให้ลูกของเขาทุกคนอยู่ในกลุ่มที่ดีที่สุด
นี้คงจะเป็นภาระหน้าที่อย่างหนึ่งในใจเขา
เมื่อตัวเองอยู่ในระดับที่เป็นเลิศแล้ว ก็ไม่แปลกที่จะอยากให้คนที่เกี่ยวข้องกับตัวเองอยู่ในระดับเป็นเลิศด้วยเหมือนกัน
อย่างน้อยที่สุดก็ทำให้โดดเด่นขึ้นมาได้
น่าเสียดายที่เขาเกิดมาพร้อมความแตกต่าง
จากภายนอกดูไร้เดียงสาไม่มีพิษภัย แต่กลับมีช่วงเวลาที่สงบน้อยเหลือเกิน
การพบเจอกันครั้งนี้ ต้องมีคนดีใจและคนที่กังวล
ต้องรับมือกับคุณชายน้อยแบบนี้ ช่างเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวสำหรับเหล่าโล๋เหมือนกัน
ขณะที่เหล่าโล๋แทบจะพลิกแผ่นดินหา โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น
แต่ทว่า ขณะที่มองชื่อที่โทรเข้ามาในโทรศัพท์อยู่นั้น เหมือนเห็นแสงสว่างอยู่ตรงหน้า
หรือเขาอาจจะเป็นที่คนที่มาช่วยชีวิต
“โทรหาฉันมีธุระอะไร?”
เขาหาม้านั่งยาวบริเวณนั้นนั่งพัก
“ฮัลโหล ฉันเอง…” เสียงของฉิงฮัวดังมาจากโทรศัพท์
แถมเหล่าโล๋ยังแอบได้ยินเสียงเด็กร้องผ่านมาไมค์ในโทรศัพท์มา
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ฉันได้ยินมาจากเจ้านายว่า นายกำลังเจอเรื่องยุ่งยาก” ฉิงฮัวพูดอย่างไม่อ้อมค้อม
เขากับเหล่าโล๋เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน และเป็นมือซ้ายมือขวาของเป่หมิงโม่
ในเมื่อเพื่อนกำลังเจอเรื่องยุ่งยาก แน่นอนว่าต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเป็นคนแรก
เหล่าโล๋ถอนหายใจ : “เจ้านายไม่ได้บอกนายหรือไงว่าเจอเรื่องยุ่งยากอะไร?”
ฉิงฮัวขมวดคิ้วแล้วขมวดคิ้วอีก สีหน้างงงวย : “บอกแค่ว่าให้นายบอกฉัน”
เฮ้อ เหล่าโล๋เริ่มรู้สึกไม่เข้าใจเจ้านายของตัวเอง ลูกหายไปทั้งคนเข้ายังใจเย็นอยู่ได้ ทั้งยังให้ลูกน้องทั้งสองทายกันเองอีก
“เรื่องเป็นแบบนี้ ตอนนี้ฉันกำลังตามดูแลคุณชายน้อยหยางหยางที่พักอยู่ด้านนอก ส่วนเหตุผลคิดว่าเจ้านายน่าจะบอกนายไปแล้ว”
ในเมื่อเป็นแบบนี้ เหล่าโล๋ได้แต่ยอมรับ
แต่ก็ไม่รู้ว่าฉิงฮัวจะรู้เรื่องนี้มากน้อยแค่ไหน เขารู้สึกตกใจเล็กน้อย : “คุณชายน้อยหยางหยางโดนไล่ออกจากบ้านแล้ว? ตอนนี้เขาเป็นยังไงบ้าง? แล้วคุณผู้หญิงเห็นด้วยหรือไง?”
เหล่าโล๋พอจะเดาออก ฉิงฮัวไม่รู้อะไรมาก
ถามคำถามติดกันมากมาย จนเหล่าโล๋ไม่รู้จะตอบคำถามไหนก่อนดี
ตอนนี้สนใจเรื่องเร่งด่วนก่อนดีกว่า : “รายละเอียดฉันค่อยบอกอีกทีวันหลังแล้วกัน ตอนนี้ปัญหาที่ฉันเจอ ก็คือ คุณชายน้อยหนีไปแล้ว และตอนนี้ฉันก็ไม่รู้จะหาจากตรงไหนแล้ว”
“ห่ะ!” หลังจากได้ฟังฉิงฮัวแทบจะทำโทรศัพท์ร่วง
มือไม้สั่นอยู่ไม่เป็นสุขจนดึงดูดความสนใจจากลั่วเฉียว
ฉิงฮัวรีบถาม : “เกิดขึ้นเมื่อไหร่?”
“เมื่อกี้ แต่ฉันรายงานเรื่องนี้กับเจ้านายแล้ว แต่ท่าทีเขากลับดูเหมือนนิ่งเฉย”
คำตอบแบบนี้ก็ทำให้ฉิงฮัวรู้สึกแปลกใจนิดหน่อย
“ต้องการให้ฉันช่วยไหม ตอนนี้ฉันส่งคนไปช่วยได้อยู่”
หยางหยางหายไปขณะที่อยู่กับเหล่าโล๋ เรื่องนี้ฉิงฮัวเองก็รู้สึกน่าแปลกใจ
ระยะเวลาที่เหล่าโล๋อยู่ทำงานอยู่ข้างตัวเป่หมิงโม่ห่างกับเขาพอสมควร
ความสามารถบางอย่างของเขาดีกว่าของตัวเองเสียอีก
แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะพลาดได้เพราะหยางหยาง
ช่างเป็นเรื่องน่าตลก
หรือว่าในใจของเป่หมิงโม่เองก็ไม่สบายใจอยู่ แต่ฟังจากเสียงในโทรศัพท์แล้วไม่รู้สึกแบบนั้นเลย
ตอนนี้สิ่งสำคัญคือต้องรีบตามหาหยางหยางให้เจอ
“ขอบใจฉิงฮัว สำหรับฉันแล้วเรื่องนี้ต้องทำให้สำเร็จถึงจะเป็นการขอโทษเจ้าได้”
ฉิงฮัวเห็นด้วยกับความคิดเขา : “งั้นนายว่ามา ฉันจะช่วยอะไรนายได้บ้างไหม?”
พูดกันถึงตรงนี้แล้วจะเกรงใจกันอยู่ก็ใช่เรื่อง : “ฉิงฮัว ฉันรู้ว่านายก็อยู่กับนายน้อยมานาน ฉันรู้สึกว่าครั้งนี้เขาตั้งใจจะหนีไป นายพอจะเดาออกไหมว่าปกติเขาชอบไปที่ไหน?”
“ฉันขอคิดก่อน…” ฉิงฮัวรีบระดมกำลังสมองคิดอยู่สักพัก : “นายอย่าเพิ่งร้อนใจ ฉันขอคิดหน่อย เดี๋ยวโทรกลับ”
พูดจบเขาก็วางสายไป
*
กู้ฮอนกอดหยางหยาง ก่อนหน้านี้เธอแทบจะไม่เคยทำแบบนี้กับหยางหยางมาก่อน
ถามคำถามมากมายเกี่ยวกับการใช้ชีวิตคนเดียว
พอรู้ว่าลูกสบายดีไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง เธอจึงจะสบายใจ
จิ่วจิ่วก็สงสัยอย่างมากว่าหยางหยางอยู่ด้านนอกคนเดียวกลัวไหม คิดถึงพ่อกับแม่ไหม
แน่นอนสิ่งที่หยางหยางตอบก็คือ : “อยู่ด้านนอกสนุกกว่าอยู่ในบ้านอีก ไม่คิดถึงพ่อเลยสักนิด แต่สำหรับแม่แล้ว…แน่นอนว่าเขาจะบอกว่าไม่คิดถึงแม่ต่อหน้าแม่ได้ยังไง”
“เจ้าเด็กคนนี้ แม่ว่าจะเล่นสนุกเกินไปหน่อยแล้ว พ่อบอกว่าต้องการให้ลูกลำบากหน่อย แต่ว่าเขาน่าจะให้ความสุขเสียมากกว่า….”
กู้ฮอนยังรู้สึกโกรธนิดหน่อย โดยเฉพาะเป่หมิงโม่
แน่นอนลูกชายต้องฝึกต้องสอนกันมากหน่อย
ตอนนั้นเอง โทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้นมา
“ฉิงฮัว มีธุระอะไร?” เธอพูดพลางทำภาษามือบอกลูกๆ ทั้งสามว่าไม่ต้องพูดอะไร
เธอไม่อยากให้ฉิงฮัวรู้เรื่องที่เธอกับลูกนัดแอบเจอกัน
ไม่ใช่ไม่เชื่อใจเขา แต่หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง
หลังจากฉิงฮัวได้รับโทรศัพท์จากเหล่าโล๋ ก็คิดแล้วคิดอีกว่าควรจะโทรบอกกู้ฮอนสักหน่อย
ในฐานะแม่ของลูก เธอน่าจะหาหยางหยางเจอ
“คุณผู้หญิง คือว่า หยางหยางหายตัวไป คุณพอจะรู้ไหมว่าเขาจะไปที่ไหน?”
หลังจากได้ฟังสีหน้าของกู้ฮอนเปลี่ยนไปเล็กน้อย และมองไปที่หยางหยางแวบหนึ่ง
“อะไรน่ะ หายตัวไป?” น้ำเสียงของเธอตะกุกตะกัก
แต่ที่ฉิงฮัวได้ยินกลับเหมือนสติเธอยังไม่กลับมา หรือเธอจะตกใจที่ลูกหายตัวไป จิตใจเธอได้รับการกระทบกระเทือนครั้งใหญ่
“คุณผู้หญิง อย่าเพิ่งใจตื่นตกใจ ผมจะพยายามหาเขาอย่างถึงที่สุด ผมอยากรู้ว่าปกติเขาชอบไปที่ไหน?” ฉิงฮัวแสดงท่าทีจริงจังและพยายามทำให้เธอมั่นใจ
“เขา…ปกติเขาจะไปที่ไหนได้อีก เรื่องนี้คุณอย่าเพิ่งบอกโม่เลย ฉันขอคิดดูก่อน”
*
มองแม่วางสายโทรศัพท์ ลูกๆ ทั้งสามคนก็รู้สึกแปลกใจไม่น้อย
“แม่ มีเรื่องอะไร ใครหายไปไหน?” หยางหยางมองแม่ตาปริบๆ
“ก็เธอนะสิที่หายไปน่ะ” กู้ฮอนมองเขาอย่างเคืองๆ
เดิมทีเธอเข้าใจว่าลูกแอบมาเจอเธอ ไม่น่าจะมีใครรู้เรื่องนี้
แต่ไม่คิดว่าฉิงฮัวจะรู้
คิดว่าเป่หมิงโม่น่าจะคาดการณ์เรื่องไว้อยู่แล้ว
ควรจะหาข้ออ้างและเหตุผลอะไรดีที่จะแก้ไขเรื่องนี้ได้อย่างสมบูรณ์
ถึงแม้เฉิงเฉิงจะไม่ได้ยินที่คุยในโทรศัพท์ แต่เขาพอจะเข้าใจความเป็นมาแล้ว
เขามองหยางหยางอย่างตำหนิ : “นายแอบออกมาใช่ไหม น่าจะเป็นพวกเขาที่โทรหาแม่”
“พวกเขาจะโทรหาแม่ทำไม เรื่องนัดเจอกับแม่ฉันไม่ได้บอกใคร” หยางหยางแปลกใจ แต่ก็พอเดาได้บ้าง แค่ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นฉิงฮัวที่โทรมา
หรือว่าพ่อจะรู้เรื่องนี้ด้วย?
ถ้าเป็นอย่างนั้น เรื่องนี้ยุ่งยากแล้ว
เฉิงเฉิงก้มหน้ามองนาฬิกา พวกเขาอยู่ด้วยกันนานพอควรแล้ว ถ้าหยางหยางไม่กลับไป ต้องมีความวุ่นวายอื่นๆ ตามาอีกแน่
เขารู้ว่าแม่คิดถึงหยางหยางมานานมากแล้ว แต่วันนี้สถานการณ์ไม่ปกติ ตอนนี้ก็ถือว่าได้เจอหน้ากันแล้ว ควรจะให้เขากลับไปได้แล้วถึงจะดี
คิดถึงตรงนี้ เฉิงเฉิงดึงแขนเสื้อกู้ฮอนเบาๆ : “แม่ ผมคิดว่าตอนนี้ควรให้หยางหยางรีบกลับได้แล้ว”
“ทำไมต้องให้ฉันกลับไปตอนนี้ นายเกลียดที่ต้องเจอฉันรึไง แค่คุณลุงหัวฟูโทรมานายกลัวขนาดนั้นเลย อย่าลืมน่ะเรื่องวันนี้นายมีส่วนร่วมด้วย” หยางหยางมองเขาอย่างดูถูกน้อยๆ
“ฉันกลัวที่ไหน ก็คุยกันตั้งแต่แรกแล้วว่าจะให้นายกับแม่แอบเจอกัน ใครจะรู้ว่านายจะจัดการอะไรไม่เรียบร้อยเลยสักนิด ปล่อยให้คนอื่นรู้จนได้ นายฟังไม่ออกรึไง สายที่โทรมาเมื่อกี้ถามแม่ตรงๆ ความจริงก็คือโทรหานายผ่านแม่ ไม่แน่สายต่อไปอาจจะเป็นพ่อก็ได้”
หยางหยางคิดวิเคราะห์อีกครั้ง เหมือนจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ
แต่เขาก็คือเด็กที่ไม่รู้จักใช้โอกาสที่รับมา ต่อให้โดนจับได้ก็ยังปากแข็ง : “แล้วจะทำไม อย่างมากก็แค่โดนลงโทษอีกครั้ง ตั้งแต่เด็กจนโตไม่ใช่ว่าฉันไม่เคยโดนตี”
“นายคิดว่านายจะเก็บเป็นความลับได้รึไง ฉันจะบอกให้ เรื่องที่นายทำอย่าลากคนอื่นให้โดนไปด้วย ถึงเวลาถ้าแม่เกิดเรื่องอะไรขึ้น ฉันไม่ยกโทษให้นายแน่!”
เฉิงเฉิงโกรธเมื่อเห็นหยางหยางไม่รู้ร้อนไม่รู้หนาว ในใจของเขาหยางหยางอยู่ในลำดับที่2หรือที่3เท่านั้น คนที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาคือพ่อแม่
ที่เขาเห็นด้วยกับวิธีของหยางหยาง เพราะอยากให้แม่รู้สึกสบายใจขึ้นมาหน่อยเท่านั้นเอง
เห็นลูกสองคนเริ่มทะเลาะกัน กู้ฮอนเองก็ไม่สบายใจ จริงวันนี้ควรจะรู้สึกยินดีดีใจ แต่ผ่านไปนานกลับเป็นแบบนี้ไปได้
หลังจากลองชั่งน้ำหนักดูแล้ว เธอก็รู้สึกว่าที่เฉิงเฉิงพูดมีเหตุผล อีกอย่างไม่ควรทำให้ฉิงฮัวลำบาก
รู้จักกันมาหลายปี และยังเป็นสามีของลั่วเฉียวอีกด้วย ไม่ว่าเรื่องความสัมพันธ์หรือเรื่องเหตุผลก็ควรให้ลูกกลับได้แล้ว
“พอแล้ว พอได้แล้ว พวกเธอทั้งสองคนฟังแม่” พูดจบ กู้ฮอนมองหยางหยาง ถึงแม้ในใจยังไม่อยากจากลูกไป : “หยางหยางตอนนี้กลับก่อนน่ะเด็กดี”
หยางหยางรู้ดีว่าผลจะเป็นแบบนี้ แต่ก็รู้สึกแปลกใจ : “แม่ ผมเพิ่งมาได้ไม่นาน แม่ยังไม่ได้พาผมไปเที่ยวเล่น ไปหาของอร่อยกินกันเลย อาหารที่เหล่าโล๋ทำไม่อร่อยสักนิด”