ทั้งสองวิ่งไล่กันเป็นวงกลมสองรอบเหมือนแมววิ่งไล่หนูอยู่หน้ากำแพงประตูวงเดือน สุดท้ายก็เป็นอาเถาที่อายุมากกว่า ต้อนอาเม่าเข้ามุมกำแพงสำเร็จ ก่อนยื่นมือออก พลางหอบหายใจ
“คุณ คุณชายน้อย เอามาให้บ่าว เร็ว เร็ว”
เดิมทีอาเม่าแค่อยากรู้ว่าในถาดมีของอร่อยๆ อะไร แต่พอได้ยินอาเถาพูด ก็รู้สึกตลบขบขัน คล้ายไม่ได้คิดอะไรมาก อยากแหย่นางเล่นแบบเด็กๆ จึงจงใจทำท่าทางทะเล้น ลิ้นพันกัน ล้อเลียนการพูดติดอ่างของนาง
“ก็ ก็ไม่ ไม่ ไม่ให้เจ้า จะ จะแหย่ให้เจ้าโกรธ อิ อิ!”
อาเถาโกรธแล้ว จึงย่ำเท้า “คุณ คุณชายน้อยพูด พูดล้อเลียนบ่าวทำไม รีบส่ง ส่งสำรับมา มาให้บ่าว…”
ทั้งสองไม่มีใครยอมใคร วิ่งไล่กันต่อ พลางตะเบ็งเสียง จนไปเข้าหูพี่เฉียวซึ่งอยู่ด้านในและเพิ่งจะเอนตัวลงนอน “รนหาที่ชะมัด ทำอะไรกันน่ะ! เห็นว่าช่วงเช้าฮูหยินยังเหนื่อยไม่พอรึไง ถึงมารบกวนกันอยู่ได้!”
พี่เฉียวพับแขนเสื้อ พลางก้าวยาวๆ ออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ และพอเห็นว่าเด็กบ้านนอกนั่นยังไม่ไปไหน ก็โมโห
ด้านอาเถา พอเห็นคนมาช่วย ก็รีบชี้ไปที่คุณชายน้อย พลางทำท่าจะร้องไห้ขณะบอกพี่เฉียว
“เขา เขาแย่งสำรับของ ของว่างของฮูหยินไป…”
เจ้าลิงป่านี่ก่อเรื่องอีกแล้ว มิน่าเล่าฮูหยินถึงได้ด่าไม่เลี้ยงทุกทีที่กลับถึงเรือน ที่แท้ก็เหลือขอจริงๆ!
พี่เฉียวเป็นนักเลงมาแต่เด็ก ไม่ใช่คนใจดีอยู่แล้ว เพียงเห็นว่าอาเม่าเป็นญาติของนายท่าน ถึงอดทนมาตลอด “เลิกเล่นได้แล้ว คุณชายน้อย! ส่งคืนมาเร็ว!”
อาเม่าเพิ่งถูกบ่าวผู้นี้ค่อนขอด แล้วจับโยนออกจากเรือน ยังขุ่นเคืองไม่หาย ตอนนี้จึงยกมือข้างหนึ่งขึ้นเท้าสะเอว
“ข้าไม่ให้! เจ้าเป็นใคร! ทำไมข้าต้องฟังเจ้าด้วย! อย่านึกว่าเป็นคนข้างกายอาสะใภ้ แล้วข้าจะกลัว แม่ข้าบอกแล้วว่า เจ้ามันก็แค่บ่าวรับใช้…”
พี่เฉียวสบถออกมาคำหนึ่ง ขี้คร้านที่จะพูดมากกับกระต่ายน้อยหมีน้อย อาศัยทีเผลอ ชิงสำรับคืน
แต่ครั้งนี้ อาเม่าคว้าข้อมือเขาไว้ได้ ก่อนอ้าปาก กัดลงไป
“โอ๊ยยย…” พี่เฉียวร้องเสียงดัง ก่อนเหวี่ยงแขนออกอย่างแรง
อาเม่ายังเด็ก ตัวก็เล็ก ถูกเหวี่ยงทีก็กระเด็นไปชนกำแพง เสียง ‘กึก’ ศีรษะแตก
พี่เฉียวกับอาเถาตกใจ อาเม่ากุมศีรษะตนเองแล้วรีบลุกขึ้นยืน เด็กบ้านนอกไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน พลังต่อสู้ปะทุ เขาไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น อย่าว่าแต่ฝ่ายตรงข้ามเป็นบ่าวของอาสะใภ้เลย ต่อให้นายมาเองก็ห้ามไม่อยู่ เขาย่อขาลง แล้วพุ่งตัวเข้าใส่
“กล้าตีข้ารึ! เจ้ากล้าตีข้า ข้าขอสู้ตาย…”
พี่เฉียวไม่ทันตั้งตัว จึงถูกคุณชายน้อยกดลงกับพื้น หอบหายใจสองที ถูกต่อยไปสองหมัด
ถึงพี่เฉียวกล้าดีขนาดไหน ก็ไม่กล้าลงมือกับหลานชายของนายท่านแน่ จึงได้แต่ด่าออกมาสองคำ พยายามอดทน ผลักอาเม่าออกด้านข้าง
“คุณชายน้อยเซไปชนกำแพงเอง อย่ามาโทษบ่าว!”
อาเม่ากลิ้งไปกับพื้น หอบหายใจอยู่สองที ขณะจะกระโจนเข้าหาอีก ก็รู้สึกว่าเจ็บแปลบบริเวณหลังศีรษะ พอยกมือไปจับ ฝ่ามือก็เต็มไปด้วยโลหิต เป็นบาดแผลจากการชนกำแพงเมื่อครู่
พี่เฉียวเห็นก็ตะลึงงัน กระวนกระวายใจขึ้นมา นี่ไม่ใช่เรื่องดีแน่!
ทั้งสองต่างตกตะลึง จึงยืนนิ่งกันอยู่สักพัก และในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงแหลมปรี๊ดดังขึ้นที่ด้านหลังของอาเม่า พร้อมเสียงร้องไห้
“โอ้แม่เจ้า อาเม่า อาเม่าของข้า…เจ้าบ่าวสุนัข กล้าดียังไงมาตีลูกข้า!”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง หน้าผากของพี่เฉียวก็ถูกสิ่งของกระแทกอย่างแรง จนต้องกุมศีรษะ แล้วนั่งยองๆ ลงพลางร้องโอดโอย
ที่แท้ พออวิ๋นจิ่นจ้งยุแหย่อาเม่าเรียบร้อย ก็แอบดูอยู่ข้างๆ พอเห็นพี่เฉียวเดินออกมาด่า คล้ายโมโหมาก ก็รีบให้เด็กรับใช้ข้างกาย วิ่งไปบอกหวงน้าสี่ที่เรือนตะวันตก
หวงน้าสี่เพิ่งตื่นจากการนอนกลางวัน พอไม่เห็นลูกชาย ก็เที่ยวตามหาทั่วเรือน และพอได้ยินว่าลูกชายถูกบ่าวด่าว่าที่เรือนของไป๋เสวี่ยฮุ่ย ก็อารมณ์ขึ้น พับแขนเสื้อ สาวเท้าผ่านระเบียงทางเดินอย่างรวดเร็ว ไม่กี่ก้าวก็มาถึง
พอเห็นอาเม่านั่งอยู่กับพื้น กำลังจับศีรษะ ง่ามนิ้วคล้ายมีคราบโลหิต ก็เดือดดาลยิ่ง ถอดรองเท้า แล้วเขวี้ยงออกไป โดนหน้าผากพี่เฉียวอย่างจัง จนมึนไปหมด
ขณะพักอาศัยในจวนรองเจ้ากรม หวงน้าสี่มักคิดว่าตนเองต่ำต้อย และมักรู้สึกว่าบ่าวในจวนน่าจะดูถูกครอบครัวนาง บวกกับหลายวันก่อน นางกับลูกสาวถูกไป๋เสวี่ยฮุ่ยทำให้อับอาย เปลวไฟที่สุมทรวงยังหาทางระบายออกไม่ได้ ตอนนี้พอเห็นว่าบ่าวของน้องสะใภ้ยังกล้าลงมือกับลูกชายนางอีก จึงสติแตก ขนาดเผาจวนสกุลอวิ๋นให้วอดวายยังได้
เด็กชายตามชนบทในวัยอย่างอาเม่า มีหรือจะไม่เคยชกต่อยมาก่อน เขาเคยหัวแตกกลับบ้านมาหลายครั้งแล้ว และครั้งนี้อันที่จริงก็ไม่มีอะไร แต่พอเห็นแม่ร้องเสียงดังอย่างเจ็บปวด ก็รู้สึกไม่เป็นธรรม จึงปล่อยโฮออกมา พลางชี้หน้าพี่เฉียว
“แม่ บ่าวคนนี้ล่ะ ที่ไม่ให้ข้าเข้าไปก่อน ซ้ำยังหาว่าบ้านเราไม่มีการสั่งสอน หาว่าแม่กับพ่อเป็นพวกบ้านนอก เอาแต่ทำไร่ไถนา สอนลูกไม่เป็น สุดท้ายก็จับข้าโยนออกมา ตอนนี้ยังมาตีหัวข้าอีก”
พี่เฉียวงงเป็นไก่ตาแตก เด็กบ้านี่ ใส่สีตีไข่เป็นด้วย!
“แม่เจ้า มันจะมากเกินไปแล้ว!” หวงน้าสี่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ถ้าบ่าวไม่มีนายคอยหนุนหลัง ไหนเลยจะขวัญกล้าเทียมฟ้าเช่นนี้ หัวโจกก็คือคนที่อยู่ในเรือน
เดิมทีความแค้นเรื่องเอาชุดบ่าวรับใช้มาให้ใส่ ยังฝังใจไม่หาย ตอนนี้กลับหนักมากกว่าเก่า หวงน้าสี่จึง
เท้าสะเอว หันหน้าไปทางเรือน พลางตะโกนด่า
“ข้ามาเป็นเพื่อนท่านแม่ มาเป็นแขกบ้านน้องสามี ไม่ได้มาคอยดูสีหน้าใคร! ใช่ เราเทียบคนรวยอย่าง
พวกเจ้าที่มีบ้านหลังใหญ่โตไม่ได้ ถ้าไม่ชอบ ก็แค่พูดออกมาตรงๆ ข้าจะพาลูกกลับทันที! ทำไมต้องบอกให้บ่าวมาซ้อมลูกข้าด้วย!
ในเรือน
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยเพิ่งตื่นนอนกลางวัน ยังไม่ทันหวีผมให้เรียบร้อย กำลังนั่งผมยุ่งอยู่หน้าคันฉ่อง ก็ได้ยินเสียงด่ากราดแบบชาวบ้านร้านตลาดของผู้หญิงดังมา หัวใจพลันเต้นแรง จึงพามอมอคนหนึ่งออกไปดู
พอมาถึงหน้าประตูวงเดือน ไป๋เสวี่ยฮุ่ยก็ตกตะลึงพรึงเพริด
อาเม่านั่งฟ้องแม่อยู่บนพื้น ฝ่ามือเลอะไปด้วยโลหิต
พี่เฉียวหน้าเปื้อนดิน นั่งหดตัวอยู่ที่มุมกำแพง ไม่กล้าส่งเสียง มือกุมศีรษะ ข้างตัวมีรองเท้าสตรีข้างหนึ่งตกอยู่
หวงน้าสี่กำลังยืนเท้าสะเอว ด่าทออย่างดุเดือด พอเห็นนางออกมา ก็ถลึงตามอง สายตาเช่นนี้ จ้องจะกินเลือดกินเนื้อกันชัดๆ
“พี่สะใภ้ ทำอะไรน่ะ!” ความอดทนที่ไป๋เสวี่ยฮุ่ยมีต่อหวงน้าสี่แทบจะดำเนินมาถึงขีดสุด
หวงน้าสี่ยิ้มเย็นชา พลางชี้ไปที่ศีรษะลูกชาย “โอ้ น้องสะใภ้ยังมีหน้ามาถามอีก ดูสภาพหัวลูกชายพี่สิ ถูกบ่าวของเจ้าตีซะจนเป็นแบบนี้!”
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยตกใจ หันไปมองพี่เฉียว
พี่เฉียวรีบก้าวเข้ามา “ฮูหยินขอรับ บ่าวไม่ได้ตั้งใจ คุณชายน้อยจะแย่งสำรับของว่างของท่านท่าเดียว บ่าวบอกแล้วว่า นี่เป็นของของฮูหยิน คนอื่นทานไม่ได้ แต่เขาก็ไม่ฟัง บ่าวจึงต้องแย่งคืน คุณชายน้อยก็กัดมือบ่าว บ่าวทนเจ็บไม่ไหว ไม่ทันระวัง…พอขวางเขา เขาก็พุ่งชนกำแพงไปเอง จากนั้นยังจะตีบ่าวอีก!”
ถ้าต่างฝ่ายต่างมีสัมพันธ์อันดีต่อกัน ไป๋เสวี่ยฮุ่ยก็คงพายเรือตามน้ำ ด่าว่าพี่เฉียวต่อหน้าต่อตาไปยกหนึ่ง กระทั่งตบไปฉาดหนึ่งด้วยซ้ำ เพื่อระงับความโกรธให้หวงน้าสี่ แต่ไป๋เสวี่ยฮุ่ยเกลียดพี่สะใภ้คนนี้เข้าไส้ เพราะนาง ทำให้ก่อนหน้านี้ตนต้องรองรับอารมณ์แม่สามีไปไม่น้อย ตอนนี้จะให้เอาใจนางได้อย่างไรกัน