สายตาของซย่าโหวถิงหยุดอยู่ที่ร่างของท่านหญิงหย่งจยาซึ่งนั่งอยู่ด้านหน้า
เป็นไปตามคาด ที่แท้ข่าวลือก็เป็นจริง ท่านหญิงหย่งจยาไม่เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าองค์หญิงจริงๆ
หนิงซีฮ่องเต้มีโอรสธิดามากมาย ถ้าไม่รวมพระธิดาที่สิ้นพระชนม์ก่อนวัยอันควรและอภิเษกสมรสไป ก็เหลือองค์หญิงเพียงหกท่าน ซึ่งองค์หญิงฉางเล่อซย่าโหวถิง เป็นหนึ่งในนี้ และมีสถานะสูงส่งสุด
ซย่าโหวถิงเป็นพระธิดาองค์ที่สิบของหนิงซีฮ่องเต้ ปีนี้อายุสิบห้า พระมารดาคือพระสนมของหนิงซีฮ่องเต้ในปีแรกๆ และจนถึงตอนนี้ก็ยังมีชีวิตอยู่ และเนื่องจากตระกูลของพระอัยกาเป็นตระกูลขุนนางชั้นสูง ซย่าโหวถิงจึงนับเป็นสตรีสูงศักดิ์ที่หยิ่งยโสคนหนึ่ง
อวิ๋นหว่านชิ่นพูดเสียงเบา “องค์หญิงใยต้องดูแคลนตนเองด้วยเล่า ทรงพูดเมื่อครู่มิใช่หรือว่า นั่นไม่เข้ากับกระแสหลัก เป็นพายุชั่วขณะ ยากที่จะกลายเป็นกระแสหลัก ซึ่งองค์หญิงก็คือของแท้ ที่เป็นนิรันดร์”
ซย่าโหวถิงหันมามอง ก่อนมีสีหน้าแปลกใจ
สาวใช้รีบว่า “ท่านนี้คือลูกสาวคนโตของเจ้ากรมอวิ๋น วันนี้มาอยู่เป็นเพื่อนองค์หญิงเพคะ”
เดิมทีซย่าโหวถิงมิได้ใส่ใจลูกสาวขุนนางที่จะมานั่งเป็นเพื่อนมากนัก แต่เมื่อมาแล้วก็มา ต่างคนต่างเล่นสนุกเป็นใช้ได้ ทว่าพอได้ยินคำพูดเมื่อครู่ของอวิ๋นหว่านชิ่น ก็รู้สึกโดนใจยิ่ง จึงดีใจมาก จับมืออวิ๋นหว่านชิ่นแล้วดึงให้เข้ามานั่งข้างๆ “ข้าชอบเจ้า เจ้านั่งเป็นเพื่อนข้านี่”
อวิ๋นหว่านชิ่นนั่งข้างๆ ซย่าโหวถิง ขณะกำลังคุยเรื่องสัพเพเหระเกี่ยวกับการล่าสัตว์ในวันนี้ ก็มีขันทีสองสามคนเดินขึ้นมา ในมือถือถาดไม้แดง บนถาดมีแส้ม้าฝีมือประณีตอย่าง แส้ม้าด้ามจับคริสตัล แส้ม้าขนแพะ เป็นต้น แจกจ่ายให้เหล่าองค์หญิงและท่านหญิง
ตามธรรมเนียมการล่าสัตว์ของปีที่แล้ว ถ้าเชื้อพระวงศ์ฝ่ายหญิงไม่ออกล่าสัตว์แบบฝ่ายชาย ก็สามารถขี่ม้าเล่นในเขตป่าล้อมได้ เพื่อให้การมาในครั้งนี้ ชนรุ่นหลังทั้งหญิงและชาย ล้วนไม่ลืมว่า ต้าเซวียนก่อร่างสร้างเมืองจากการขี่ม้าพิชิตศัตรู
แต่การที่ต่างคนต่างขี่ม้าเฉยๆ ก็ไม่มีความหมายอะไร นานวันเข้า จึงเกิดธรรมเนียมการแข่งม้าของสตรีสูงศักดิ์ขึ้น
ขันทีผู้เดินนำแจกจ่ายแส้ม้ากวาดตามองขึ้นไปยังสตรีสูงศักดิ์แต่ละท่านที่นั่งอยู่ด้านบน แล้วจึงนำถาดไปให้ท่านหญิงหย่งจยาเลือก “เชิญท่านหญิง”
ท่านหญิงหย่งจยาหันไปเหลือบมองเจี่ยงฮองเฮา ก่อนขยับเรียวปากอันแวววาว “ฮองเฮาเพคะ”
เจี่ยงฮองเฮารู้ว่าฝ่าบาททรงโปรดปรานนาง ก็ย่อมทำตามความคิดของพระองค์ จึงพูดเบาๆ
“เลือกเถิด”
ท่านหญิงหย่งจยาจึงไม่ลังเลใจอีก เลือกไปอันหนึ่ง ก่อนยิ้มหวานกับขันที แล้วว่า
“รีบนำไปให้ญาติผู้พี่กับญาติผู้น้องเลือกเถิด” ย่อมหมายถึงซย่าโหวถิงกับองค์หญิงตามเสด็จอีกสอง
พระองค์
ซย่าโหวถิงกับองค์หญิงอีกสองพระองค์จึงหน้าเปลี่ยนสี เหมือนกับว่า นางเลือกแส้ม้าก่อน แล้วที่เหลือค่อยมอบให้พวกตน เช่นนี้ใครจะไม่โกรธไม่ริษยาบ้าง คนอื่นยังว่าไปอย่าง แต่พวกตนเป็นถึงองค์หญิงแท้ๆ ของต้าเซวียนนะ!”
พอขันทียกถาดเข้ามา องค์หญิงทั้งสองจึงเลือกพลางข่มกลั้นความโกรธ ส่วนซย่าโหวถิงกลับพูดขึ้นมาอย่างเย็นชา “คนอื่นเลือกจนไม่เอาแล้ว ถึงได้เอามาให้ข้า? เห็นข้าเป็นพวกเก็บขยะหรือไง เอาออกไป”
ขันทีรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ ท่านหญิงหย่งจยาที่ได้ยินอย่างชัดถ้อยชัดคำ จึงหันมา กัดริมฝีปากแล้วว่า
“องค์หญิงสิบ นี่เป็นของที่เสด็จลุงฝ่าบาทให้คนนำมาให้เชียวนา”
คำพูดนี้ ประหนึ่งซย่าโหวถิงไม่ไว้หน้าหนิงซีฮ่องเต้ อวิ๋นหว่านชิ่นจึงช่วยซย่าโหวถิงเลือกมาอันหนึ่ง เพื่ออุดปากท่านหญิงหย่งจยา ก่อนบอกให้ขันทีถอยออก
ผ่านไปสักพัก ความโกรธของซย่าโหวถิงค่อยจางลง แต่ก็ยังมองค้อนท่านหญิงหย่งจยา และเห็นว่ามีลูกสาวขุนนางสองสามคนเข้ามาห้อมล้อมนาง พลางพูดคุยยิ้มหัว นางพูดอะไรหน่อย ทำอะไรหน่อย คนรอบข้างก็แสดงสีหน้ายกย่องชื่นชมและทึ่งไปตามๆ กัน จึงยิ่งขมวดคิ้วแน่น
อวิ๋นหว่านชิ่นหรี่ตามอง ไม่โทษซย่าโหวถิงที่โกรธ เพราะถ้าเป็นตน อาจโมโหยิ่งกว่านี้ด้วยซ้ำ ในเมื่อตนเป็นลูกสาวแท้ๆ ของบ้าน แต่จู่ๆ ก็มีลูกสาวของญาติจากนอกบ้านเข้ามาแย่งความรักของพ่อ ทำอะไรก็ทรงโปรดหมด ใครจะไม่โกรธบ้าง
ทว่า ผู้ซึ่งมีฐานะเป็นองค์หญิงสูงศักดิ์สุดอย่างซย่าโหวถิง ต่อให้เกลียดชังหย่งจยาแค่ไหน ก็ไม่สู้ดีถ้าจะทำอะไรนางอย่างโจ่งแจ้ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงองค์หญิงท่านอื่นๆ ดูไปแล้ว ตอนอยู่ในวัง ท่านหญิงหย่งจยาเป็นที่โปรดปรานมากจริงๆ
อวิ๋นหว่านชิ่นจึงพยายามใช้คำพูดสละสลวย “องค์หญิงใยต้องใส่พระทัยด้วยเพคะ ต่อให้นางร้ายกาจแค่ไหน ก็ไม่มีทางเกินหน้าองค์หญิงไปได้ ถึงฝ่าบาทเอ็นดูนางอย่างไร ทรงสามารถเอ็นดูนางมากกว่าพระธิดาแท้ๆ ขององค์เองเชียวหรือ”
ซย่าโหวถิงไม่พูดยังดี พอพูดแล้วก็ขึ้น “ข้าว่าเกินหน้าแล้วล่ะ เสด็จพ่อเห็นว่าตนเองมีลูกสาวมากมาย น้อยไปคนหนึ่งจะเป็นไรไป แต่หลานสาวสุดที่รักน่ะ มีคนนี้คนเดียว!”
“องค์หญิง!” สาวใช้คนสนิทเตือน เกรงว่าจะมีใครได้ยินเข้า
อวิ๋นหว่านชิ่นย่นหว่างคิ้ว “ไม่ค่อยได้เห็น ผู้ที่ชอบให้ลูกสาวบ้านอื่นมีชัยเหนือลูกสาวบ้านตน ดูๆ ไป ท่านหญิงท่านนี้ต้องมีวิธีที่แยบยลมาก”
ซย่าโหวถิงค่อยพูดเสียงต่ำลง แต่ยังคงบ่นระบาย
“เจ้าไม่รู้หรอก ตอนเป็นเด็ก นางมักแจ้นไปหาเสด็จพ่อ อ้าปากทีไรก็จะพูดถึงแต่บิดาลี่หยางอ๋อง ผู้พลีชีพเพื่อบ้านเมือง กับมารดาชายาลี่หยางอ๋องผู้ตรอมใจตายเพราะความรัก อีกทั้งพี่ชายที่อยู่ชายแดน กำลังปกป้องดินแดนให้แคว้นต้าเซวียน ทุกครั้งที่พูดก็จะน้ำตาไหลพราก เสด็จพ่อย่อมตื้นตันใจไม่เสื่อมคลาย ผู้อื่นปลอบ นางก็ไม่หยุดร้อง แต่พอเสด็จพ่อปลอบ นางก็หยุดร้องทันที ไม่รู้ฉอเลาะเสด็จพ่อเก่งแค่ไหน เฮอะ ตอนนางยังอยู่ในห่อผ้า ก็ถูกอุ้มเข้าวังแล้ว กระทั่งพ่อแม่ตัวเองหน้าตาเป็นอย่างไรยังไม่รู้ จะมีความรักความผูกพันกับพ่อแม่ได้อย่างไร ถ้าคิดถึงจริงๆ ทำไมไม่กลับไปล่ะ ยังไม่ได้พูดถึงเรื่องที่นางร้องไห้แบบคนเจ้าน้ำตา ที่ล้วนแล้วแต่เสแสร้งแกล้งทำ เพื่อให้เสด็จพ่อรู้สึกว่าติดค้างนาง! พอโตขึ้นมาอีกหน่อย นางก็คิดการแสดงเต้นรำแบบพิลึกพิลั่นขึ้นมา ทั้งร้องทั้งเต้นต่อหน้าเสด็จพ่อ ทำให้เสด็จพ่อเจริญตาเจริญใจยิ่ง และมักตรัสว่านางคือผลไม้แห่งความสุข การร้องเต้นของนางดูแปลกๆ ไม่เข้ากับแบบแผนดนตรีและการเต้นรำของชาววัง เป็นอีกแนวหนึ่งไปเลย แบบที่ทำให้คนดูชอบใจน่ะ! มีอีก นางรู้ว่าเสด็จพ่อชอบบทกวี ก็ยิ่งสนองตอบ มักส่งโคลงกลอนที่แต่งเองให้เสด็จพ่อวิจารณ์ พอเสด็จพ่อเห็นผลงานนาง ก็ทึ่งมาก บอกว่ากลอนของนางไม่เคยมีมาก่อน และต่อไปก็ไม่มีใครแต่งได้ ยังพูดอีกว่าอะไร ‘เสียดายที่ท่านหญิงหย่งจยาของเราเป็นอิสตรีและมีสถานะสูงส่ง ไม่สะดวกออกนอกวัง ซึ่งถ้าได้ออกไป ผู้คนทั้งหญิงทั้งชายไหนเลยจะสู้นางได้!’ หึ นึกว่าข้าไม่รู้รึ ข้ากับนางโตมาด้วยกันในวัง ปกตินางไหนเลยจะชอบอ่านหนังสือ เอาแต่คิดหาวิธีเอาอกเอาใจเสด็จพ่อ ไม่รู้ว่าเหมือนกันว่ากวีนิพนธ์เหล่านั้น ลอกเลียนมาหรือเปล่า!”