ตอนที่ 1829 โลกหล้าคือสิ่งใด
เมื่อผู้เฒ่าได้ยินคำพูดเช่นนี้เช่นนี้ เขาจ้องมองไปที่หลี่ชิเย่ และกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้นเจ้ามาทำไม?”
“ยุคที่ยิ่งใหญ่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว เริ่มมีการแก่งแย่งสับสนวุ่นวาย“ หลี่ชิเย่กล่าวว่า “โลกใบนี้ต้องการราชันเซียนเก้าแดนเช่นเจ้า ต่อให้ข้าไม่ต้องการเจ้า ร้อยชาติพันธุ์ก็ต้องการเจ้า”
“ข้าแก่แล้ว” ผู้เฒ่าส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “ข้ารู้ตัวเองดีว่ามีความสามารถแค่ไหน ฝีมือเล็กน้อยแค่นี้ของข้ายากทำการใหญ่ได้ จอมราชันเซียนหวัง ราชันเซียนเก้าแดนบนโลกนี้มีอยู่มากมาย ร้อยชาติพันธุ์เองก็มีเซียนหวัง ราชันเซียนที่อยู่ในระดับสูงสุดคอยดูแล ฝีมือน้อยนิดของข้ามีประโยชน์ไม่มาก
“เจ้าผิดไปแล้ว” หลี่ชิเย่ส่ายหน้าและกล่าวว่า “ข้าไม่ได้บอกให้เจ้าไปต่อยตีกับเขา และข้าก็ไม่ได้ให้เจ้าไปบุกตะลุยโจมตีข้าศึก อีกอย่างเจ้าเองก็คงขี้คร้านจะไปบุกตะลุยโจมตีข้าศึกอยู่แล้ว“
“งั้นเจ้าจะให้ข้าไปทำอะไร?” ผู้เฒ่ากล่าวพร้อมกับจ้องมองหลี่ชิเย่
“ห้ามทัพ” หลี่ชิเย่หัวเราะ และกล่าวว่า “เจ้าลองคิดดูสิ จอมราชันเซียนหวัง ราชันเซียนเก้าแดนทั้งสองฝ่ายเตรียมจะต่อสู้กันสักครั้ง ทั้งสองฝ่ายต่างก็พับแขนเสื้อขึ้นมาแล้ว พร้อมที่จะเล่นกันอย่างเต็มที่ ในเวลานี้เอง พลันปรากฏว่ามีการท้องเสียปล่อยลงมาจากท้องฟ้าอย่างกะทันหัน ทำเอาทั้งสมรภูมิรบเหม็นอย่าบอกใครเชียว”
“ไม่แน่นัก บรรดาจอมราชันเซียนหวัง ราชันเซียนเก้าแดนก็ต้องโดนกันเล็กๆ น้อยๆ บ้าง เจ้าลองคิดดู ในเวลานั้น บรรดาจอมราชันเซียนหวัง ราชันเซียนเก้าแดนยังจะตีกันได้อีกรึ? มิสู้ทุกคนแยกย้ายกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ากัน” เมื่อหลี่ชิเย่เอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว ทำท่าทางเหมือนคนที่เล่นพิเรนทร์ขี้โกงอยู่บ้างจนต้องหัวเราะออกมา
“แม่งสิ“ ผู้เฒ่ากล่าวอย่างเคืองๆ ว่า “เจ้านั่นแหละที่ท้องเสีย!“
“นี่แค่เปรียบเทียบ แค่เปรียบเทียบ” หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะเสียงดังขึ้นมา และกล่าวว่า “ข้าเพียงแต่บอกว่า ขอเพียงเจ้าก่อกวนที่สมรภูมิรบ ทำให้ทุกคนหมดอารมณ์ ทุกคนก็ตีกันไม่ได้แล้ว! เจ้าดูสิ นี่แหละคือเหตุผลการมีชีวิตอยู่ของเจ้า อานุภาพยากจะหาผู้ใดเทียมในหล้า เพื่อสันติภาพของแดนที่สิบ เพื่อความอยู่รอดของร้อยชาติพันธุ์ ข้ารู้สึกว่าเจ้ามีชีวิตอยู่จนชั่วฟ้าดินสลายก็ไม่ใช่ปัญหา”
ผู้เฒ่ามองดูหลี่ชิเย่ทีหนึ่ง ในเวลานี้ตัวเขาซึ่งเป็นประเภทที่ไม่รู้สึกสนใจต่อสรรพสิ่งบนโลกยังต้องสงสัยอยู่บ้าง กล่าวว่า “เจ้าคงไม่ใช่แปลงเพศมาแล้วนะ?”
“เจ้าหน่ะสิแปลงเพศมา” หลี่ชิเย่ใช้เท้าถีบไปทีหนึ่งอย่างไม่เกรงใจ กล่าวว่า “พูดคุยกันดีๆ ได้มั้ย?”
“ข้าอยู่มาถึงปูนนี้ อีกาทมิฬที่ข้ารู้จักไม่ใช่คนที่ห้ามคนตีกันอย่างแน่นอน” ผู้เฒ่าพูดไปตามความเป็นจริงว่า “อีกาทมิฬที่ข้ารู้จักคือ ไปถึงไหนฆ่าถึงนั่น ขอเพียงมีตัวเขาอยู่ก็คือฝนเลือดลมคาว ไม่เคยเห็นเลยว่าอีกาทมิฬจะไปเป็นคนไกล่เกลี่ย! ยิ่งไม่ต้องไปพูดถึงว่าไปห้ามทัพให้กับจอมราชันเซียนหวัง ราชันเซียนเก้าแดนสองค่าย ครั้งนั้นเจ้าคือผู้ที่ก่อตั้งศึกล่าราชันขึ้นมา เปลี่ยนนิสัยตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ไม่เล่นบทฆ่าฟันกันแล้วรึ?”
“นี่เป็นการบ่งบอกว่าข้าเป็นผู้ที่ชมชอบสันติ” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวว่า “ชมชอบสันติ เข้าใจมั้ย เฉกเช่นตัวข้าเกิดมาก็เพื่อความสุขของมวลสรรพชีวิต เพื่อสันติของโลก การตีรันฟันแทงมันก็แค่เปลือกนอกเท่านั้นเอง”
ผู้เฒ่าไม่ใยดีต่อคำพูดลักษณะเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ แน่นอนเขาย่อมไม่เชื่ออยู่แล้ว และกล่าวว่า “แม้แต่อีกาทมิฬยังชมชอบสันติ ถ้าเช่นนั้นก็ไปสวรรค์ได้แล้วสิ”
“อย่าเอาข้าไปเปรียบเหมือนเป็นจอมมารอย่างนั้น พูดเสียเหมือนว่าข้าเป็นผู้คลั่งไคล้ในการฆ่าคนอย่างนั้น” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าว
“ใกล้เคียงหล่ะมั้ง” ผู้เฒ่ากล่าวว่า “ในโลกนี้ยังจะมีจอมราชันเซียนหวัง ราชันเซียนเก้าแดนที่สามารถฆ่าคนได้มากกว่าเจ้า เกรงว่าคงหาได้ยาก”
“เอาเถอะ จอมมารฆ่าคนก็จอมมารฆ่าคน” หลี่ชิเย่ทำท่ายักไหล่ทีหนึ่ง เขาไม่ใส่ใจกับคำพูดเช่นนี้ กล่าวว่า “หลังจากเจิดจรัสแล้ว ต้องมืดมิดอย่างปน่นอน ข้าเพียงมีคุณธรรมมีเมตตาต่อสรรพชีวิตเท่านั้นเอง คาดหวังสามารถคงเชื้อไฟเอาไว้บ้างท่ามกลางความมืดมิด ให้เชื้อไฟนี้สามารถนำทางให้หมื่นชาติพันธุ์ได้ก้าวเดินไปข้างหน้าต่อไปท่ามกลางความมืดมิดนี้”
“แน่นอน หากมีใครคิดขวางทางของข้า ข้าก็จนปัญญา ได้แต่กวาดให้เรียบ ในเมื่อมีคนอยากจะตายข้าได้แต่สงเคราะห์พวกเขา” เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้แล้ว สายตาของเขาดูน่ากลัวขึ้นมา
“ไม่มีอารมณ์” ผู้เฒ่าปฏิเสธคำเชิญของหลี่ชิเย่ กล่าวว่า “มนุษย์โลกจะเป็นหรือจะตายเกี่ยวอะไรกับข้า หมื่นชาติพันธุ์จะรุ่งเรืองหรือเสื่อมแล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้า ความมืดมิดและสว่างก็ไม่เกี่ยวกับข้า ข้าเป็นเพียงคนที่รอความตายเท่านั้นเอง”
“พูดมาก็ถูก” หลี่ชิเย่เองไม่รู้สึกเหนือความคาดคิดกับคำปฏิเสธของผู้เฒ่า และกล่าวว่า “กล่าวสำหรับคนเป็นที่ตายไปแล้วนั้น สามารถตายเร็วหน่อยกลับเป็นเรื่องดี”
คำพูดเช่นนี้สำหรับผู้เฒ่าแล้ว เขาเรียบเฉยมากไม่รู้สึกอะไร
“ในโลกนี้ยังมีสิ่งที่เจ้าเป็นห่วงหรือไม่?” หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ หลี่ชิเย่มองดูผู้เฒ่าแล้วกล่าวด้วยท่าทีจริงจังว่า “ในโลกนี้ยังมีสิ่งที่เจ้าปล่อยวางไม่ลงหรือไม่?”
“ไม่มี” ผู้เฒ่าพูดด้วยอารมณ์เรียบเฉย เหมือนดั่งเป็นน้ำในบ่อที่นิ่งเท่านั้น
“ลูกหลานของตัวเองเล่า คนที่ตนรัก คนที่ตัวเองแคร์หละ?” หลี่ชิเย่จ้องเขม็งไปที่ผู้เฒ่า และกล่าวว่า “เป็นต้นว่าเมียที่อยู่เก้าแดนของเจ้า หรือเป็นต้นว่าเมียจากเผ่ามารที่อยู่ตรงนี้?”
“ถ้าหากในโลกนี้มีอะไรที่ข้าแคร์ มี มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น” ผู้เฒ่าเรียบเฉยยิ่งนัก ดั่งน้ำในบ่อที่ไม่กระเพื่อม กล่าวว่า “ตายได้เมื่อไหร่?”
“สิ่งนี้กล่าวสำหรับเจ้าแล้วยากนิดหนึ่ง” หลี่ชิเย่ได้แต่พูดขึ้นมาช้า
“ข้ารู้” ผู้เฒ่ากล่าวด้วยท่าทีเรียบเฉยว่า “แม้แต่อยากตายยังตายไม่ได้ นี่แหละคือเรื่องที่เศร้าที่สุดของชีวิต!”
“ความตายไม่น่ากลัว กระทั่งเป็นที่พึ่งพิงสุดท้ายอย่างหนึ่ง ถ้าหากคิดจะตายยังตายไม่ได้ นั่นก็คือหนึ่งในความเจ็บปวดมากที่สุดของชีวิตคนเรา” หลี่ชิเย่พยักหน้าเบาๆ
เขาคือผู้ที่ไม่มีวันตาย เคยผ่านภัยพิบัติมานับไม่ถ้วน ผ่านความเจ็บปวดมานับไม่ถ้วน ย่อมเข้าใจได้ว่า เมื่อคนๆ หนึ่งกระทั่งอยากตายยังตายไม่ได้นั่นคือความทุกข์อย่างหนึ่ง บางครั้งความตายไม่ได้เป็นเรื่องที่น่ากลัวเสมอ
ผู้เฒ่ายังคงกอดกระด้งอยู่ไม่ได้พูดอะไรอีก
เฉกเช่นตัวเขาที่เป็นประเภทเทวดาและผียังรังเกียจ แม้แต่ฟ้าดินก็ไม่มายุ่งอะไรกับเขา ไม่ว่าจะดำรงอยู่ในฐานะเช่นใดก็ตาม ก็จะไปให้ไกลจากตัวเขา มาถึงขั้นนี้แล้วในโลกนี้ไม่มีอะไรที่ไม่รังเกียจอีกแล้ว
ต่อให้เขาคิดอยากจะตายก็ตายไม่ได้ สภาพเช่นนี้ของเขาเท่ากับตายยาก ฆ่าตัวตายก็ไม่ตาย มีชีวิตอยู่ก็ไม่ตาย ภายใต้สภาพเช่นนี้ของเขาได้แต่มีชีวิตอยู่ไปเรื่อยๆ ไม่แน่นักวันหนึ่งอาจจะตายไปดื้อๆ ก็เป็นได้
มองดูผู้เฒ่าที่ยังคงกอดกระด้งเอาไว้ หลี่ชิเย่ได้แต่ทอดถอนในออกมาเ และกล่าวว่า “ดูท่าเจ้าได้ก้าวเดินบนเส้นทางสายนี้จนถึงที่สุดแล้วจริงๆ กระทั่งเกินกว่าขีดจำกัดไปแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้สำหรับเจ้าแล้วอย่างไรก็ได้ ซึ่งแตกต่างจากแนวความคิดของข้าอยู่บ้าง”
“เจ้าคิดไม่ถึงก็ใช่เป็นเรื่องแปลก จะอย่างไรเสียยังไม่เคยมีใครก้าวเดินไปถึงขั้นเทวดาและผีไม่ต้องการ แม้แต่สวรรค์ก็ไม่มายุ่งด้วย” ผู้เฒ่ากล่าวด้วยท่าทียังไงก็ได้
“ไม่เคยมีสวรรค์ลงทัณฑ์ปรากฏเลยสิ?” หลี่ชิเย่เองก็รู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง และนี่ก็คือเป้าหมายที่สองที่เขามาหาผู้เฒ่าผู้นี้
“ข้าเองก็อยากให้สวรรค์โจรจะส่งสวรรค์ลงทัณฑ์ลงมา แต่ก็ไม่เคยประสบพบเจอ ตั้งแต่ก้าวเดินบนเส้นทางสายนี้แล้ว สวรรค์ลงทัณฑ์ไม่เห็นแม้แต่เงา”
“ไม่รู้ว่าเรื่องนี้สมควรจะดีใจ หรือรู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าเศร้า” หลี่ชิเย่ถึงกับยิ้มเจื่อนๆ
ในฐานะที่เป็นราชันเซียนเก้าแดน กลับไม่ถูกสวรรค์ลงทัณฑ์ ช่างเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อจริงๆ
ตลอดเวลาที่ผ่านมา จอมราชันเซียนหวัง ราชันเซียนเก้าแดนจำนวนเท่าไรที่ได้ยินคำว่าสวรรค์ลงทัณฑ์แล้วต้องหน้าถอดสี ต่อให้เป็นจอมราชันเซียนหวัง ราชันเซียนเก้าแดนที่ปราศจากผู้ต่อกรเช่นใดก็ตามก็ต้านสวรรค์ลงทัณฑ์ไม่ไหว ยามที่สวรรค์ลงทัณฑ์ลงมา มักจะหมายถึงความตายเสมอ
สวรรค์ลงทัณฑ์ไม่ปรากฏ ย่อมเป็นการบ่งบอกว่าจอมราชันเซียนหวัง ราชันเซียนเก้าแดนสามารถปรากฏตัวบนโลกอย่างอิสระเสรี
หากเปลี่ยนเป็นจอมราชันเซียนหวัง ราชันเซียนเก้าแดนองค์อื่น เมื่อสวรรค์ลงทัณฑ์ไม่ปรากฎช่างเป็นเรื่องที่น่าดีใจขนาดไหน เกรงว่าสามารถทำให้จอมราชันเซียนหวังต้องคลั่งไคล้กับเรื่องนี้
แต่กับผู้เฒ่าที่อยู่ตรงหน้ากลับไม่ใช่เป็นเรื่องที่สมควรจะดีใจ กล่าวสำหรับเขาแล้วมันคือละครเศร้า ถ้าหากสวรรค์จะลงทัณฑ์กับเขาล่ะก็ สำหรับเขาแล้วก็คือการหลุดพ้นอย่างหนึ่ง!
เสียดาย เขาได้อาศัยอยู่ในโลกมนุษย์ผ่านไปยุคแล้วยุคเล่า สวรรค์ลงทัณฑ์ก็ยังไม่ปรากฏเสียที เขาได้แต่มีชีวิตอยู่ต่อไปยุคแล้วยุคเล่า ปัญหาก็คือการที่เขามีชีวิตอยู่เช่นนี้ก็จะไม่ตาย
“ถ้าหากเจ้าไม่มีเรื่องอะไรอีก ก็ควรจะกลับไปได้แล้ว ข้าอยากจะงีบสักนิดหนึ่งหลับสักพัก กินไม่อิ่ม ต้องพักผ่อนเอาแรง มิฉะนั้นล่ะก็กลางคืนหิวแล้วสุดจะทน” ผู้เฒ่ากล่าวเรียบเฉยขึ้นมา
“เอาเถอะ” หลี่ชิเย่ได้แต่ยักไหล่ และกล่าวว่า “คงได้เพียงเท่านี้แหละ แม้ว่าจะเป็นการมาเสียเที่ยวเปล่า แต่ข้ายังคงอวยพรให้เจ้าตายไวๆ”
ถ้าหากอวยพรให้คนอื่นตายไวๆ ไม่แน่นักอาจนำความยุ่งยากมาให้ แต่ สำหรับผู้เฒ่าแล้ว การอวยพรให้เขาได้ตายไวๆ นั่นคือพรที่ล้ำเลิศที่สุดแล้ว
ผู้เฒ่าพยักหน้า เขาใช้มือคลำเพื่อที่จะขึ้นไปบนเตียง กึ่งนั่งกึ่งนอนและหนังตาที่มีลมหายใจแต่ไร้เรี่ยวแรงค่อยๆ ปิดลง
หลี่ชิเย่ถึงกับทอดถอนใจออกมาเบาๆ มองดูผู้เฒ่าที่นอนอยู่บนเตียงไม้ที่ทั้งเก่าและชำรุดนั่น นี่คือราชันเซียนองค์หนึ่งนะเนี่ย คนที่ไม่รู้ความจะเชื่อได้อย่างไรว่าผู้เฒ่าที่อยู่ตรงหน้าก็คือราชันเซียนที่ปราศจากผู้ต่อกรคนหนึ่งเล่า
หลี่ชิเย่ส่ายหน้าเบาๆ ลุกขึ้นยืน กำลังจะเดินออกไปข้างนอก
“ใต้เท้าอีกาทมิฬ” ขณะที่หลี่ชิเย่ยังไม่ทันได้ก้าวข้ามประตูธรณี ผู้เฒ่าได้ลืมตาและเรียกหลี่ชิเย่เอาไว้ด้วยท่าทีที่มีลมหายใจแต่ปราศจากเรี่ยวแรง
“มีเรื่องอะไรที่ข้าสามารถช่วยได้หรือเปล่า?” หลี่ชิเย่หยุดเดินและหันกลับมา
เวลานี้ ผู้เฒ่าที่สั่นระริกได้ล้วงหยิบเอากระดาษสีเหลืองที่ยับๆ ออกมาแผ่นหนึ่ง มันทั้งเก่าทั้งขาด ดูท่ากระดาษสีเหลืองแผ่นนี้ไม่รู้ว่าได้ผ่านการขยำมาแล้วกี่ครั้ง
“ข้าไม่ได้มีความสนใจต่อโลกใบนี้อีกแล้ว” ผู้เฒ่าได้ยื่นกระดาษสีเหลืองที่ยับยู้ยี่แผ่นหนึ่งให้กับหลี่ชิเย่ และกล่าวว่า “แต่ว่า บางครั้งข้าก็อดที่จะมองดูสวรรค์ มองดูสุดปลายทางของโลกใบนี้ไม่ได้ บังเอิญคิดได้ ดังนั้นข้าจึงเอาประสบการณ์เล็กๆ น้อยๆ เขียนบันทึกเอาไว้”
“ใต้เท้าอีกาทมิฬเป็นผู้ที่ผ่านมาแล้วหมื่นยุค ไม่ขาดแคลนเรื่องเคล็ดลับและเคล็ดวิชา” ผู้เฒ่ากล่าวว่า “ข้าเพียงหวังว่าประสบการณ์เล็กน้อยนี้จะไม่ถูกทิ้งขว้างไป หากใต้เท้าอีกาทมิฬสนใจสามารถเปิดดูได้ หากไม่สนใจก็หาคนๆ หนึ่งถ่ายทอดไป หรือจะเก็บเอาไว้”
หลี่ชิเย่รับกระดาษสีเหลืองจากผู้เฒ่ามา พบเก็บเรียบร้อยและเก็บเอาไว้อย่างดี พยักหน้าและกล่าวว่า “ข้าจะศึกษาพินิจพิเคราะห์มันอย่างละเอียด”
ผู้เฒ่าพยักหน้า สุดท้ายมองดูหลี่ชิเย่แล้วเอ่ยขึ้นมาช้าๆ ว่า “แม้ว่าข้าจะรอความตาย ความมืดมิดสำหรับข้าแล้วกลับจะเป็นเรื่องดี ไม่แน่นักข้าอาจตายได้เร็วขึ้น แต่ว่า ข้ายังคงอวยพรให้ใต้เท้าประสบความสำเร็จการการต่อสู้ครั้งสุดท้าย และได้รับชัยชนะกลับมา ในโลกใบนี้คงมีเพียงใต้เท้าอีกาทมิฬเท่านั้นที่สามารถสู้รบจนถึงสุดท้ายแล้ว”
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น” หลี่ชิเย่ทอดถอนใจออกมาเบาๆ หันหลังจากไป
ผู้เฒ่าค่อยๆ หลับตาลง และค่อยๆ หลับไปในที่สุด