ตอนที่ 1844 จอมเทพท่าซิง
จอมเทพเสินกง ซึ่งเป็นจอมเทพที่แข็งแกร่งที่สุดของตระกูลขุนนางโบราณตงกง ยามที่เขายืนอยู่ตรงนั้น เสมือนหนึ่งเป็นผู้กำหนดทุกอย่างเอาไว้แล้ว เขาได้กลายเป็นผู้บงการสูงสุดของเมืองสวรรค์นอกอาณาจักร กระทั่งกลายเป็นผู้บงการท้องฟ้าที่พร่างพราวด้วยดวงดาวผืนนี้
จอมเทพเสินกงที่ยืนอยู่ ณ ตรงนั้น ไม่ได้มีการเคลื่อนไหวอะไรมากมาย แต่ว่า ความรู้สึกของผู้คนมองว่า ทุกๆ ความเคลื่อนไหวของเขาล้วนแล้วแต่สามารถชักนำท้องฟ้าให้เคลื่อนไหวตาม เหมือนว่าทุกสิ่งทุกอย่างบนท้องฟ้าล้วนแล้วแต่หมุนตามอยู่รอบๆ ตัวของเอย่างนั้น ไม่มีผู้ใดสงสัยว่าเพียงหนึ่งฝ่ามือของเขาสามารถทำลายเมืองสวรรค์นอกอาณาจักรทั้งหมดได้
ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนทั้งหมดในเมืองสวรรค์นอกอาณาจักรต่างรู้สึกหวาดกลัวเป็นอันมากอยู่ภายในใจเมื่อได้เห็นจอมเทพเสินกง ภายใต้อานุภาพจอมเทพที่ตลบอบอวลระหว่างเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดิน ส่งผลให้ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากที่ก้มกราบอยู่ตามถนนหนทาง และทั่วทั้งเมืองสวรรค์นอกอาณาจักรกลับกลายเป็นเงียบสงัดยิ่งนัก
นาทีนี้ เหมือนหนึ่งว่าทุกสิ่งทุกอย่างทั่วทั้งเมืองสวรรค์นอกอาณาจักรล้วนแล้วแต่หยุดลง แม้แต่สุริยันจันทราแลดวงดาวนอกเมืองก็หยุดลงโดยพลัน เหมือนว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่รอฟังคำสั่งของจอมเทพเสินกงผู้มีฐานะสูงสุด
“ผู้เยาว์ ทำเกินไปแล้ว” ในเวลานี้ จอมเทพเสินกงได้เปิดปากพูดออกมาแล้ว เสียงดังฟ้าร้อง บนท้องฟ้าดังก้องด้วยเสียงของเขา ทุกๆ คำพูดที่หลุดจากปากของเขาล้วนแล้วแต่กลับกลายเป็นหลักกฎเกณฑ์ หนักแน่นจริงจัง ปากพร่ำบ่นเป็นคาถา สยบทั่วหล้า
ท่าทีของจอมเทพเสินกงยังคงสงบนิ่งไม่ได้แสดงอาการโกรธ ต่อให้เขาไม่ได้แสดงอาการโกรธ แต่ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากเมื่อได้ยินเสียงของเขาแล้วก็ต้องสั่นเทาไปทั้งร่าง เขาไม่แสดงอาการโกรธแต่เปี่ยมด้วยอำนาจ
“บุญคุณความแค้นในโลกหล้ามากมายดั่งดอกเห็ด รื้อตระกูลขุนนางโบราณตงกงของข้าไปแล้วน่าจะเพียงพอแล้ว ถึงกับต้องทำลายล้างตระกูลขุนนางโบราณตงกงของพวกเราเลยรึ?” เวลานี้จอมเทพเสินกงพูดออกมาจากใจ ท้องฟ้าเบื้องบนถึงกับปรากฏบุปผาสวรรค์โปรยปรายลงมา ทุกๆ คำพูดของเขาล้วนแล้วแต่เปี่ยมด้วยพลังอำนาจสูงสุด ทุกๆ คำพูดของเขาเสมือนหนึ่งมีการตรึงเอาไว้กับผืนแผ่นดินอย่างนั้น ทำให้ผู้คนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
มียอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่คุกเข่าอยู่รอบๆ บริเวณนั้นเป็นจำนวนมากมีเพียงหลี่ชิเย่เท่านั้นที่เอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขากล่าวเรียบเฉยขึ้นมาว่า “นับแต่อดีตกาลที่ผ่านมา การสลายกลายเป็นเถ้าธุลีก็มีมากดั่งดอกเห็ด สำนักต่างๆ ที่สลายไปท่ามกลางสายน้ำกาลเวลาเหมือนดั่งทรายที่อยู่ในแม่น้ำ นับไม่หวั่นไม่ไหว วันนี้หากไม่ใช่เจ้าทำลายล้างข้า พรุ่งนี้ก็คือข้าที่ทำลายล้างเจ้า แม้ว่าวันนี้ข้าจะไม่ทำลายล้างตระกูลขุนนางโบราณตงกงของพวกเจ้า พรุ่งนี้ตระกูลขุนนางโบราณตงกงของพวกเจ้าต้องทำลายล้างตระกูลเผิง สิ่งนี้เป็นเพียงกงล้อที่หมุนไป ข้าแค่ช่วงชิงโอกาสลงมือก่อนเท่านั้นเอง”
ในเวลานี้ ทุกคนไม่สนใจว่าหลี่ชิเย่นั้นมีประวัติความเป็นมาเช่นใดกันแน่อีกต่อไป สามารถยืนพูดเจื้อยแจ้วต่อหน้าจอมเทพที่มีดวงตราสัญลักษณ์สิบดวงได้ ท่าทางดูสบายๆ และตามอารมณ์ อาศัยความกล้าและจิตใจเช่นนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนเลื่อมใสทั้งกายและใจแล้ว
ต่อให้ผู้ได้รับการเคารพสูงสุดระดับสวรรค์สัจธรรมที่มีพลังขมุกขมัวกว่าพันล้านลิตร เกรงว่าเมื่อต้องมาอยู่ต่อหน้าจอมเทพที่มีดวงตราสัญลักษณ์สิบดวงแล้วก็ต้องเข่าอ่อนทั้งสองข้าง ไม่กล้าพูดคุยเจื้อยแจ้วเช่นนี้ และไม่สามารถทำได้อย่างสบายๆ อิสระเสรี ทุกอย่างเป็นไปดั่งใจปรารถนาได้
ดังนั้น บรรดาผู้ยิ่งใหญ่รุ่นอาวุโสที่คุกเข่าก้มกราบอยู่ ณ เวลานี้ ต่างรู้สึกเคารพเลื่อมใสในตัวหลี่ชิเย่เป็นอันมาก ความกล้าหาญเช่นนี้นับว่ายากจะหาผู้ใดเทียมในหล้าแล้ว
“พูดเช่นนี้ เจ้าดึงดันจะออกหน้าแทนตระกูลเผิงหน่ะสิ” จอมเทพเสินกงเอ่ยขึ้นมาช้าๆ
“ก็ยังไม่ถึงขั้นออกหน้าแทนตระกูลเผิงเสียทีเดียว” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวออกมาตามอารมณ์ว่า “ข้าคือเผ่าพันธุ์มนุษย์ จะช้าหรือเร็วก็ต้องรบกันอยู่แล้ว งั้นก็อุ่นเครื่องกันก่อนก็แล้วกัน”
คำพูดของหลี่ชิเย่ทำให้ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนของร้อยชาติพันธุ์ในเมืองสวรรค์นอกอาณาจักรจำนวนมากถึงกับเย็นวาบในใจ แม้ว่านับแต่ศึกล่าราชันในครั้งนั้นแล้ว เผ่าเทพ เผ่ามาร และเผ่าสวรรค์ทั้งสามเผ่าไม่ค่อยได้ระเบิดศึกใหญ่กับร้อยชาติพันธุ์แล้ว
แต่ว่า ดูจากเรื่องราวการลอบโจมตีจินเก๋อเมื่อหลายปีก่อน ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีระดับจอมเทพเข้าร่วมศึกในครั้งนั้น ขาดแต่ระดับจอมราชันเซียนหวัง ราชันเซียนเก้าแดนที่เข้าร่วมโดยตรงเท่านั้น
หรือบางทีสถานการณ์ระหว่างเผ่าเทพ เผ่ามาร และเผ่าสวรรค์ทั้งสามเผ่ากับร้อยชาติพันธุ์ไม่ได้ดีเหมือนอย่างที่ทุกคนจินตนาการเอาไว้ บางที ระหว่างเผ่าเทพ เผ่ามาร และเผ่าสวรรค์ทั้งสามเผ่ากับร้อยชาติพันธุ์อาจจะมีการระเบิดศึกครั้งยิ่งใหญ่ยากจะหาใดเทียมเพื่อชี้ขาดอีกครั้ง!
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นให้ข้าได้ประจักษ์ฝีมือสุดยอดของเจ้าก็แล้วกัน” ในขณะนี้จอมเทพเสินกงก็ไม่พูดมากความอีกต่อไป มือข้างหนึ่งยื่นไปคว้าตัวหลี่ชิเย่
เสียง “ตูม…” ดังสนั่น ขณะที่มือข้างนี้ตบลงมานั้น มิติกาลเวลาพลันแหลกละเอียด ปรากฏเป็นหลุมดำที่น่ากลัวขึ้นมา ภายใต้หนึ่งฝ่ามือนี้ทุกอย่างล้วนแล้วแต่กลายเป็นเถ้าธุลีไปสิ้น เหมือนว่าไม่มีสิ่งใดในหล้าสามารถป้องฝ่ามือนี้เอาไว้ได้
แม้แต่ผู้ได้รับการเคารพสูงสุดระดับสวรรค์สัจธรรมที่มีพลังขมุกขมัวกว่าสามพันล้านลิตรก็ต้องตกใจจนวิญญาณแทบออกจากร่างเมื่อฝ่ามือนี้ซัดเข้ามา เนื่องจากหนึ่งฝ่ามือนี้สามารถทำให้ผู้ดำรงอยู่ในฐานะเช่นเขาพลันถูกทำลายล้างในทันที สามารถสังหารยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนระดับทิพยสัจธรรมใดๆ ได้ในทันที ผู้บำเพ็ญตนที่อยู่ในระดับต่ำกว่าจอมเทพล้วนแล้วแต่เฉกเช่นมดปลวกภายใต้ฝ่ามือนี้ กระทั่งเทียบไม่ได้แม้แต่มดปลวกด้วยซ้ำ
มองดูฝ่ามือที่ซัดทำลายมิติกาลเวลาอย่างง่ายดายด้วยความชำนาญ ทุกคนต่างรู้สึกสั่นเทา กล่าวโดยไม่เป็นการอวดอ้างว่า หนึ่งฝ่ามือจอมเทพเสินกงนี้สามารถทำลายสิ้นยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนของเมืองสวรรค์นอกอาณาจักรได้ทั้งหมด
“ปัง” เสียงหนึ่งที่ดังขึ้นโดยไม่ได้ดังมากมายนัก เพียงแต่เป็นเสียงของหนึ่งฝ่ามือธรรมดาๆ ที่ซัดออกไป คล้ายๆ กับการเล่นตบแปะของมนุษย์ปุถุชนธรรมดา แต่หนึ่งฝ่ามือที่ซัดออกมานั้นกลับเป็นเสียงที่ก้องอยู่ในหูของคนทุกคน
ฝ่ามือของจอมเทพเสินกงที่ซัดเข้าไปโดยตรงนั้นกลับถูกหนึ่งฝ่ามือต้านรับเอาไว้ หนึ่งฝ่ามือที่สามารถทำลายมิติกาลเวลาได้อย่างง่ายดายฝ่ามือนี้ กลับไม่ได้นำมาซึ่งความเสียหายต่อสิ่งใดๆ เลย
ทุกคนต่างรู้สึกถึงหัวใจที่เต้นกระตุกทีหนึ่ง นี่มันคือหนึ่งฝ่ามือที่มาจากจอมเทพที่มีดวงตราสัญลักษณ์สิบดวงเลยนะ กลับถูกรับเอาไว้ได้อย่างง่ายดายเช่นนี้! ทุกคนทยอยกันหันมองกลับไป
แรกทีเดียวทุกคนยังเข้าใจว่าเป็นหลี่ชิเย่ที่รับฝ่ามือนี้ของจอมเทพเสินกงเอาไว้ แต่เมื่อมองให้ชัดเจนจึงได้พบว่า หลี่ชิเย่ไม่ได้เป็นผู้รับฝ่ามือนี้เอาไว้ เป็นผู้เฒ่าคนหนึ่งที่รับฝ่ามือนี้แทน
ผู้เฒ่าผู้นี้มี่ร่างกายที่กำยำสูงใหญ่ การยืนอยู่ ณ ที่ตรงนั้นของเขาคล้ายดั่งเป็นภูเขาลูกหนึ่ง สีผมของเขาออกเป็นสีดอกเลา ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น แต่ว่าโครงหน้าของเขาชัดเจนมากคล้ายดั่งใช้มีดแกะเอาอย่างนั้น ทุกๆ เส้นเค้าโครงของใบหน้าเปี่ยมด้วยพลัง โดยเฉพาะคู่ดวงตาคู่นั้นที่มั่นคงมีพลัง เหมือนว่าไม่มีสิ่งใดสามารถสั่นคลอนสายตาของเขาได้
ผู้เฒ่าผู้นี้ไม่ได้มีอานุภาพที่สะเทือนฟ้า ไม่ได้มีสุดยอดหลักกฎเกณฑ์ เขายืนอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทีที่สงบ และรับมือกับฝ่ามือสะเทือนฟ้าของจอมเทพเสินกงด้วยท่วงท่าเช่นนี้แหละ
ยามที่ผู้เฒ่าผู้นี้มองเห็นหลี่ชิเย่นั้น เผยให้เห็นรอยยิ้มที่สดใส เสมือนหนึ่งเป็นรอยยิ้มของเด็ก ช่างสดใส ช่างน่าปิติยินดีอะไรอย่างนั้น
หลี่ชิเย่เองก็เผยให้เห็นรอยยิ้มจางๆ ท่าทางสบายใจและมีความเป็นอิสระ โดยไม่ได้รู้สึกแปลกใจแม้แต่น้อย
“สหายท่าซิง ในที่สุดเจ้ายังคงกลับสู่โลกปัจจุบันแล้ว” จอมเทพเสินกงก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจเมื่อผู้เฒ่าได้รับเอาฝ่ามือนี้ของเขาเอาไว้ เขาชักมือกลับพร้อมกับเอ่ยขึ้นมาช้าๆ
สังขารแก่ๆ ไม่สามารถทนต่อการทำศึกครั้งแล้วครั้งเล่าได้ ทำศึกไปทีหนึ่งเมื่อครั้งก่อนทำให้ต้องนอนติดเตียงไปพักหนึ่ง นอนนานเกินไปร่ายกายก็เริ่มจะบูดแล้วหละ ดังนั้น จึงลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสายบ้าง ไม่พบหน้ากันหลายแสนปี สหายเสินกงยังคงมีร่างกายที่แข็งแรงเช่นนี้ นับว่าเป็นที่อิจฉาของข้ายิ่งนัก” ผู้เฒ่าเผยรอยยิ้มออกมา และพูดด้วยท่าทีไม่อ่อนและไม่แข็งเกินไปออกมา
“จอมเทพท่าซิง…” ทุกคนล้วนแล้วแต่สามารถคาดเดาฐานะของผู้เฒ่าผู้นี้ได้แล้ว เมื่อได้ยินคำพูดโต้ตอบระหว่างผู้เฒ่ากับจอมเทพเสินกง พลันสร้างความสะเทือนหวั่นไหวต่อจิตใจของผู้คนเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน
ภายในวันเดียวถึงกับมีระดับจอมเทพโผล่ขึ้นมาถึงสององค์ ล้วนแล้วแต่เป็นจอมเทพที่มีระดับสูง โดยเฉพาะจอมเทพท่าซิง เขาเคยผ่านศึกสงครามมาครั้งแล้วครั้งเล่า โดยเฉพาะผ่านศึกล่าราชันซึ่งถูกบันทึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์ตลอดกาล กล่าวได้ว่า จอมเทพท่าซิงผู้ดำรงอยู่ในสถานะเช่นนี้คือฟอสซิลที่มีชีวิตชิ้นหนึ่ง เขาได้เห็นการเปลี่ยนแปลงระหว่างร้อยชาติพันธุ์กับเผ่าเทพ เผ่ามาร และเผ่าสวรรค์สามเผ่า
“จอมเทพท่าซิง…” ในเวลานี้ บรรดายอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนของร้อยชาติพันธุ์ในเมืองสวรรค์นอกอาณาจักรจำนวนมากต่างคุกเข่าโขกศีรษะให้กับจอมเทพท่าซิงด้วยความเคารพยิ่ง!
บรรดายอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนของร้อยชาติพันธุ์ที่คุกเขาโขกศีรษะให้กับจอมเทพท่าชิงเหล่านี้ หาใช่เป็นเพราะสยบต่ออานุภาพของจอมเทพ แต่เป็นเพราะผลงานที่เขาได้มอบให้กับร้อยชาติพันธุ์!
หากไม่มีศึกล่าราชัน ก็จะไม่มีฐานะของร้อยชาติพันธุ์ในวันนี้ และไม่มีความเจริญรุ่งเรืองของร้อยชาติพันธุ์ในวันนี้ จอมเทพท่าซิงในฐานะจอมเทพผู้ซึ่งเคยเข้าร่วมศึกล่าราชันในครั้งนั้น ผลงานและความเสียสละของเขา สมควรที่บรรดายอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนของร้อยชาติพันธุ์ไห้เคารพนับถือ
“ท่านบรรพบุรุษ…” เผิงเย่เองถึงกับสั่นเทาด้วยความตื่นเต้นและตื้นตัน สิ่งนี้กล่าวสำหรับตระกูลเผิงของพวกเขาแล้วคือความตระหนกระคนความดีใจที่ฟ้าประทานมา ขอเพียงบรรพบุรุษของพวกเขากลับสู่โลกปัจจุบัน กล่าวสำหรับตระกูลเผิงของพวกเขาแล้ว ทุกสิ่งล้วนแล้วแต่คุ้มค่าทั้งสิ้น
หลายปีก่อน หลังจากศึกลอบโจมตีจินเก๋อแล้ว จอมเทพท่าซิงก็ปราศจากข่าวคราวอีกเลย การปรากฏตัวของจอมเทพท่าซิงในวันนี้ เท่ากับเป็นการมอบยาที่ทำให้ลูกหลานมีความสงบและมั่นใจมากขึ้น!
เผิงยวี่ก้มกราบอยู่กับพื้น เงยหน้าขึ้นมองบรรพบุรุษของตนด้วยความเคารพ เขาเติบโตมาพร้อมกับรับฟังถึงเรื่องราวชีวประวัติของบรรพบุรุษ เรียกได้ว่าทุกๆ เรื่องราวเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับบรรพบุรุษเขารู้อย่างละเอียด เขามีความเลื่อมใสศรัทธาต่อบรรพบุรุษของตนมาตั้งแต่เด็ก มาวันนี้สามารถเห็นบรรพบุรุษด้วยตาของตนเอง กล่าวสำหรับเขาแล้วมันตื้นตันยิ่งนัก เป็นเรื่องที่ควรค่าแก่การดีใจที่สุดของเขา
กล่าวสำหรับเมืองสวรรค์นอกอาณาจักรแล้ว การที่จอมเทพสององค์มาด้วยตนเอง นับเป็นเรื่องใหญ่ที่สะเทือนฟ้า วันนี้ได้ถูกลิขิตเอาไว้แล้วว่าต้องเป็นวันที่ไม่ธรรมดา
ในเวลานี้ จุดสนใจทั้งหมดล้วนแล้วแต่เจาะจงลงบนตัวของจอมเทพท่าซิงและจอมเทพเสินกง หนึ่งนั้นคือจอมเทพผู้มีดวงตราสัญลักษณ์สิบดวงที่ประสานเข้าด้วยกันทั้งหมด อีกหนึ่งคือจอมเทพผู้มีดวงตราสัญลักษณ์เก้าดวงที่ประสานเข้าด้วยกันทั้งหมด อีกทั้งยังมีสายเลือดเก้ากระถาง!
ในเวลานี้ ผู้คนจำนวนมากล้วนเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น หากจอมเทพท่าซิงตัดสินชี้ขาดกับจอมเทพเสินกงล่ะก็ ใครกันนะจะแข็งแกร่งกว่ากัน
หากว่าศึกนี้เกิดขึ้นมาจริงๆ ไม่ว่าจอมเทพท่าซิงจะเป็นฝ่ายชนะ หรือจอมเทพเสินกงเป็นผู้ชนะก็ตาม ในขณะนี้ ภายในใจของผู้คนจำนวนมากล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยความยินดี ต่างต้องการได้เห็นศึกระหว่างสองจอมเทพด้วยสายตาของตนเอง
แต่ว่า หากว่ากันถึงผลงานการสู้รบแล้ว ทุกคนเห็นว่าเป็นจอมเทพท่าซิงที่มีผลงานการสู้รบที่โชกโชนมากกว่า เขาเคยเข้าร่วมการศึกมาหลายครั้ง โดยเฉพาะกับศึกล่าราชันที่ขึ้นชื่อลือชา ยิ่งทำให้ชื่อเสียงของเขาขจรไปไกล ยิ่งไปกว่านั้น ในศึกลอบจู่โจมจินเก๋อเมื่อหลายปีก่อน เขายังได้สังหารจอมเทพกงเฉินของตระกูลขุนนางโบราณด้วยมือของเขาเอง
หากจะว่ากันถึงเรื่องการทำศึก เรื่องประสบการณ์ หลายคนเชื่อว่าจอมเทพท่าซิงมีความได้เปรียบสูงมาก
แต่ทว่า ตัวของจอมเทพเสินกงเองก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อได้เปรียบ ข้อได้เปรียบที่สำคัญที่สุดของเขาก็คือเขาได้ครอบครองดวงตราสัญลักษณ์สิบดวง ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบที่เด่นชัดมากที่สุด อีกทั้งมีข่าวลือว่า จอมเทพเสินกงมีการพักผ่อนสั่งสมกำลังมาโดยตลอด พลังลมปราณของเขาจึงมีความคึกคักมีชีวิตชีวามากกว่าจอมเทพที่มีอายุในระดับเดียวกัน กระทั่งจอมเทพที่มีอายุอ่อนกว่ากันมากทีเดียว เขามีการรักษาสภาพร่างกายของตนให้อยู่ในระดับสูงสุดเฉกเช่นขณะอยู่ในวัยหนุ่ม ดังนั้น เขาไม่ลงมือก็แล้วไป ลงมือเมื่อไรล่ะก็ต้องเป็นการฆ่าที่เฉียบขาดอย่างแน่นอน
ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนข้างฝ่ายของร้อยชาติพันธุ์ย่อมต้องยืนอยู่ข้างของจอมเทพท่าซิง เพียงแต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนต้องกังวลก็คือ การที่จอมเทพท่าซิงได้รับบาดเจ็บจากการศึกลอบโจมตีจินเก๋อนั้นได้หายเป็นปรกติแล้วหรือไม่ ถ้าหากยังไม่หายดีล่ะก็ ย่อมส่งผลเสียมากมายต่อเขาอย่างแน่นอน
จอมเทพสององค์ยืนประจันอยู่ตรงนั้น ไม่มีทีท่าจะลดราวาศอกกันแม้แต่นิดเดียว ย่อมเป็นการบ่งบอกว่าศึกระหว่างสองฝ่ายคงไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อีกแล้ว
ทุกคนถึงกับกลั้นลมหายใจ รอดูการศึกระหว่างจอมเทพที่กำลังจะระเบิดศึกขึ้นมา!
……………………………………………………..