ตอนที่ 1869 ศิลาจารึกยักษ์
ขบวนการอำนาจสวรรค์มีความแข็งแกร่งมากจนไม่สามารถจินตนาการได้ ในส่วนที่ว่าขบวนการอำนาจสวรรค์ก่อตั้งขึ้นเมื่อใดนั้นไม่สามารถไล่เรียงได้อีกแล้ว ตามตำนานเล่าว่า การก่อตั้งของขบวนการอำนาจสวรรค์เก่าแก่กว่าทุกๆ สายสำนักราชันเซียนเสียอีก
แม้ว่าจำนวนคนในขบวนการอำนาจสวรรค์มีอยู่น้อยมาก แต่ทว่า มันแข็งแกร่งมากจนทุกคนต้องยำเกรง เนื่องจากผู้ที่จะเข้าร่วมในขบวนการอำนาจสวรรค์ได้จะต้องเป็นผู้ดำรงอยู่ในฐานะได้ครอบครองชะตาฟ้าสิบสายขึ้นไปเท่านั้น จอมราชันทั่วไปคิดจะเข้าร่วมในขบวนการอำนาจสวรรค์ก็ไม่มีสิทธิ์
ในส่วนของรายละเอียดที่ว่ามีจอมราชันเซียนหวังใดเข้าร่วมอยู่กับขบวนการอำนาจสวรรค์บ้างนั้น บุคคลภายนอกน้อยคนนักที่รู้เรื่องนี้ แต่ว่า สิ่งหนึ่งที่สามารถมั่นใจได้ก็คือ ผู้กุมอำนาจในขบวนการอำนาจสวรรค์คนปัจจุบันก็คือราชันซื่อตี้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังนั่นเอง!
“ขบวนการอำนาจสวรรค์ปรากฏ ปราศจากผู้ต่อกรตลอดกาล!” ไม่ง่ายนักกว่าธิดาราชันฉีหลินจะได้สติกลับมา นางถึงกับเอ่ยขึ้นเบาๆ
ชื่อของขบวนการอำนาจสวรรค์ทรงอิทธิพลมากเหลือเกิน ต่อให้เป็นจอมราชันเซียนหวังทั่วไปยังคงต้องหน้าถอดสีเมื่อเอ่ยถึงชื่อนี้ กระทั่งผู้บำเพ็ญตนทั่วไปยิ่งต้องให้ความเคารพยำเกรงยิ่งนัก
“ในโลกนี้ไหนเลยมีปราศจากผู้ต่อกรตลอดกาล” หลี่ชิเย่หัวเราะออกมาตามอารมณ์ และกล่าวว่า “ถ้าหากจะกล่าวว่าเผ่าสวรรค์มีขบวนการอำนาจสวรรค์ ร้อยชาติพันธุ์ของพวกเราก็มีขบวนการสกัดสวรรค์!”
“สกัดสวรรค์ของร้อยช่าติพันธุ์!” ธิดาราชันฉีหลินถึงกับหวั่นไหวในใจเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ นัยน์ตาทั้งสองของนางถึงกับส่งเป็นประกายขึ้นมา และกล่าวว่า “ราชันเซียนของขบวนการสกัดสวรรค์ล้วนแล้วแต่อยู่ในขั้นเจ็ดขึ้นไปทั้งสิ้น”
“คำเล่าลือบางอย่างไม่ถูกต้องเสมอไป” หลี่ชิเย่ ยิ้มและส่ายหน้าเบาๆ กล่าวว่า “แต่ว่า หากราชันเซียนของขบวนการสกัดสวรรค์ออกศึก ขบวนการอำนาจสวรรค์ก็ต้องคิดให้รอบคอบ”
ในสิบสามทวีปมีคำพูดอยู่คำหนึ่ง เผ่าสวรรค์มีขบวนการอำนาจสวรรค์ ร้อยชาติพันธุ์มีขบวนการสกัดสวรรค์ ด้วยความที่ชื่อของพวกเขาเป็นลักษณะของตาต่อตา ฟันต่อฟัน ทำให้ชนรุ่นหลังจำนวนมากเข้าใจว่า องค์กรที่สุดแกร่งทั้งสองในสิบสามทวีปเป็นคู่ปฏิปักษ์กัน แน่นอน เรื่องนี้เท็จจริงอย่างไรไม่มีใครทราบ
ตามตำนานเล่าว่า ขบวนการสกัดสวรรค์ถูกจัดตั้งขึ้นมาโดยราชันเซียนปาเจิน หลังจากผ่านมาหลายยุคหลายสมัย ได้เคยมีราชันเซียนเก้าแดนที่ปราดเปรื่องน่าทึ่งเข้าร่วมในขบวนการสกัดสวรรค์นี้ อย่างไรก็ตาม ข่าวว่าราชันเซียนเก้าแดนที่เข้าร่วมในขบวนการสกัดสวรรค์ล้วนแล้วแต่อยู่ในขั้นเจ็ดขึ้นไป
เมื่อเปรียบกับขบวนการอำนาจสวรรค์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังแล้ว ดูเหมือนขบวนการสกัดสวรรค์จะไม่ค่อยเป็นข่าวสักเท่าไร เวลานี้เล่าลือกันว่าผู้ที่กุมอำนาจในขบวนการสกัดสวรรค์ในปัจจุบันก็คือราชันเซียนเฮ่าไห่
“คุณชาย ขบวนการสกัดสวรรค์แข็งแกร่งเพียงใดรึ? เทียบกับขบวนการอำนาจสวรรค์แล้วใครแพ้ใครชนะ?” ครั้นธิดาราชันฉีหลินได้ยินคำพูดเช่นนี้จากหลี่ชิเย่แล้ว จึงบังเกิดความอยากรู้อยากเห็นขึ้นในใจ
ขบวนการอำนาจสวรรค์ถือเป็นองค์กรที่มีอำนาจสูงสุดของเผ่าสวรรค์ ขณะที่ขบวนการสกัดสวรรค์ก็เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของความเป็นผู้มีพลังอำนาจสูงสุดของร้อยชาติพันธุ์ ซึ่งทำให้ธิดาราชันฉีหลินเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
แม้ว่าเซียนหวังฉีหลิน ปฐมบรรพบุรุษของตระกูลราชันฉีหลินจะเป็นเซียนหวังที่มีชะตาฟ้าแปดสายอยู่ในครอบครอง แต่กลับไม่ได้เข้าร่วมอยู่ในขบวนการสกัดสวรรค์ เนื่องจากดูเหมือนว่าในขบวนการสกัดสวรรค์มีเพียงราชันเซียนเก้าแดนเท่านั้นที่เข้าร่วม รายละเอียดเป็นเช่นใดนั้น ธิดาราชันฉีหลินในฐานะที่เป็นผู้เยาว์คนหนึ่งก็ไม่รู้ชัดเจนนัก
“เรื่องแบบนี้พูดยาก” หลี่ชิเย่ยิ้มๆ สายตาดูลึกล้ำยิ่งนัก และกล่าวว่า “การก่อตั้งของขบวนการอำนาจสวรรค์เนิ่นนานมากเหลือเกิน อีกทั้งความหมายที่อยู่เบื้องหลังของมันก็หาใช่สิ่งที่เจ้าสามารถเข้าใจได้ แน่นอนที่สุด การที่ขบวนการสกัดสวรรค์กล้าที่จะเรียกตัวเองว่าขบวนการสกัดสวรรค์ก็ใช่ว่าใครก็จะมาหาเรื่องด้วยได้ง่ายดาย ราชันเซียนปาเจินในฐานะราชันเซียนองค์แรกของเผ่าปีศาจ การที่เขากล้าก้าวออกมาก่อตั้งขบวนการสกัดสวรรค์ สิ่งนี้เพียงพอที่จะบอกถึงธาตุแท้ภายในของขบวนการสกัดสวรรค์ได้แล้ว”
ราชันเซียนปาเจินสำเร็จมรรคผลมาจากต้นไผ่ปาเจินต้นหนึ่ง เขาคือราชันเซียนองค์แรกของเผ่าปีศาจในเก้าแดน และเป็นปฐมบรรพบุรุษของเขาไผ่ประหลาด หลังจากที่เขาได้ขึ้นสู่แดนที่สิบแล้ว จากการฝึกฝนมาอย่างยาวนาน ในที่สุด เขาก็ได้จัดตั้งองค์กรที่มีชื่อว่าขบวนการสกัดสวรรค์ขึ้นมา เล่าลือกันว่า ราชันเซียนผู้เข้าร่วมอยู่ในขบวนการสกัดสวรรค์ล้วนแล้วแต่เป็นราชันเซียนจากเก้าแดนที่อยู่ในระดับขั้นเจ็ดขึ้นไป
เมื่อธิดาราชันฉีหลินได้ยินคำพูดเช่นนี้แล้วให้รู้สึกว่ามีเหตุผล ความโด่งดังของขบวนการอำนาจสวรรค์เป็นที่ยำเกรงยิ่งของผู้คนจำนวนเท่าไร ถ้าหากพวกของราชันเซียนปาเจินในครั้งนั้นไม่ได้มีธาตุแท้ภายในที่เพียงพอ กล้าตั้งชื่อให้กับองค์กรของตนว่า “ขบวนการสกัดสวรรค์” อย่างนั้นรึ? เพราะเท่ากับเป็นการท้าทายต่อขบวนการอำนาจสวรรค์ชัดๆ
ถ้าหากองค์กรเฉกเช่นขบวนการสกัดสวรรค์ไม่แข็งแกร่งพอล่ะก็ เกรงว่าคงถูกขบวนการอำนาจสวรรค์ทำลายล้างไปนานแล้ว การที่ขบวนการสกัดสวรรค์ยังคงอยู่หลังจากกาลเวลาผ่านไปยาวนานถึงเพียงนี้ ย่อมเป็นการบ่งบอกถึงความแข็งแกร่งของพวกมันแล้ว
“ข้ายังเคยได้ยินว่ามีพันธมิตรชิงมู่อีกหนึ่ง” หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ธิดาราชันฉีหลินอดอยากจะรู้ไม่ได้ จึงได้เอ่ยถามหลี่ชิเย่ขึ้นมา
“ไปกันเถอะ” หลี่ชิเย่ยิ้มนิดหนึ่ง ไม่เอ่ยถึงเรื่องเกี่ยวกับพันธมิตรชิงมู่ กล่าวว่า “หากเจ้ายังคงโอ้เอ้ต่อไปล่ะก็ ต่อให้มีของวิเศษก็ถูกคนอื่นแย่งชิงไปแล้ว”
เมื่อหลี่ชิเย่พูดเตือนขึ้นมา ธิดาราชันฉีหลินจึงได้พบว่าความเร็วของพวกเขาค่อยๆ ลดลงโดยไม่รู้ตัว ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากที่มาทีหลังได้แซงหน้าพวกเขาเข้าไปยังส่วนที่ลึกเข้าไปในแหลมฮ่าวว่างไปนานแล้ว
ในเวลานี้ หลี่ชิเย่ได้เพิ่มความเร็วขึ้นแล้ว ธิดาราชันฉีหลินได้แต่เอาความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับ “พันธมิตรชิงมู่” กองเอาไว่ข้างๆ รีบเร่งตามให้ทันหลี่ชิเย่
ไม่นานนัก ธิดาราชันฉีหลินก็ได้ติดตามหลี่ชิเย่เข้าไปถึงยังบริเวณส่วนที่ลึกเข้าไปภายในแหลมฮ่าวว่าง ขณะที่พวกเขาไปถึงปรากฏมียอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากได้หยุดอยู่ที่ตรงนั้นแล้ว
เพียงแต่บรรดายอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนเหล่านั้นที่มาถึงแล้วนั้นไม่กล้าเข้าไปใกล้ ได้แต่จ้องมองดูอยู่ในระยะห่างไกล พวกเขารั้งรออยู่ตามที่ต่างๆ มีทั้งที่ยืนอยู่บนที่สูงกลางอากาศ มีคนที่ยืนอยู่บนภูเขาสูง มีคนที่นั่งเรือมา…
เมื่อธิดาราชันฉีหลินติดตามหลี่ชิเย่ยืนอยู่บนภูเขาสูงลูกหนึ่ง เมื่อนางมองเห็นสภาพที่อยู่ตรงหน้านั้น นางถึงกับเสียวสันหลังวาบบขึ้นมา
เห็นเพียงทะเลกระดูกอยู่ตรงหน้า ทอดสายตามองออกไปเห็นแต่สีขาวโพลนสุดลูกหูลูกตาตรงหน้า ที่เป็นดังนี้เนื่องเพราะสิ่งที่ปูทับพื้นดินแถบนั้นเป็นกระดูกขาวทั้งหมด
สถานที่ตรงนี้เคยเป็นผืนแผ่นดินที่กว้างใหญ่ มีเทือกเขาที่ขึ้นลงสลับไปมา มียอดเขาที่สูงตระหง่าน มีหุบเหวที่ลึกและเงียบสงบ และเคยมีแม่น้ำที่ไหลแรง…แต่ เวลานี้มีเพียงกองกระดูกขาวอยู่ตรงหน้า ไม่ว่าจะเป็นยอดเขาสูงหรือหุบเหวลึก ทั้งหมดถูกกระดูกขาวนับไม่ถ้วนทับถมไปจนสิ้น
พื้นที่ขาวโพลนที่ปูทับด้วยกระดูกขาวจนเต็มพื้นที่แห่งนี้ ไม่สามารถนับจำนวนกระดูกขาวได้ว่ามีจำนวนเท่าไรกันแน่ ในจำนวนกระดูกขาวที่นับไม่หวั่นไม่ไหวนี้มีทุกรูปแบบ มีโครงกระดูกขนาดใหญ่เท่าภูเขา และมีโครงกระดูกขนาดเท่ามนุษย์
อีกทั้งในบรรดากระดูกทั้งหมดที่มีอยู่ไม่เพียงอยู่แค่โครงกระดูกมนุษย์เท่านั้น ยังมีโครงกระดูกของงูเหลามยักษ์ที่ลำตัวยาวเป็นร้อยลี้ และยังมีโครงกระดูกวานรที่สูงเท่าภูเขา ยิ่งไปกว่านั้นยังมีศพของสัตว์เลื้อยคลานที่มีขนาดเล็กเท่ากำปั้น…
ไม่ว่าใครก็ตามหากได้มองเห็นกระดูกขาวที่สุดลูกหูลูกตาตรงหน้านี้แล้ว ย่อมต้องสั่นเทิ้มขึ้นมาภายในใจ ที่ตรงนี้มีสิ่งมีชีวิตเสียชีวิตอยู่เป็นจำนวนเท่าไรกันแน่
ท่ามกลางกองกระดูกที่สุดลูกหูลูกตามีศิลาจารึกขนาดยักษ์ที่สูงตระหง่านตั้งอยู่ ศิลาจารึกขนาดยักษ์แผ่นนี้สูงทะลุเมฆา เหมือนว่ามันสามารถเสียบทะลุท้องฟ้าได้อย่างนั้น
ศิลาจารึกขนาดยักษ์แผ่นนี้มีสีดำดั่งหมึกทั้งแผ่น อีกทั้งยังเหมือนเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เหมือนเป็นแผ่นหยกดำแผ่นหนึ่งอย่างนั้น ดูเหมือนศิลาจารึกสีดำขนาดยักษ์แผ่นนี้จะไม่ได้ผ่านการแกะสลักใดๆ มา มันมีรูปลักษณ์เช่นนี้โดยธรรมชาติ
บนแผ่นศิลาจารึกได้สลักอักขระยันต์เอาไว้เสียถี่ยิบ เป็นอักขระยันต์ที่ดึกดำบรรพ์ยิ่งจนไม่สามารถไล่เรียงยุคสมัยได้อีก ต่อให้เป็นยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตน ที่มีประสบการณ์กว้างไกลก็ไม่รู้จักอักขระยันต์ที่อยู่บนศิลาจารึกขนาดยักษ์แผ่นนี้
เมื่อมองให้ละเอียดอีกครั้ง บรรดาตัวอักขระยันต์ที่ถี่ยิบกลับไม่เหมือนเป็นการสลักขึ้นภายหลัง เหมือนว่ามันเป็นอักขระยันต์สัจธรรมที่เกิดขึ้นสะท้านฟ้าดิน!
ตัวอักขระยันต์เหล่านี้แฝงไว้ซึ่งสีทองหม่นๆ มักจะปรากฏประกายสีทองจางๆ แวบวับอยู่เสมอๆ ยามที่ประกายสีทองจางๆ แวบวับขึ้นมาสามารถสะกดวิญญาณผู้คน ทำให้เหล่ายอดฝีมือต่างสะท้านภายในใจ และเกิดความหวาดกลัวต่อมันขึ้นมา
ศิลาจารึกขนาดยักษ์แผ่นนี้ถูกสร้างอยู่บนแท่นบูชาโบราณ โดยแท่นบูชานี้ไม่ทราบว่าก่อขึ้นมาด้วยหินศักดิ์สิทธิ์ชนิดใด แท่นบูชาโบราณเป็นสีเทาทั้งแท่น ลักษณะของมันสร้างขึ้นมาอย่างหยาบๆ อีกทั้งหินที่ใช้สร้างแท่นบูชาโบราณนี้มีรอยแยกอยู่ไม่น้อย เหมือนว่าขณะที่สร้างแท่นบูชานี้รีบเร่งมาก จึงมีสร้างแบบลวกๆ
ในขณะนี้ได้มียอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากที่รุดมาถึง พวกเขาต่างรู้สึกใจหายใจคว่ำเมื่อได้มองเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า
“ข้าไม่ได้มาถึงที่นี่เป็นครั้งแรกนะ ในอดีตสถานที่แห่งนี้ไม่ได้เป็นเช่นนี้ โครงกระดูกจำนวนนับไม่ถ้วนนี้มาจากไหนกันแน่?” ผู้บำเพ็ญตนเฒ่าผู้หนึ่งเมื่อได้เห็นภาพนี้แล้วถึงกับเสียวสันหลังวาบบ กล่าวด้วยท่าทีที่ตกใจและรู้สึกเหนือความคาดคิด
“เกรงว่าคงโผล่ออกมาจากใต้พื้นดิน” มียอดฝีมือที่โดยสารมากับเรือนิรันดรกล่าวว่า “ได้ยินว่ามีคนผู้หนึ่งขุดวัตถุได้ชิ้นหนึ่ง หลังจากนั้นก็ปรากฏพื้นที่ลักษณะเช่นนี้ขึ้นมา น่าจะไปล่วงเกินสิ่งต้องห้ามอะไรบางอย่างกระมัง”
ในเวลานี้ ทุกคนต่างมองหน้ากันไปมา แม้ว่าทุกคนจะไม่รู้ว่าศิลาจารึกที่อยู่ตรงหน้าแผ่นนี้คืออะไร แต่เมื่อมองเห็นทะเลกระดูกที่สุดลูกหูลูกตาตรงหน้าแล้ว ทุกคนก็เข้าใจได้ว่าคงไม่ใช่สถานที่ดีแน่นอน
“พวกเจ้าเมืองอู่ก็มากันแล้ว” ธิดาราชันฉีหลินที่ยืนอยู่บนยอดเขามองออกไปเห็นคนคุ้นเคย ถึงกับพึมพำออกมา
ในขณะนี้ไม่เพียงแต่อู่ฟ่งหยิ่งที่มาแล้ว แม้แต่ฉินไป่หลี่ก็มาแล้วเช่นกัน พวกเขาต่างยึดครองภูเขาเอาไว้ลูกหนึ่ง สายตาเพ่งมองไปที่แผ่นศิลาจารึกที่สูงตระหง่านทะลุเมฆาแผ่นนั้น พวกเขาต่างมีชาติกำเนิดเป็นสายสำนักราชันเซียนมีประสบการณ์ที่กว้างไกล พลันที่มองเห็นศิลาจารึกแผ่นนี้แล้วก็รู้ว่าไม่อาจประเมินค่าได้ ดังนั้น พวกเขาต่างต้องการเป็นผู้ครอบครองศิลาจารึกแผ่นนี้เอาไว้
“ยอดเยี่ยมมากนะเนี่ย” ดวงตาทั้งสองของหลี่ชิเย่ถึงกับจ้องเขม็งเมื่อได้เห็นศิลาจารึกแผ่นนี้ หลังจากที่ได้ทำการศึกษาอักขระยันต์บนแผ่นศิลาจารึกอย่างละเอียด พึมพำออกมาว่า “ก้อนที่อยู่ในวังขนนกหิมะเมื่อเปรียบเทียบกับมันแล้ว เป็นได้แค่เศษวัตถุดิบเท่านั้นเอง
วังขนนกหิมะแห่งแดนมนุษย์กษัตราก็มีศิลาจารึกที่ยอดเยี่ยมมากแผ่นหนึ่ง โดยศิลาจารึกแผ่นนี้ครอบครองโดยราชันเซียนปิงหวี่ ตั้งชื่อว่า “ศิลาจารึกสกัดฟ้า” แน่นอน หลี่ชิเย่ย่อมเคยเห็นศิลาจารึกสกัดฟ้าแผ่นนี้มาแล้ว แต่ว่า เมื่อได้เห็นศิลาจารึกแผ่นที่อยู่ตรงหน้าแล้ว หลี่ชิเย่รู้ว่าศิลาจารึกสกัดฟ้าเทียบไม่ได้เลยกับศิลาจารึกแผ่นนี้
“นี่คืออะไร?” ธิดาราชันฉีหลินถึงกับเอ่ยถามขึ้น เมื่อได้เห็นศิลาจารึกที่สูงตระหง่านทะลุเมฆา
“แท่นบูชาที่ดึกดำบรรพ์มาก” ในขณะนี้ สายตาของหลี่ชิเย่ได้ตกอยู่บนแท่นบูชาดึกดำบรรพ์นั่น เขาไม่สามารถละสายตาไปได้เลยหลังจากได้เห็นแท่นบูชาดึกดำบรรพ์นี้แล้ว เหมือนว่าแท่นบูชาดึกดำบรรพ์นี้น่าสนใจมากกว่าศิลาจารึกที่สูงตระหง่านทะลุเมฆาแผ่นนั้น
ผู้คนจำนวนมากพลันที่มองไปก็ต้องถูกดึงดูดกสายตาโดยศิลาจารึกแผ่นนั้น ไม่เพียงเพราะศิลาจารึกมีขนาดใหญ่โต ไม่เพียงที่มันคล้ายดั่งเป็นหยกหมึกแผ่นหนึ่ง ที่สำคัญมากไปกว่านั้นก็คือตัวอักขระยันต์สัจธรรมที่อยู่บนแผ่นศิลาจารึกนั้น ไม่ว่าผู้ใดที่พอมีความรู้เห็นแล้วก็จะเข้าใจได้ว่า ภายในอักขระยันต์เหล่านี้ได้ซ่อนความหมายที่ลึกซึ้งสูงสุดเอาไว้
แต่ว่า หลี่ชิเย่ในเวลานี้กลับถูกแท่นบูชาโบราณที่สร้างขึ้นอย่างหยาบๆ ดึงดูดเอาไว้ เหมือนว่าภายในแท่นบูชาโบราณนี้มีความลับที่ยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่
“แท่นบูชา?” ภายในใจของธิดาราชันฉีหลินถึงกับเย็นวาบบ เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ นางได้พูดขึ้นเบาๆ ว่า “ เป็นแท่นบูชาที่ใช้สำหรับเซ่นสังเวยด้วยชีวิตเป็นๆ แบบนั้นรึ?”
“เรื่องนี้พูดยาก” หลี่ชิเย่ส่ายหน้าเบาๆ และยิ้มกล่าวว่า “ของประเภทนี้เรียกได้ว่าเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ส่วนที่ว่ามันใช้เพื่อทำอะไรนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวของมันเอง แต่อยู่ที่ผู้นำมันมาใช้ เสมือนหนึ่งกระบี่ที่คมกริบเล่มหนึ่ง ถ้าหากใช้มันฆ่าคนดั่งผักปลา มันก็คืออาวุธร้ายเล่มหนึ่ง แต่หากว่านำมันมาเพื่อปกป้องชีวิต มันก็คืออาวุธศักดิ์สิทธิ์ อาวุธไม่ได้แบ่งแยกดีเลว ขึ้นอยู่กับมนุษย์”
เมื่อหลี่ชิเย่กล่าวมาถึงตรงนี้แล้วได้หยุดนิดหนึ่ง แล้วกล่าวต่อว่า “มันสามารถใช่เพื่อบูชาด้วยชีวิตเป็นๆ และใช้ในพิธีบูชาด้วยการอธิฐาน