ในเวลานี้ หลี่ชิเย่ได้ขึ้นฝั่งแล้ว โดยมีธิดาราชันฉีหลินติดตามขึ้นไปด้วย เมื่อธิดาราชันฉีหลินขึ้นฝั่งและมองออกไปถึงกับตะลึงงันทันที
ริมฝั่งมีบันไดหินแห่งหนึ่งทอดยาวขึ้นไปถึงภูเขาลูกหนึ่ง เป็นภูเขาที่มีขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กเกินไป เมื่อยืนอยู่บริเวณตีนเขาและมองขึ้นไปข้างบน มองเห็นศาลเจ้าบนยอดเขาลางๆ สามารถมองเห็นชายคาได้
บันไดหินทอดยาวต่อเนื่องขึ้นไป สองข้างซ้ายขวากลับปรากฏมีต้นไม้สีเขียวที่พลิ้วไหว มีทั้งต้นโพธิ์ที่พริ้วไหว และมีเงาของต้นจินกังที่ทอดเลือนลางขวางอยู่ในน้ำ ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีต้นที่สูงตระหง่านชี้ฟ้าอย่างต้นสนใบพาย…
ภาพเช่นนี้นับว่าธรรมดามากหากอยู่ในชิงโจว ขนาดของภูเขาไม่ได้สูงใหญ่ และไม่ใช่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์อะไร บันไดหินก็ธรรมดา เป็นเพียงหินที่ธรรมดาสุดๆ ชนิดหนึ่งเท่านั้น กระทั่งการมีต้นหญ้าแต่ละต้นที่งอกออกมาจากซอกหิน ต้นไม้สีเขียวที่ขึ้นอยู่ด้านข้างซ้ายขวาทั้งสองข้าง เป็นภาพที่ปรกติมากจนไม่รู้ว่าปรกติอย่างไรแล้ว
แต่ทว่า ขณะที่ภาพเช่นนี้ปรากฏในแดนแห่งการสืบค้นทุกอย่างดูจะไม่ปรกติเสียแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่คือฝอเหย่อีกด้วย!
ธิดาราชันฉีหลินแทบไม่อยากเชื่อเมื่อมองเห็นภาพของต้นไม้สีเขียวที่กำลังพลิ้วไหวนั่น เรียกได้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นต้นไม้ที่มีความหมายของคำว่าต้นไม้จริงๆ หลังจากที่ได้มาถึงแดนแห่งความสืบค้นแล้ว แม้ว่าในฝอเหย่จะเต็มไปด้วยต้นหญ้าที่เหลืองเฉา แต่นั่นไม่ถือว่าเป็นต้นไม้และใบหญ้าที่เขียวขจี ภาพที่เขียวชอุ่มตรงหน้าจึงนับเป็นต้นไม้และใบหญ้าที่เขียวขจีอย่างแท้จริง
เป็นที่ทราบกันดีว่า บรรดาสิ่งที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในแดนแห่งการสืบค้นล้วนแล้วแต่เป็นเศษซากปรักหักพังของยุคสมัยที่เก่าแก่ดึกดำบรรพ์ทั้งสิ้น สถานที่แห่งนี้ได้ถูกพลังบดขยี้ทำลายไปแล้ว เป็นกาลเวลาที่ถูกบดขยี้จนแหลกลาญ ณ ที่ตรงนี้ยากจะได้เห็นสิ่งมีชีวิตได้อีกแล้ว
แต่ทว่า กลับมีต้นไม้ใบหญ้าที่เขียวขจีงอกงามเกิดขึ้นที่นี่ ไม่ได้แตกต่างไปจากมุมใดมุมหนึ่งของชิวโจวอย่างสิ้นเชิง
ถ้าหากไม่รู้มาก่อนว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางฝอเหย่ ธิดาราชันฉีหลินยังเข้าใจว่าตัวเองยืนอยู่บนยอดเขาแห่งใดแห่งหนึ่งในชิงโจวเสียอีก สถานที่แห่งนี้ไม่เหมือนแดนแห่งการสืบค้นสักนิด และสถานที่แห่งนี้ก็ไม่ได้มีบรรยากาศที่เป็นพลังขมุกขมัวออกเป็นสีเทาๆ อย่างนั้น
แม้ว่าจะเป็นภาพที่เห็นมากับตาตนเอง แต่ ธิดาราชันฉีหลินยังคงเข้าใจว่าตนเองนั้นตาลายไปหรือไม่ อดที่จะขยี้ตาของตนเองไม่ได้
“ไม่ต้องขยี้ตาแล้ว” หลี่ชิเย่กล่าวท่าทีเฉยเมยว่า “สิ่งที่เจ้าเห็นเป็นความจริง เรียกได้ว่าเป็นอะไรที่ยากมาก การทำลายไม่สามารถทำได้เด็ดขาดขนาดนั้น”
ภายในใจของธิดาราชันฉีหลินรู้สึกสะเทือนหวั่นไหวยิ่งนัก หลังจากที่ยืนยันได้ว่าเป็นเรื่องจริง ฝอเหย่คือยุคสมัยที่ถูกบดขยี้จะแหลกละเอียดไปแล้ว คือกาลเวลาที่ถูกทำลายล้างไม่เหลืออะไรอีกต่อไป พลังทำลายได้ทำให้ฝอเหย่กลายเป็นสถานที่ที่ไม่สามารถมีชีวิตอยู่รอดได้ กลายเป็นซากปรักหักพัง แต่ว่า ที่ตรงนี้กลับเปี่ยมล้นไปด้วยความมีชีวิตชีวา เป็นพลังแบบไหนกันเล่าที่ปกป้องคุ้มครองสถานที่แห่งนี้เอาไว้
ในขณะนี้ หลี่ชิเย่ก้าวเท้าเดินตามบันไดหินขึ้นไป เมื่อธิดาราชันฉีหลินได้สติกลับมาจึงเร่งรีบก้าวตามไป
สำหรับผีดิบสงฆ์ที่หมอบกราบอยู่กับพื้นนั่นกลับไม่มีความเคลื่อนไหว เสมือนหนึ่งเป็นก้อนหินที่หมอบอยู่ตรงนั้น มันไม่กล้าที่จะติดตามหลี่ชิเย่ขึ้นไป
เพียงชั่วครู่เท่านั้น ธิดาราชันฉีหลินก็ติดตามหลี่ชิเย่ขึ้นไปถึงยังยอดเขา ยอดเขาไม่ได้สูงนัก แต่ว่า ภายใต้ท้องฟ้ากลับรู้สึกว่ามันห่างจากจักรวาลใกล้เหลือเกิน เหมือนหนึ่งแค่เอื้อมมือออกไปก็สามารถคว้าเอาดวงดาวติดมือกลับมาได้แล้ว ภายใต้ท้องฟ้าแห่งนี้ ยอดเขาลูกนี้ดูจะมีความคล่องตัวยากจะคาดเดาเป็นพิเศษ เสมือนหนึ่งได้หลุดออกจากการเวียนว่ายตายเกิด หลุดพ้นจากกฎแห่งกรรม
บนยอดเขาแห่งนี้มีศาลเจ้าเก่าแก่ขนาดพอเหมาะไม่ใหญ่ไม่เล็กเกินไปอยู่หลังหนึ่ง ตัวศาลเจ้าเก่าแก่มีลักษณะเรียบง่ายไม่มีการประดับตกแต่งอะไรมากนัก ประตูศาลเจ้าเปิดออก เหมือนหนึ่งว่าพร้อมเปิดรับผู้มีจิตศรัทธาจากทุกทิศทุกทาง
ในขณะนี้ หลี่ชิเย่ได้ก้าวเท้าเข้าไปในศาลเจ้าเก่าแก่แล้ว โดยมีธิดาราชันฉีหลินที่ติดตามเข้าไป ภายในศาลเจ้าไม่ได้มีสิ่งของที่เกินความจำเป็นมากมายนัก มองเห็นพระพุทธรูปแปดองค์นั่งขัดสมาธิอยู่ภายในศาลเจ้า ครั้งแรกที่มองเห็นยังเข้าใจว่าเป็นพระพุทธรูป แต่เมื่อมองดูให้ละเอียดก็จะพบว่ามันไม่ใช่พระพุทธรูป แต่เป็นกายเนื้อของอริยสงฆ์
กายเนื้อของอริยสงฆ์ทั้งแปดรูปยังคงอยู่ในสภาพดี กายเนื้อทั้งแปดรูปไม่มีอำนาจที่สะเทือนฟ้า และไม่มีจิตวิญญาณความเป็นพระที่ยิ่งใหญ่ กายเนื้อมีลักษณะแห้งและเป็นสีเทาเข้ม กายเนื้อที่แห้งไม่ได้มีลักษณะที่แข็งเหมือนดั่งเหล็ก กลับรู้สึกหย่อนยานเหมือนร่างกายของคนแก่ที่ใกล้ฝั่งอย่างนั้น
ด้วยกายเนื้อทั้งแปดรูปที่ไม่ได้สะดุดตาแต่อย่างใดนี้แหละ พลันที่ธิดาราชันฉีหลินก้าวเท้าเข้าไปและมองเห็นกายเนื้อทั้งแปดรูป “ตึง” นางถึงกับคุกเขาลงกับพื้นโดยที่ไม่สามารถควบคุมตนเองได้ ท่าทีเหมือนสยบทั้งกายและใจ หมอบกราบกับพื้น ศีรษะก้มลงต่ำ แลดูศรัทธายิ่งนัก
สิ่งนี้ใช่ว่าธิดาราชันฉีหลินต้องการกราบ ขณะที่นางก้มลงกราบนั้นมันคือการศิโรราบโดยสัญชาตญาณ ลักษณะของการศิโรราบเช่นนี้ธิดาราชันฉีหลินไม่สามารถขัดขืนได้เลย อักทั้งยิ่งไปกว่านี้ก็คือ สัญชาตญาณของธิดาราชันฉีหลินกลับไม่ยอมขัดขืนการศิโรราบเช่นนี้ ในเวลานี้ ท่าทางของธิดาราชันฉีหลินมีความศรัทธายิ่งนัก เป็นความศรัทธาที่ออกมาจากสัญชาตญาณ
การหมอบกราบกับพื้นของธิดาราชันฉีหลินนั้น ไม่ได้มีพลังที่ปราศจากผู้ต่อกรที่ไปสยบนางเอาไว้ ไม่ได้มีพลังที่น่าเกรงขามไปสยบนาง แต่ว่า นางกลับบังเกิดอารมณ์พลุ่งพล่านต้องการจะกราบไหว้ที่ออกมาจากใจ โดยศิโรราบทั้งกายและใจที่ไม่สามารถควบคุมตนเองได้
หลี่ชิเย่ยืนสงบนิ่งอยู่ตรงนั้น มองดูกายเนื้อทั้งแปดรูปนี้โดยตกอยู่ท่ามกลางความนิ่งเงียบไม่ได้พูดอะไรออกมา นาทีนี้เหมือนหนึ่งกาลเวลาได้หยุดลง เสมือนหนึ่งได้ก้าวข้ามอดีตไปอย่างนั้น ก้าวข้ามยุคสมัยหนึ่งยุคสมัยเล่า เหมือนว่าในเวลานี้เป็นการสื่อสารกันระหว่างอดีตกับปัจจุบันอย่างนั้น
ไม่รู้ว่าเวลาได้ผ่านไปนานเท่าไรแล้ว ธิดาราชันฉีหลินจึงได้สติคืนกลับมา นางลุกขึ้นยืนด้วยความฉงนและตกใจไม่หาย ไม่ได้มีพลังใดๆ ที่สยบต่อนาง และตัวของนางก็ไม่ได้มีลักษณะที่แปลกไปแต่อย่างใด
“นี่ นี่ นี่มันคือพลังอะไร?” ธิดาราชันฉีหลินที่ยังคงไม่หายจากตกใจได้กล่าวต่อหลี่ชิเย่ มองดูกายเนื้อของอริยสงฆ์ทั้งแปดด้วยความเคารพยำเกรงยิ่ง
“ไม่ นี่ไม่ใช่เป็นพลังอะไร” หลี่ชิเย่ส่ายหน้าเบาๆ และยิ้มกล่าวว่า “เจ้าควรจะดีใจถึงจะถูก ถ้าหากอยู่ในยุคสมัยนั้นล่ะก็ นี่คือโชควาสนาชิ้นใหญ่ที่พบเจอได้แต่ไม่ได้มันมาหรือพรหมลิขิตนั่นเอง ผู้ที่มีสิทธิ์กราบไหว้องค์จริงของแปดอริยสงฆ์จะต้องเป็นผู้ที่มีสติปัญญาด้านพุทธศาสนาสูงมาก สติปัญญาระดับนี้ นับเป็นอันดับต้นๆ ของยุคสมัยนั้นเลยทีเดียว เป็นเพราะเจ้ามีวาสนากับพระอริยสงฆ์ทั้งแปดรูป ดูท่านับจากที่เจ้าก้าวเท้าไปยังแม่น้ำเหิงเหอก็ได้ผูกกฎแห่งกรรมเอาไว้แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนอยู่ในความลิขิตแล้ว”
คำพูดลักษณะเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ทำให้ธิดาราชันฉีหลินถึงกับตะลึงนิดหนึ่ง ขณะที่นางก้าวลงไปในแม่น้ำเหิงเหอนั้น เป็นความจริงขณะอยู่ที่โลกใบนั้นรู้สึกได้ถึงพลังสายหนึ่งที่เรียกหานาง ไม่นึกเลยว่าถึงกับเป็นวาสนาด้านพุทธศาสนาที่หลี่ชิเย่กล่าวถึง
“ในยุคสมัยนั้น องค์จริงของแปดอริยสงฆ์คือผู้ที่ดำรงอยู่ในระดับสูงสุดแล้ว พวกเขายืนอยู่ในระดับสูงสุดมาชั่วยุคสมัยนั้นตลอดทั้งยุค! ในยุคสมัยนั้น ต้องเป็นผู้ที่ผ่านสถานการณ์ความทุกข์ยากอย่างแสนเข็ญจึงสามารถได้พบกับพวกเขา ในยุคสมัยนั้น ต่อให้เจ้าสามารถข้ามแม่น้ำเหิงเหอมาได้ก็ไม่แน่ว่าจะสามารถพบกับพวกเขาได้ หากเจ้ากับพุทธศาสนาไม่มีวาสนาต่อกัน มาวันนี้ เกรงว่าการที่ข้าพาเจ้ามาที่นี่ก็ไม่มีคุณสมบัติพอที่กราบไหว้อยู่แทบเท้าของพวกเขา นี่คือโชควาสนาใหญ่ทีเดียว” หลี่ชิเย่มองดูธิดาราชันฉีหลินที่กำลังตะลึง ยิ้มกล่าวเรียบๆ ขึ้นมา
หลังจากที่ธิดาราชันฉีหลินได้ฟังคำอธิบายขยายความลักษณะเช่นนี้แล้ว จึงได้เข้าใจได้ว่า เบื้องหลังถึงกับมีความละเอียดลึกซึ้งถึงเพียงนี้
เมื่อธิดาราชันฉีหลินได้สติกลับมา นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่งแล้วถึงกับเพ่งมองกายเนื้อของอริยสงฆ์ที่อยู่ตรงหน้าอย่างละเอียด เมื่อนางเพ่งมองอย่างละเอียดนั้น นางได้พบว่า พระอริยสงฆ์ทั้งแปดรูปนั่งเรียงกันเป็นแถว ย่อมบ่งบอกถึงฐานะของพวกเขานั้นเท่าเทียมกัน แต่ทว่าในแถวนั่งนี้มีที่นั่งอยู่เก้าตำแหน่ง แต่ที่ตรงนี้กลับมีกายเนื้อของพระอริยสงฆ์เพียงแปดรูปเท่านั้น
“ที่ตรงนี้มีที่นั่งอยู่เก้าตำแหน่ง หรือว่าในอดีตไม่ได้มีแค่แปดรูป? แต่เป็นเก้ารูป?” ธิดาราชันฉีหลินกล่าวด้วยท่าทีตกใจระคนกับความแปลกใจ
“ถูกต้อง ในยุคสมัยนั้นชื่อที่ใช้เรียกกันคือเก้าพระอริยสงฆ์ เพียงแต่ที่ตรงนี้มีเพียงแปดรูปเท่านั้นเอง ดังนั้นจึงเว้นที่ว่างที่หนึ่ง” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉย มองดูตำแหน่งที่ว่างที่นั้น
“แล้วกายเนื้อของพระอริยสงฆ์รูปนั้นหล่ะ?” ธิดาราชันฉีหลินอดที่จะเอ่ยถามขึ้น “หรือว่ากายเนื้อของพระอริยสงฆ์อีกรูปถูกผู้อื่นเอาตัวไปแล้ว?” เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้วนางถึงกับจ้องมองไปที่หลี่ชิเย่
ธิดาราชันฉีหลินรู้แล้วว่า หลี่ชิเย่ต้องเคยมาที่นี่มาแล้วอย่างไม่ต้องสงสับ ถ้าหากจะมีใครสักคนพาตัวกายเนื้อของพระอริยสงฆ์ไป คนๆ นั้นมีความเป็นไปได้มากที่สุดก็คือหลี่ชิเย่นั่นเอง
“ไม่ต้องจ้องมองข้าแบบนี้ ข้าไม่ได้เป็นคนนำเอากายเนื้อของอริยสงฆ์รูปนั้นไป” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวเฉยเมยว่า “เป็นตัวเขาที่จากไปเอง อีกอย่าง กายเนื้อเหล่านี้ไม่สามารถนำเอาไปได้อยู่แล้ว พวกเขาได้หลอมรวมร่างของตนจนเป็นเนื้อเดียวกันกับโลกธาตุนี้ การจะนำตัวพวกเขาไปเท่ากับนำเอาทุกสิ่งทุกอย่างในฝอเหย่ไปด้วย!”
“จากไปเอง?” เมื่อธิดาราชันฉีหลินได้ยินคำพูดเช่นนี้พลันรู้สึกหวั่นไหวในใจอย่างแรง กล่าวด้วยความหวาดผวาว่า “อริยสงฆ์อีกรูปฟื้นคืนชีพแล้ว?”
ถ้าหากมีสิ่งมีชีวิตในยุคสมัยนั้นฟื้นคืนชีพจริงล่ะก็ สามารถไปจากแดนแห่งการสืบค้นได้ ช่างเป็นเรื่องที่น่าตระหนกเหลือเกิน เนื่องจากนับเป็นอดีตกาลเป็นต้นมากระทั่งปัจจุบัน ก็ไม่เคยมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน
“เจ้าคิดมากเกินไปแล้วหล่ะ” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “เขาไม่ได้อยู่ที่นี่มาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ขณะที่ยุคสมัยของพวกเขากำลังจะล่มสลาย พระอริยสงฆ์ทั้งเก้าได้ปรึกษาหารือกัน พวกเขาคิดจะอาศัยพลังของยุคสมัยนั้นทั้งหมดมาต่อต้าน ดังนั้น พวกเขาจึงได้หลอมรวมเอาพรหมวิหารสี่ของตนเข้ากับโลกธาตุของตน…”
“…การกระทำเช่นนี้ได้นำพาเอาสาวกจำนวนนับไม่ถ้วนของยุคสมัยนี้ติดตามหลอมรวมเข้ากับโลกธาตุนี้ ความเชื่อที่ไร้ขอบเขตจำกัดได้ทะลุผ่านโลกธาตุนี้ไป พวกเขาหวังพึ่งพาพลังทั้งหมดของโลกธาตุมาต่อต้านกับการล่มสลายของยุคสมัยดังกล่าว! แต่ ในจำนวนเก้าอริยสงฆ์นั้นมีอริยสงฆ์รูปหนึ่งไม่เห็นด้วยกับวิธีการเช่นนี้”
“เพราะอะไร?” ธิดาราชันฉีหลินถึงกับเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“เม็ดทรายในแม่น้ำเหิงเหอ” หลี่ชิเย่มองดูธิดาราชันฉีหลินทีหนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้นมาช้าๆ ว่า “ต่อให้ในแม่น้ำเหิงเหอมีจำนวนเม็ดทรายมากเท่าใดก็ตาม มันก็แค่เม็ดทรายในแม่น้ำเหิงเหอเท่านั้น ต่อให้นำเอาเม็ดทรายในแม่น้ำเหิงเหอมาสร้างเป็นหอคอยที่สูงมากเท่าไรก็ตาม มันก็แค่เป็นการรวมตัวกันของทรายเท่านั้น ไม่สามารถต้านทานได้อยู่แล้ว”
“เม็ดทรายในแม่น้ำเหิงเหอ” ธิดาราชันฉีหลินพูดพึมพำขึ้นมา แน่นอนที่สุด นางยังห่างไกลอีกมากที่เดียวกว่าจะก้าวไปถึงขั้นนั้นได้ จึงไม่กล้าที่จะแสดงความเห็นใดๆ ออกมา จะอย่างไรเสีย มีเพียงผู้ที่ยืนอยู่ตำแหน่งสูงสุดเท่านั้นจึงสามารถรับรู้ว่าในนั้นมีข้อดีข้อเสียอย่างไร
“พระอริยสงฆ์ผู้นี้มองว่า การรวบรวมเหล็กนำมาสร้างเป็นโล่ มิสู้นำเหล็กที่รวบรวมได้มาสร้างเป็นคมมีด” หลี่ชิเย่กล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “เขามองว่าควรจะนำเอาความเชื่อของยุคนั้นทั้งหมดมาหล่อเลี้ยงพระอริยสงฆ์รูปหนึ่ง นำพลังทั้งหมดที่มีไปใช้กับคมมีด เมื่อเผชิญกับการล่มสลายของยุคสมัย คิดเพียงแต่ป้องกันเพียงอย่างเดียวเพื่อต้านการถูกทำลาย มันเป็นเรื่องที่ไม่เกิดประโยชน์ใดๆ มีเพียงตัวเองกลับกลายเป็นของคมมีด ตัดขาดซึ่งกฎแห่งกรรม ตัดขาดการล่มสลาย เช่นนี้แล้วจึงสามารถทำให้ยุคสมัยของพวกเขาคงอยู่ต่อไป!”
เมื่อหลี่ชิเย่กล่าวมาถึงตรงนี้ได้หยุดนิดหนึ่ง แล้วกล่าวว่า “เพียงแต่ พระอริยสงฆ์อื่นๆ อีกแปดรูปไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ ดังนั้น พระอริยสงฆ์รูปนั้นจึงได้จากไปก่อนการล่มสลายของยุคสมัยจะมาถึง ขณะที่อริยสงฆ์ทั้งแปดรูปที่เหลือยังคงหลอมรวมเข้ากับโลกธาตุของตน หวังจะอาศัยพลังของยุคสมัยทั้งยุคมาต่อต้านการทำลายล้าง!”