การก้าวเดินและเหยียบลงบนบันไดขึ้นไปทีละก้าวๆ เสมือนหนึ่งขึ้นไปบนบันไดฟ้าตรงขึ้นไปยังจักรวาล
“เล่าลือกันว่า หากสามารถได้รับการโปรดปรานจากหลิงเตี๋ยของสันเขาถัวหลิ่งแล้วจะนำพาซึ่งความโชคดี กระทั่งหลิงเตี๋ยจะคุ้มครองผู้นั้น ทำให้ได้ขุมทรัพย์ในฝอเหย่ เป็นเรื่องจริงหรือไม่?” ขณะก้าวขึ้นไปบันได ธิดาราชันฉีหลินถึงกับถามด้วยความสงสัย
เรื่องราวตำนานเกี่ยวกับแดนแห่งการสืบค้นนางเคยได้ยินได้ฟังมาไม่น้อย เป็นต้นว่าหลิงเตี๋ยของฝอเหย่ นางเคยได้ยินบรรพบุรุษพูดถึง
หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะขึ้นมา ส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “โลกนี้ไหนเลยมีความโชคดีอะไรนั่น มันก็แค่พลังงานอย่างหนึ่งเท่านั้น เมื่อเจ้าไม่เข้าใจถึงพลังงานเช่นนี้ เจ้าก็จะรู้สึกว่ามันลึกลับมาก เป็นสิ่งที่ถูกลิขิตเอาไว้แล้ว หรือเป็นความโชคดีอย่างหนึ่ง”
ธิดาราชันฉีหลินฟังคำพูดของหลี่ชิเย่แล้วไม่ค่อยจะเข้าใจนัก นางติดตามอยู่ข้างกายหลี่ชิเย่จึงไม่สะดวกที่จะถามต่อไป
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ในที่สุดหลี่ชิเย่กับธิดาราชันฉีหลินก็ขึ้นไปถึงยอดเขาสูงสุดของสันเขาถัวหลิ่ง
ธิดาราชันฉีหลินถึงกับหวั่นไหวเมื่อได้มายืนอยู่บนยอดเขาสูงสุด มันเป็นสนามที่กว้างใหญ่มาก เหมือนเกิดขึ้นจากการเฉือนก้อนหินขนาดยักษ์ ผ่านการเจียระไนจากลมและฝนมานานนับไม่ถ้วน แต่หินที่หยาบกร้านยังคงไม่สามารถทำให้เรียบได้
แต่ว่า สิ่งที่ทำให้ผู้คนต้องหวั่นไหวหาใช่สนามที่มีขนาดยักษ์แห่งนี้ แต่เป็นรูปแกะสลักขนาดยักษ์ที่ยากจะหาใดปานที่อยู่ในสนามยักษ์แห่งนี้ เป็นพระพุทธรูปองค์หนึ่ง โดยที่พระพุทธรูปองค์นี้สูงใหญ่จนทะลุเมฆา เสมือนหนึ่งเป็นคนยักษ์อย่างนั้น
พระพุทธรูปองค์นี้มีลักษณะนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น มองเห็นมือข้างหนึ่งของพระพุทธรูปอยู่ในท่ามุทรา มืออีกข้างอยู่บริเวณท้อง เศียรพระพุทธรูปก้มหน้าเหมือนกับดั่งไตร่ตรอง กำลังเข้าฌานเพื่อบรรลุสัจธรรม!
พระพุทธรูปองค์นี้มีขนาดที่สูงใหญ่ยิ่งนัก เมื่อยืนอยู่ตรงหน้าพระพุทธรูปแล้วทำให้ผู้คนต้องแหงนหน้ามอง พระพุทธรูปองค์นี้ไม่ได้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ ปรากฏเป็นรอยร้าวเป็นริ้วๆ เหมือนว่าเคยได้รับความเสียหายอย่างหนัก ด้วยเหตุนี้เอง ใบหูข้างซ้ายจึงได้หายไปแล้ว และใบหน้าของพระพุทธรูปองค์นี้ก็ไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน เหมือนว่าถูกทำลายไม่อนุญาตให้ผู้คนได้มองเห็น
สิ่งที่ทำให้ผู้คนต้องหวั่นไหวหาใช่ความใหญ่โตของพระพุทธรูป แต่เป็นเพราะพระพุทธรูปมีอำนาจอะไรอย่างหนึ่งที่บอกไม่ถูก ยามที่พระพุทธรูปองค์นี้ตั้งตระหง่านอยู่ตรงนี้ความรู้สึกแรกที่รู้สึกได้ก็คือ…ใต้หล้าบนพิภพ ข้าเท่านั้นที่เป็นใหญ่!
ขณะพระพุทธรูปตั้งตระหง่านอยู่ตรงนี้นั้น ต่อให้สวรรค์ก็อยู่ห่างไกลเหลือเกิน แผ่นดินช่างเล็กจิ๋วอะไรขนาดนั้น เหมือนว่าทุกอย่างล้วนหมอบคลานอยู่ใต้แทบเท้าของมัน แม้แต่สวรรค์ที่อยู่เบื้องบนยังคงไม่สามารถสยบเศียรพระพุทธรูปที่ก้มลงต่ำ ต่อให้ผืนแผ่นดินที่อยู่เบื้องล่างก็ไม่อาจสยบการย่างก้าวของมัน!
ดังนั้น ไม่ว่าใครก็ตามที่มาถึงที่ตรงนี้ ต่างบังเกิดอารมณ์พลุ่งพล่านอยากที่จะกราบไหว้ ต้องการโขกศีรษะต่อหน้าพระพุทธรูป ต้องการจูบเท้าของพระพุทธรูป เพื่อแสดงออกถึงความเคารพสูงสุดของตนที่มี
ในฐานะที่เป็นถึงธิดาราชันของตระกูลราชันฉีหลิน นางไม่เพียงมีทักษะยุทธที่แข็งแกร่ง อีกทั้งยังมีจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรที่มั่นคงอีกด้วย แต่เมื่อได้เห็นพระพุทธรูปองค์นี้แล้ว ยังบังเกิดอารมณ์อยากที่จะกราบไหว้ขึ้นมา
“สวรรค์ไม่อนุญาตให้เห็นโฉมพระพุทธรูป” หลี่ชิเย่ที่มองดูพระพุทธรูปที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬาร กล่าวท่าทีเรียบๆ ออกมาว่า “สวรรค์โจรก็แค่ผู้หญิงชั้นต่ำคนหนึ่งเท่านั้น”
คำพูดลักษณะเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ทำให้ธิดาราชันฉีหลินถึงกับตะลึง เป็นครั้งแรกที่ได้ยินใครเขาด่าสวรรค์เช่นนี้ นางถึงกับเงยหน้าขึ้นจ้องมองเศียรพระที่ก้มลงต่ำอย่างละเอียด แต่ว่า ไม่ว่านางจะพยายามเช่นใดก็ตาม ต่อให้นางเปิดเนตรฟ้าขึ้นมาก็ไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของพระพุทธรูปได้อย่างชัดเจน เหมือนว่าใบหน้าของพระพุทธรูปนี้ถูกอะไรบางอย่างปิดกั้นเอาไว้อย่างนั้น
“ไม่ต้องไปดูแล้วหละ สวรรค์ไม่อนุญาตให้เห็นโฉมหน้าของพระพุทธรูป ทำอย่างไรเจ้าก็ไม่สามารถมองเห็นได้” ขณะที่ธิดาราชันฉีหลินพยายามจะมองดูให้เห็นโฉมหน้าของพระพุทธรูปอยู่นั้น หลี่ชิเย่ได้พูดเรียบๆ ขึ้นมา
“เพราะอะไรสวรรค์จึงไม่อนุญาตให้เห็นโฉมหน้าของพระพุทธรูป”
หลี่ชิเย่มองดูพระพุทธรูป กล่าวเรียบเฉยว่า “นี่คือปรัชญาเมธีคนหนึ่ง เป็นผู้สร้างยุคๆ หนึ่ง ก้าวเดินไปอย่างไร้ประโยชน์ท่ามกลางสายน้ำแห่งกาลเวลา มันสืบทอดความเลื่อมใสศรัทธาของสรรพชีวิตนับล้านล้านมายุคแล้วยุคเล่า ท่ามกลางความเลื่อมใสศรัทธาที่สั่งสมอยู่ในพระพุทธรูป เจ้ารู้ไหมว่าฟ้าดินมันเล็กจิ๋วขนาดไหน? เจ้ารู้หรือไม่ว่าสัจธรรมบนโลกช่างไร้ค่าคู่ควรจะกล่าวถึงหรือไม่? นี่คือการแทนที่ทุกๆ ความเลื่อมใสศรัทธาที่มีอยู่ทั้งหมด นี่คือโลกที่สว่างไสว! หลังจากที่โลกลักษณะเช่นนี้พังครืนไปแล้ว ก็คือสวรรค์ไม่อนุญาตให้เห็นโฉมหน้าของพระพุทธรูป!”
“สวรรค์จึงไม่อนุญาตให้เห็นโฉมหน้าของพระพุทธรูป…” ธิดาราชันฉีหลินถึงกับพึมพำออกมาเมื่อได้ฟังคำเช่นนี้ของหลี่ชิเย่แล้ว นางสามารถจินตนาการได้จากปากคำของหลี่ชิเย่ว่า มันช่างเป็นยุคสมัยที่กว้างใหญ่ไพศาลเหลือเกิน ช่างเป็นยุคสมัยที่สว่างไสวเหลือเกิน!
ความจริงในขณะนี้ ผู้ที่กราบไหว้อยู่ด้านหน้าพระพุทธรูปใช่จะมีเพียงหลี่ชิเย่สองคนเท่านั้น มีผู้คนที่เข้าแถวรอยาวมากเป็นเวลานานแล้ว
มองเห็นด้านหน้ามีผู้บำเพ็ญตนจำนวนไม่น้อยที่เข้าแถวกันอยู่ ทุกคนต่างอยู่ในท่าทีนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา ไหลไปตามแถวขบวนข้างหน้าอย่างช้าๆ
ด้านหน้าของหลี่ชิเย่เป็นรถศักดิ์สิทธิ์คันหนึ่ง รถคันนี้ได้วาดภาพของเมฆยามตะวันชิงพลบที่ส่งประกายของเมฆยามเย็นออกมา โดยรถศักดิ์สิทธิ์คันนี้เหมือนหนึ่งกำลังแล่นอยู่ท่ามกลางเมฆยามเย็น
บนรถศักดิ์สิทธิ์มีผู้หญิงนั่งอยู่คนหนึ่ง ดูไปแล้วอายุของนางน่าจะราวสามสิบ ท่าทางมีเสน่ห์ดึงดูดผู้คนเหลือเกิน ท่วงท่าของความเป็นผู้ใหญ่เปิดเผยโดยไม่มีการซ่อนเร้นอำพราง นางเปรียบเสมือนหนึ่งเป็นองุ่นแดงที่สุกได้ที่ ทำให้ผู้ที่พบเห็นล้วนแล้วแต่อยากได้ลิ้มลองสักคำ รสชาติของหญิงสาวที่แต่งงานแล้วดึงเร้าใจผู้คน ขณะที่นางเหลือบมองด้วยสายตาที่ออดอ้อน เปี่ยมด้วยความเจ้าชู้ที่บอกไม่ถูก
“เจ้าหุบเขาตะวัน ชิงพลบ…” ธิดาราชันฉีหลินที่ติดตามอยู่ข้างกายหลี่ชิเย่รู้สึกเหนือความคาดคิดอยู่ไม่น้อย ไม่นึกฝันมาก่อนว่าจะได้พบกับคนรู้จักที่นี่
“น้องสาวตระกูลฉี ไม่พบเสียนาน” ผู้หญิงคนนี้ได้กล่าวทักทายต่อธิดาราชันฉีหลิน
ที่แท้ผู้หญิงคนนี้ก็คือเจ้าหุบเขาตะวันชิงพลบยินหวาลี่ เป็นสำนักของเผ่ามารที่เป็นหนึ่งสำนักสองราชัน นับว่ามีความแข็งแกร่งมากเช่นกันในชิงโจว
แม้ว่าร้อยชาติพันธุ์จะอยู่ร่วมกับเผ่าเทพ มาร สวรรค์ทั้งสามเผ่าได้ไม่ค่อยจะสบายใจมากนัก แต่สายสำนักราชันเซียนอย่างหุบเขาชิงพลบ และตระกูลราชันฉีหลิน ยังคงมีการไปมาหาสู่ระหว่างกัน
ในขณะที่ธิดาราชันฉีหลินและเจ้าหุบเขาชิงพลบทักทายถามทุกข์สุขดิบอยู่นั้น นางอดที่จะพินิจพิเคราะห์หลี่ชิเย่อยู่บ่อยครั้ง ยินหวาลี่เองก็เคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับหลี่ชิเย่มาเช่นกัน นางจึงไม่ต้องการไปหาเรื่องกับหลี่ชิเย่ ผู้ชายที่ไม่รู้ที่มาที่ไปและชั่วร้ายผิดปรกติมากผู้นี้
ในเวลานี้ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่เข้าแถวอยู่ข้างหน้าได้เข้าไปคารวะต่อพระพุทธรูปที่อยู่ตรงหน้าทีละคนๆ ไม่ว่าพวกเขาจะมาด้วยจิตใจเช่นใดก็ตาม ต่างจุดธูปและคารวะจากใจ เพื่อแสดงออกถึงความเคารพ
สายตาของยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนไม่น้อยหลังจากที่ปักธูปเสร็จแล้ว ต่างจ้องมองไปและสะดุดอยู่ที่บริเวณไหล่ของพระพุทธรูป
หัวไหล่ของพระพุทธรูปมีขนาดที่กว้างมาก เมื่อมองจากระยะห่างไกลเหมือนหนึ่งเป็นสันเขาที่กั้นขวางอยู่ตรงนั้น หากจ้องมองผิวเผินไม่มีอะไรน่าสนใจ แต่หากสังเกตให้ดีก็จะพบว่ามีผีเสื้อแต่ละตัวที่เกาะอยู่ตรงนั้น
มันไม่ใช่ผีเสื้อธรรมดาทั่วไป เมื่อสังเกตให้ดีก็จะพบว่า มันเป็นผีเสื้อที่แปลงมาจากประกายแสง โดยที่ผีเสื้อแต่ละตัวล้วนแล้วแต่เปล่งประกายอ่อนๆ ออกมา
สิ่งนี้ก็คือหลิงเตี๋ยแห่งสันเขาถัวหลิ่งที่มีชื่อเสียงมาก เนื่องจากหากบุคคลใดสามารถได้รับความชื่นชมจากหลิงเตี๋ยแห่งสันเขาถัวหลิ่งล่ะก็ บุคคลผู้นั้นจะปลอดภัยขณะอยู่ที่ฝอเหย่ กระทั่งมันสามารถนำพาบุคคลผู้นั้นไปพบกับสถานที่ซ่อนขุมทรัพย์ของฝอเหย่
ตามตำนานเล่าว่า เคยมีคนสามคนที่เคยได้รับการชื่นชมจากหลิงเตี๋ยแห่งสันเขาถัวหลิ่ง โดยทั้งสามคนดังกล่าวก็คือราชันซื่อตี้ ราชันเสิ่นตี้ และเทพโบราณกุยฝาน
ต่อมาในยุคหลังจึงมีผู้ให้ความเห็นว่า การที่ราชันซื่อตี้ ราชันเซิ่นตี้ และเทพโบราณกุยฝานได้รับโชควาสนาใหญ่และประสบความสำเร็จต่อมานั้น เป็นเพราะได้รับการชื่นชมจากหลิงเตี๋ยนั่นเอง
ไม่ว่าคำพูดลักษณะเช่นนี้ในยุคหลังจะมีหลักฐานหรือไม่ แต่ทว่า บรรดายอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่มายังฝอเหย่ก็จะต้องมากราบไหว้สักครั้งเพื่อแสดงออกถึงความเคารพ แน่นอน หากว่าสามารถได้รับการชื่นชมจากหลิงเตี๋ยล่ะก็ย่อมเป็นการดีที่สุด
ดังนั้น หลังจากที่ผู้คนจำนวนมากขึ้นธูปแล้วก็อดที่จะมองไปยังหลิงเตี๋ยที่เกาะอยู่บนไหล่ของพระพุทธรูปไม่ได้ แต่ว่า หลิงเตี๋ยแต่ละตัวที่เกาะอยู่บนไหล่ของพระพุทธรูปกลับไม่มีการเคลื่อนไหว ไม่มีความประสงค์ที่จะให้การชื่นชมผู้หนึ่งผู้ใดแต่อย่างไร
ขบวนแถวไหลไปเรื่อยๆ หลังจากผ่านไปนานมาก ในที่สุดก็เวียนมาถึงหลี่ชิเย่กับธิดาราชันฉีหลินแล้ว หลี่ชิเย่จุดธูป แสดงความคารวะแล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “วิถีทางบนโลกผันแปรเปลี่ยนไปอยู่เสมอ ปรัชญาเมธีล้มลงแล้ว วันหน้าคอยดูข้าจะกวาดล้างจนสิ้น!”
การที่หลี่ชิเย่พูดคำๆ นี้ออกมากะทันหัน ทำให้ผู้บำเพ็ญตนจำนวนไม่น้อยที่อยู่ในเหตุการณ์ต้องเหลือบมอง ทุกคนต่างรู้ว่าเขาคือคนโหดอันดับหนึ่ง ครั้นได้ฟังคำพูดที่อหังการของเขาแล้ว ทุกคนล้วนแล้วแต่รู้สึกว่าเจ้าหนูคนนี้ช่างอวดดีเหลือเกิน ไปถึงไหนก็กล่าววาจาสามหาวที่นั่น
เมื่อเปรียบเทียบกับหลี่ชิเย่ที่เพียงแสดงความคารวะแล้ว ธิดาราชันฉีหลินดูจะให้ความเคารพกว่ากันมาก หลังจากที่นางขึ้นธูปแล้ว ก็ได้ก้มลงโขกศีรษะเสียงดังสามครั้งเป็นการแสดงความเคารพต่อพระพุทธรูปองค์นี้
ขณะที่หลี่ชิเย่ และธิดาราชันฉีหลินกำลังจะเดินจากไปหลังแสดงความเคารพเสร็จสิ้น ได้ยินเสียงดัง “พรึบพับ” หลิงเตี๋ยแต่ละตัวที่เกาะบนไหล่กลับมีการโบยบินลงมา
“หลิงเตี๋ยขยับตัวแล้ว…” มีผู้ที่ร้องเสียงดังออกมาเมื่อมองเห็นหลิงเตี๋ยแต่ละตัวที่บินขึ้นมา
หลังจากที่หลิงเตี๋ยแต่ละตัวบินลงมาแล้ว ทั้งหมดบินวนเวียนไปมาอยู่รอบๆ ตัวของหลี่ชิเย่ ร่ายรำเริงระบำขึ้นลง เหมือนมีความสุขยิ่งนัก แลดูเหมือนเอลฟ์แต่ละตัวที่กำลังเต้นรำอยู่
“นี่ นี่ นี่มันเป็นไปไม่ได้?” มียอดฝีมือรุ่นอาวุโสถึงกับร้องเสียงดังออกมาว่า “ข้ามาที่ฝอเหย่ไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง ไม่เคยเห็นหลิงเตี๋ยขยับตัวมาก่อน วันนี้หลิงเตี๋ยทั้งหมดถึงกับบินออกมาทั้งหมด”
“มันเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อจริงๆ เล่าลือกันว่าครั้งนั้นขณะราชันซื่อตี้มาที่นี่ก็มีเพียงหลิงเตี๋ยจากไหล่เพียงข้างเดียวที่บินมาห้อมล้อมตัวของเขา เวลานี้ คนโหดอันดับหนึ่งกลับสามารถทำให้หลิงเตี๋ยจากไหล่ทั้งสองข้างบินลงมาหมด” ระดับบรรพบุรุษที่มีประสบการณ์กว้างขวางถึงกับกล่าวด้วยความตกใจ
“นี่ออกจะโชคดีเกินไปแล้วกระมัง” บรรดาผู้บำเพ็ญตนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างอิจฉาริษยาและแค้นเคือง เมื่อเห็นหลิงเตี๋ยทั้งหมดบินวนร่ายรำอยู่รอบกายของหลี่ชิเย่ และกล่าวว่า “นี่แหละคือเจ้าชีวิตตัวจริงที่กลับชาติมาเกิดรึ?”
แม้แต่ธิดาราชันฉีหลินยังต้องอ้าปากค้าง นางเองก็เคยได้ฟังมาว่ามีเพียงราชันซื่อตี้ ราชันเสิ่นตี้ และเทพโบราณกุยฝานสามคนนี้เท่านั้นที่เคยได้รับการชื่นชมจากหลิงเตี๋ย เวลานี้ หลี่ชิเย่กลับได้รับการชื่นชมจากหลิงเตี๋ยทั้งหมด ช่างเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อจริงๆ
“มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเถอะ คงไว้เพียงตัวเดียวก็เพียงพอแล้ว” หลี่ชิเย่เอ่ยขึ้นมาช้าๆ และเป่าลมปากออกไปเบาๆ
จากการที่หลี่ชิเย่ได้เป่าลมออกจากปากไป มองเห็นหลิงเตี๋ยทั้งหมดทยอยกันเริงระบำกันขึ้น และท้ายสุดถูกเป่าให้ลอยขึ้นฟ้าไป จากนั้น ทยอยกันตกลงมาเกาะอยู่บนไหล่ของพระพุทธรูปอีกครั้ง และเกาะนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่เคลื่อนไหวอีกต่อไป
หลี่ชิเย่ได้เป่าหลิงเตี๋ยออกไปจนเหลือไว้เพียงตัวเดียวเท่านั้นที่เกาะอยู่บนไหล่ของเขา
“ไปเถอะ” หลี่ชิเย่มองดูหลิงเตี๋ยที่เกาะอยู่บนไหล่ทีหนึ่ง กล่าวต่อธิดาราชันฉีหลิน
ผู้คนจำนวนมากที่ได้เห็นภาพนี้ล้วนแล้วแต่รู้สึกงุนงง กล่าวสำหรับผู้คนจำนวนมากแล้ว การที่สามารถได้รับการชื่นชมจากหลิงเตี๋ยยิ่งมากเท่าไรยิ่งดี แต่ หลี่ชิเย่กลับเป่าหลิงเตี๋ยออกไปทั้งหมดและเหลือไว้เพียงตัวเดียวเท่านั้น ออกจะชั่วร้ายผิดปรกติเกินไปแล้ว ณ ที่ตรงนี้ถึงกับยังมีคนที่ติว่าได้หลิงเตี๋ยมามากเกินไป