คำพูดของหลี่ชิเย่ทำให้อู่ฟ่งหยิ่งตะลึงนิดหนึ่ง ยืนอยู่ตรงนั้นทำอะไรไม่ถูก มีท่าทีเขินอายอยู่บ้าง เวลานี้นางไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
“สู้สู้ สู้สู้ ได้เรื่องแล้วพี่” น้องชายอู่ฟ่งหยิ่งที่ยืนอยู่ข้างๆ จึงส่งเสียงและปรบมือให้กำลังใจ และหัวเราะเสียงดังพูดขึ้นมาว่า “จะได้อุ้มบุรุษรูปงามกลับบ้านก็อยู่ที่ตอนนี้แหละ”
“อู่ชี…”อู่ฟ่งหยิ่งพลันมีใบหน้าที่แดงก่ำทันที อายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี และคลั่งอาละวาดขึ้นมาทันที ก่อนหน้านั้นยังมีภาพของกุลสตรีอยู่สามส่วน เวลานี้กลับกลายเป็นมังกรคลั่งขึ้นมาในฉับพลัน วิ่งเขาไปประเคนเท้าและหมัดกับน้องชายของนางทันที
น้องชายของอู่ฟ่งหยิ่งพลันตกใจจนนั่งยองๆ ลง มือทั้งสองกอดศีรษะเอาไว้ ปล่อยให้อู่ฟ่งหยิ่งเตะต่อยตามอำเภอใจ
แต่ทว่า แม้เจ้าหนูผู้นี้จะถูกอู่ฟ่งหยิ่งประเคนด้วยหมัดและเท้า แต่ยังคงปากไม่ดีและไม่กลัวตาย ยิ้มแต้และพูดจายั่วเย้าต่อไปว่า “พี่ ท่านไม่มีหัวใจจริงๆ มีแต่ความเป็นเพศตรงข้ามไม่มีความเป็นมนุษย์ ข้าอุตส่าห์ใจดีสอนวิธีจีบผู้ชายให้ เวลานี้ถึงกับหักหลังข้า ยังคิดจะตีข้าให้ตาย คนอย่างท่านมีมโนธรรมหรือไม่ ต่อไปข้าจะไม่สอนท่านจีบผู้ชายอีกแล้ว”
“หุบปากเจ้าเดี๋ยวนี้…” อู่ฟ่งหยิ่งรู้สึกอับอายจนแทบอยากจะให้พื้นดินแยกเป็นร่องออกมาจะได้พาตัวแทรกเข้าไปในนั้นให้มันรู้แล้วรู้รอดไป อยู่ดีๆ กลับต้องมาเสียหน้าต่อหน้าหลี่ชิเย่ ทั้งหมดต้องโทษเจ้าผีทะเลเสี่ยวชี! ดังนั้น อู่ฟ่งหยิ่งจึงร้องคำรามด้วยความโกรธ และต่อยน้องชายของเขาอย่างหนักหน่วง แทบอยากจะซัดให้ตกจากเรือในหมัดเดียวให้มันรู้แล้วรู้รอดไป
“ได้ ได้ ตกลงข้าจะหุบปาก ข้าจะหุบปาก” อู่ชีกอดศีรษะเอาไว้แน่น แม้ว่าปากจะบอกว่าหุบปากแล้ว แต่ยังคงปากเสีย หัวเราะเบาๆ และกล่าวว่า “ต่อให้พี่ให้ข้าหุบปากเอาไว้ แต่ไม่อาจลบเลือนความจริงที่ท่านเห็นตัณหาจนลืมน้องไปได้ ชั่วดีอย่างไรข้าก็คือน้องชายแท้ๆ ของท่านนะ…” ในเวลานี้ พวกเขาสองพี่น้องคนหนึ่งประเคนหมัดและเท้าอย่างหนักทั้งโกรธทั้งอาย ขณะที่อีกคนเอาแต่กอดศีรษะเอาไว้แน่น ปล่อยให้นางทั้งหมัดทั้งเท้าที่เตะต่อยลงบนตัว ปากก็ยังคงพล่ามบ่นออกมา
ธิดาราชันฉีหลินอยากจะหัวเราะแต่ก็ไม่กล้า เมื่อมองเห็นท่าทางของพี่น้องคู่นี้แล้ว ได้แต่เอามือป้องปากเอาไว้ ดูไปแล้วบางครั้งพี่น้องคู่นี้ต้องเรียกว่าเป็นตัวตลกโดยแท้
สุดท้าย อู่ฟ่งหยิ่งทั้งเตะทั้งต่อยจนเหนื่อยได้แต่หยุด ขณะที่อู่ชีกอดศีรษะเอาไว้แน่น แม้ว่าเขาจะถูกประเคนด้วยมือเท้าดั่งพายุจากอู่ฟ่งหยิ่ง แต่ยังคงเหมือนเช่นมังกรและพยัคฆ์ที่ผาดโผน ดูท่าคงเคยชินกับการเป็นกระสอบทรายมา จึงคุ้นเคยกับหมัดและเท้าของอู่ฟ่งหยิ่ง
อู่ฟ่งหยิ่งหยุดมือด้วยความเคือง ครั้นมองเห็นหลี่ชิเย่ที่ยืนจ้องมองพวกเขาด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า พลันทำให้อู่ฟ่งหยิ่งที่ลืมตัวเสียมารยาทไปรู้สึกอับอายเป็นยิ่งนัก ไม่กล้ามองไปที่หลี่ชิเย่ รู้สึกเสียหน้าอย่างยิ่ง นางมองหน้าอู่ชีอย่างเคืองๆ ทั้งหมดเป็นเพราะเสี่ยวชีโดยแท้!
ตรงกันข้ามกับอู่ชีที่ดูเหมือนอย่างไรก็ได้ ท่าทีที่เอ้อระเหยลอยชายของเขา หลังจากที่พี่สาวของเขาเตะต่อยจนเหนื่อย เขาปัดเอาฝุ่นที่อยู่บนตัวออกไปแล้วลุกขึ้นยืน ท่าทางดูเหมือนผ่อนคลายสบายๆ ยิ่ง เดินเข้าไปแสดงคารวะโค้งคำนับอย่างนอบน้อม และกล่าวว่า “น้องชื่ออู่ชี เป็นน้องลำดับที่เจ็ด คารวะพี่เขย”
ในเวลานี้ไม่ว่าจะเป็นคำพูดคำจาและหรือท่าทางของอู่ชี ล้วนแล้วแต่ดูมีความเหมาะสมยิ่งนัก และมีความสง่างาม พลันที่ได้เห็นก็รู้ได้ทันทีว่ามีท่วงท่าของความเป็นลูกหลานตระกูลขุนนางโบราณ ยกเว้นคำพูดคำสุดท้าย!
เมื่อครู่ยังมีท่าทีที่เอ้อระเหยลอยชาย เวลานี้กลับเปลี่ยนเป็นดูสง่างามในชั่วพริบตาเดียว บางทียังเข้าใจว่านี่เป็นการแสดงละครกันอยู่จริงๆ ทว่าเจ้าหนูผู้นี้นับว่าเป็นประเภทเยาะเย้ยถากถางสังคมคนหนึ่ง
“ไอ้เสี่ยวชิ…” พลันที่อู่ฟ่งหยิ่งได้ยินคำพูดเช่นนี้ พลันอับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหน ใบหน้าแดงก่ำไม่กล้ามองไปที่หลี่ชิเย่ ตวาดเสียงดังต่ออู่ชี
“พี่ บุคลิก บุคลิก รักษาบุคลิกความเป็นกุลสตรีเอาไว้” เมื่ออู่ชีเห็นพี่สาวตวาดเสียงดังจึงกระโดดหลบเข้าไปอยู่ด้านหลังของหลี่ชิเย่ จากนั้นยื่นหัวออกมา ยิ้มแต้กล่าวกับอู่ฟ่งหยิ่งว่า “ถ้าหากท่านทำตัวเหมือนดั่งเป็นแม่เสือที่ส่งเสียงคำรามทั้งวันเช่นนี้ ต้องทำให้พี่เขยผิดหวังแน่นอน”
อู่ฟ่งหยิ่งถูกน้องชายตนยั่วโมโหจนแทบกระอักเลือด นางทั้งโกรธทั้งอาย แต่เมื่ออู่ชีหลบซ่อนตัวอยู่ด้านหลังของหลี่ชิเย่ พลันทำให้นางสูญสิ้นความกล้าที่จะบุกเข้าไปสั่งสอนเขา
หลี่ชิเย่ได้แต่ยิ้มๆ และลากคออู่ชีออกมาทันที มองหน้าเขาแวบหนึ่ง เอ่ย่ขึ้นเรียบๆ ว่า “สายเลือดอลังการเมืองหลงเฉิน ดูท่าเมืองหลงเฉินได้ทำการบ่มฟักเจ้าในฐานะตัวจริง”
“เหอะ เหอะ เหอะ พี่เขยเข้าใจผิดแล้ว” อู่ชียิ้มแต้และกล่าวว่า “พี่สาวข้านั่นแหละคือตัวจริงของเมืองหลงเฉิน นางเป็นผู้กุมบังเหียนอนาคตของเมืองหลงเฉิน ส่วนข้าไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย”
“ถ้าหากไม่ใช่ตัวจริง ไหนเลยเมืองหลงเฉินจะถ่ายทอดของประจำตระกูลให้กับเจ้าได้” หลี่ชิเย่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยมาก
“แค่จับพลัดจับพลู จับพลัดจับพลูเท่านั้นเอง” อู่ชีหัวเราะเจื่อนๆ รู้สึกหวาดกลัวภายในใจ ภายใต้แววตาที่เรียบเฉยของหลี่ชิเย่ เขารู้สึกเหมือนตัวเองนั้นเปลือยเปล่าอย่างนั้น ไม่มีอะไรสามารถปิดบังสายตาคู่นั้นของเขาได้อย่างนั้น แม้แต่ความลับที่ลับที่สุดของเขาหลี่ชิเย่ก็ดูออกได้ทันที นับว่าน่ากลัวมากเหลือเกิน
“ฮึ ความหมายของเจ้าคือตำแหน่งเจ้าเมืองของข้าไม่ถูกต้องน่ะสิ” เมื่ออู่ฟ่งหยิ่งได้ยินหลี่ชิเย่กล่าวชมน้องชายของตนเช่นนี้ถึงบังบังเกิดความอิจฉาขึ้นมา พูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาขึ้นมา
หลี่ชิเย่มองดูอู่ฟ่งหยิ่งทีหนึ่ง กล่าวเรียบๆ ว่า “เจ้าฝึกวิชาจอมมารดึกดำบรรพ์ผู้กำแหงจนสำเร็จ สามารถปกครองเมืองหลงเฉินใช่ว่าจะเหนือความคาดคิด และมีคุณสมบัติอย่างเพียงพอ แต่ เขาจึงเป็นตัวจริง สายเลือดของเมืองหลงเฉินมีการสืบทอดเช่นนี้ตลอดมา”
อู่ฟ่งหยิ่งเพียงส่งเสียงฮึเบาๆ ออกมาโดยไม่ได้ตอบโต้คำพูดของหลี่ชิเย่ ก้มหน้าลงไม่กล้าสบตาของหลี่ชิเย่ตั้งแต่ต้นจนจบ
“คำพูดของพี่เขยช่างหมดจดชัดเจนเหลือเกิน ที่ว่าตัวจริงไม่ตัวจริงอะไรนั่น ความจริงแล้วก็คือพ่อพันธุ์” อู่ชีหัวเราะแห้งๆ และกล่าวว่า “ถ้าหากสามารถเลือกได้หละก็ ข้าจะไม่ยอมเป็นตัวจริงอะไรที่ว่านั่นเด็ดขาด”
หลี่ชิเย่เพียงกล่าวด้วยท่าทีเรียบๆ โดยไม่ได้ให้ความสนใจกับคำพูดลักษณะเช่นนี้ว่า “คราวหน้าหากเรียกสุ่มสี่สุ่มห้าแบบนี้อีก ข้าจะจับเจ้าโยนออกไปจากเรือนิรันดร” กล่าวจบหันหลังเดินเข้าบ้านไป
อู่ฟ่งหยิ่งได้แต่อ้าปากค้าง มองดูหลี่ชิเย่ที่เดินเข้าบ้านไป โดยไม่สามารถพูดอะไรออกมาเป็นเวลานาน จนแล้วจนรอดนางก็ไม่มีความกล้าเช่นนั้น
แต่ หลี่ชิเย่ที่กำลังก้าวข้ามธรณีประตูไปพลันหยุดและหันหลังกลับมา พูดกับอู่ฟ่งหยิ่งว่า “ความจริงแล้ว การที่เจ้าสวมใส่ชุดสีแดงนั่นดูดีมากเลย สวยหยาดเยิ้ม” พูดจบ หายเข้าไปภายในบ้าน
การที่หลี่ชิเย่พูดคำๆ นี้ออกมากะทันหัน ทำเอาอู่ฟ่งหยิ่งถึงกับตะลึงนิดหนึ่ง ไม่อาจเรียกสติกลับมาในเวลานี้ หลังจากได้สติกลับมาแล้วนางถึงกับจับใบหน้าของตนเอง ไม่รู้ว่าคือเอียงอายหรือชื่นชอบ
เดิมทีอู่ฟ่งหยิ่งมีความรู้สึกว่าวันนี้อับอายขายหน้าอย่างยิ่ง เสียหน้าจนหมดสิ้นจนไม่เหลืออะไรอีกเลยจากฝีมือน้องชาย ไม่นึกเลยว่า ท้ายที่สุดแล้วยังได้รับคำชื่นชมจากหลี่ชิเย่คำหนึ่ง ความสุขเช่นนี้เรียกได้ว่ามาได้กะทันหันเหลือเกิน
“อิ อิ อิ พี่ นี่คือนิมิตหมายที่ดีนะเนี่ย” ในขณะนี้ อู่ชีวิ่งพรวดไปยืนอยู่ข้างกายของอู่ฟ่งหยิ่ง ยิ้มแต้และกล่าวยุยงนางว่า “ภาษิตกล่าวไว้ว่า บุรุษตามจีบสตรีคั่นด้วยภูเขา สตรีตามจีบบุรุษคั่นเพียงกระดาษ ข้าเชื่อในความมีเสน่ห์ที่ไม่มีสิ้นสุดของพี่ พยายามอีกนิด ต้องคว้าติดมือมาได้อยู่แล้ว”
“เจ้าเจ็ดบ้า ขี้คร้านยุ่งกับเจ้าแล้ว!” อู่ฟ่งหยิ่งทำถมึงตาใส่ เวลานี้นางอารมณ์ดีมาก ขี้คร้านจะไปตอแยกับเขา แค่มองค้อนทีหนึ่งก็เดินจากไป
“พี่เมิ่งหยิง ที่นี่มีอะไรต้องการให้ข้าช่วยหรือไม่ ข้าเป็นลูกมือให้เจ้าดีไหม?” เวลานี้ อู่ฟ่งหยิ่งควงแขนธิดาราชันฉีหลินเอาไว้ ท่าท่าเหมือนน่ารักน่าเอ็นดู และใกล้ชิดสนิทสนมยิ่ง
ลักษณะเช่นนี้ทำให้ธิดาราชันฉีหลินถึงกับยิ้มเจื่อนๆ แม้ว่านางไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ภายในใจได้แต่ส่ายหัวเงียบๆ เนื่องจากนางรับรู้ถึงประวัติความเป็นมาของหลี่ชิเย่ เรื่องบางเรื่องใช่เป็นเรื่องง่ายดายอย่างนั้น
“ฮึ ฮึ ฮึ ข้าบอกแล้ว มีแต่ความเป็นเพศตรงข้ามไม่มีความเป็นมนุษย์” เมื่ออู่ชีมองเห็นลักษณะท่าทีของพี่สาวตน ถึงกับบ่นอุบว่า “ข้าที่เป็นน้องชายแท้ๆ ยังไม่เคยเห็นนางดีกับข้าอย่างนี้ กลับไปดีต่อคนแปลกหน้าคนหนึ่งเช่นนี้ ทั้งยังถูกคนแปลกหน้าซัดเสียน่วม เฮ่อ ผู้หญิงนะผู้หญิง เมื่อไรที่สมองเลอะเลือนแล้วก็หมดทางเยียวยาแล้วหละ” กล่าวพลางส่ายหัวด๊อกแด๊กไปมา
เรือนิรันดรแล่นต่อไปเรื่อยๆ ท่ามกลางการแล่นไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ในที่สุดมันก็แล่นไปถึงไกลกันดารได้แล้ว
“ถึงไกลกันดารแล้ว ทุกท่านเตรียมตัวให้พร้อม เรือนิรันดรจะทอดสมออยู่รินหน้าผาเป็นเวลาหนึ่งเดือน หลังจากหนึ่งเดือนจะเดินทางกลับเข้าเมือง ท่านที่จะไปเที่ยวกลับโปรดทราบ ส่วนผู้โดยสารที่ซื้อตั๋วเที่ยวกลับแล้วก็ต้องจัดเวลาของตนให้ดี” หลังจากเดินทางถึงไกลกันดารแล้ว เสียงจากกัปตันเรือนิรันดรดังก้องไปทั่วเรือนิรันดร
“ถึงไกลกันดารแล้ว…” ผู้โดยสารจำนวนไม่น้อยที่อยู่ในเรือนิรันดรพลันรู้สึกมีกำลังวังชาขึ้นมาเมื่อได้ยินคำๆ นี้ บางคนที่รู้สึกตื่นเต้น และดีใจ โดยเฉพาะผู้ที่เพิ่งจะมาที่ไกลกันดารเป็นครั้งแรก
ในเวลานี้ ผู้คนจำนวนไม่น้อยวิ่งออกมาจากห้องพักของตนมายืนอยู่บริเวณดาดฟ้าเรือ มองดูไกลกันดารจากระยะห่างไกล
“ถึงไกลกันดารแล้ว…” แม้แต่ธิดาราชันฉีหลินเมื่อได้ยินว่าถึงไกลกันดารแล้วก็ลุกขึ้นยืนเงยหน้ามองทันที
“แหะ แหะ ไกลกันดารข้ามาแล้ว ไม่แน่นักอาจสามารถได้สุดยอดอาวุธในหล้าสักเล่ม เกรียงไกรไปเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดิน” เมื่ออู่ชีได้ยินว่าถึงไกลกันดารแล้วก็ทำท่าคันไม้คันมืออยากลองเต็มกลืน เหมือนต้องการทำเรื่องใหญ่อย่างนั้น
“อยากได้สุดยอดอาวุธในหล้าสักเล่มรึ อย่าได้คิดมากเลย สามารถมาไกลกันดารเปิดโลกทัศน์ เพิ่มพูนประสบการณ์ จากนั้นมีชีวิตรอดกลับไปก็นับว่าโชคดีมหันต์แล้ว ส่วนเรื่องที่ว่าสามารถได้ของวิเศษเช่นใดนั้น มีเพียงจอมราชันเซียนหวัง หรือจอมเทพระดับสูงเท่านั้นที่ทำได้ คนทั่วไปหากโชคดีสุดๆ นั่นแหละจึงสามารถได้ของดีจากไกลกันดารได้” ซึหุนหลินที่นั่งอยู่ด้านข้างยิ้มกล่าวและส่ายหน้าเบาๆ
ซึหุนหลินคือระดับจอมเทพที่มีดวงตราสัญลักษณ์สามดวง ประสบการณ์กว้างขวาง หาใช่ผู้เยาว์สามารถเทียบเคียงได้
“อิ อิ อิ มีผู้อาวุโสที่เป็นระดับจอมเทพเช่นท่านคุ้มครองพวกเรา พวกเราย่อมสามารถวางอำนาจบาตรใหญ่ในไกลกันดารได้อยู่แล้ว” อู่ชียิ้มแต้ยกยอซึหุนหลินเป็นการใหญ่
ซึหุนหลินส่ายหน้า และกล่าวว่า “เจ้าไม่ต้องยกยอข้ามากหรอกนะ ข้าที่เป็นเพียงเทพเล็กๆ ไม่นับเป็นอะไรได้ในไกลกันดาร เพียงแต่เต็ดเตร่อยู่รอบๆ ริมขอบไกลกันดารหละก็ ข้ายังพอฝืนรับประกันไม่ให้เจ้าเกิดเรื่องได้ แต่ถ้าหากเจ้าต้องการให้ลึกเข้าไปก็คงยาก แม้แต่จอมราชันเซียนหวังที่มีชะตาฟ้าสิบเอ็ดสายยังต้องตายอยู่ในนั้น ฝีมือเล็กน้อยเช่นข้า เกรงว่านำไปอุดขี้ฟันยังไม่พอ”
แม้ว่าซึหุนหลินจะเป็นระดับจอมเทพคนหนึ่ง แต่ว่า คนอย่างเขาไม่มีการวางมาด จึงสามารถคุยกับรุ่นเยาว์ได้
คำพูดของซึหุนหลินทำให้พวกของอู่ฟ่งหยิ่งต่างรู้สึกสะท้านในใจ เขาที่เป็นระดับจอมเทพพูดออกมาเช่นนี้ ไม่ได้เป็นการขู่ขวัญพวกเขา
“ไม่มีปัญหา ข้าเชื่อในความสามารถของผู้อาวุโส” อู่ชียิ้มแต้กล่าว
“หากคิดจะไปเดินในไกลกันดาร ติดตามคุณชายหลี่ดีกว่าติดตามตาแก่อย่างข้า มั่นใจกว่ากันเยอะเลย” ซึหุนหลินยิ้มและส่ายหน้าเบาๆ กล่าวว่า “ข้าเองก็อาศัยติดตามอยู่ด้านหลังคุณชายหลี่คอยรับอนิสงฆ์นิดหน่อย”