ผู้หญิงมองดูแววตาที่กระหายอยากคู่นั้นของเด็กคนนั้น นางก้มโค้งลงเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าที่แฝงด้วยรอยยิ้มว่า “รอให้พวกเจ้าเรียนรู้เคล็ดวิชาเหล่านี้ให้ได้เสียก่อน แล้วค่อยไปฝึกวิชาเหาะขึ้นฟ้านะ มันก็เหมือนการหัดเดินอย่างนั้น ต้องเดินให้ได้ก่อนแล้วจึงหัดวิ่งน่า”
“อ๋อ เป็นอย่างนี้นี่เอง” เด็กน้อยพยักหน้าทำท่าเหมือนจะเข้าใจ สุดท้ายก็ร้องออกไปด้วยความดีใจและวิ่งกลับไปที่บ้าน
ครั้นเด็กๆ ทุกคนต่างแยกย้ายกันวิ่งกลับไปบ้านของตนแล้ว เวลานี้ผู้หญิงคนนั้นได้ลุกขึ้นยืน สายตาของนางจับจ้องลงบนตัวของหลี่ชิเย่ที่อยู่ปากทางเข้าหมู่บ้าน นางจ้องมองหลี่ชิเย่อย่างใจจดใจจ่อ ท่าทางดูระมัดระวังตัวยิ่ง จากนั้น เดินเข้าหาหลี่ชิเย่อย่างช้าๆ
ความจริงแล้ว ผู้หญิงคนนี้สังเกตเห็นคนแปลกหน้าเช่นหลี่ชิเย่ตั้งแต่เขาปรากฎตัวขึ้นครั้งแรกที่ปากทางเข้าหมู่บ้านแล้ว
หลี่ชิเย่เองก็มีท่าทียิ้มๆ ยืนตัวตรงแล้วเดินข้ามลำธารขนาดเล็ก ตรงเข้าไปยังผู้หญิงคนนั้นด้วยท่าทีที่เป็นธรรมชาติไม่สะทกสะท้าน
“ไม่ทราบว่าพี่ท่านมาจากที่ใด และจะไปยังที่ใด” หลังจากผู้หญิงเดินเข้ามาใกล้แล้ว แสดงคารวะแบบจีนต่อหลี่ชิเย่ ท่าทางสง่างามเปิดเผยตรงไปตรงมา แสดงท่าทีเกรงใจ และไม่เป็นการเสียมารยาท
ผู้หญิงคนนี้มีชาติกำเนิดอยู่ในหมู่บ้านเถาแห่งนี้ รอบๆ หมู่บ้านแห่งนี้ในรัศมีร้อยลี้ไม่ได้มีหมู่บ้านอื่นใดอีกเลย อีกทั้งหมู่บ้านเถาของพวกเขาตั้งอยู่ท่ามกลางเทือกเขา มีบุคคลภายนอกมาเยือนน้อยมาก
ผู้หญิงคนนี้ก็เป็นผู้ที่เคยมีประสบการณ์ชีวิตมาก่อน พลันที่เห็นหลี่ชิเย่ก็รู้ว่าเขาเป็นผู้บำเพ็ญตนคนหนึ่ง ดังนั้นจึงได้เอ่ยถามออกมาเช่นนี้
แน่นอนที่สุด ภายในใจของผู้หญิงก็มีความระแวดระวัง หมู่บ้านเถาของพวกเขาเป็นเพียงหมู่บ้านชนบทเล็กๆ แห่งหนึ่งเท่านั้น หมู่บ้านลักษณะเช่นนี้ถือว่าไม่คู่ควรจะกกล่าวถึงในโลกมนุษย์ การปรากฏตัวของหลี่ชิเย่ในฐานะที่เป็นผู้บำเพ็ญตนคนหนึ่ง เป็นความจริงที่ทำให้นางต้องระมัดระวังตัวขึ้นมา
“ผู้เดินทางผ่านเท่านั้นเอง แค่เดินทางผ่านมาทางนี้” หลี่ชิเย่ยิ้มเรียบๆ ท่าทางตามอารมณ์ยิ่งนัก
“น้องมีชื่อว่าเถาถิง ไม่ทราบว่าพี่ท่านมีนามว่ากระไร?” ผู้หญิงคนนี้เอ่ยถามขึ้นมาช้าๆ โดยไม่ได้ประมาท
“หลี่ชิเย่“ หลี่ชิเย่ยิ้มออกมาตามอารมณ์ ก้าวเดินเข้าไปหมู่บ้านช้าๆ โดยมีเถาถิงรีบเดินตามเป็นเพื่อนหลี่ชิเย่ไปตลอดทาง
แทนที่บอกว่าเดินเป็นเพื่อน มิสู้บอกว่าเป็นการประกบจะถูกต้องมากกว่า เนื่องจากการมาของหลี่ชิเย่นั้นกะทันหันมาก อีกทั้งยังเดินเข้าไปภายในหมู่บ้านของพวกเขา ทำให้นางไม่อาจไม่ระมัดระวังตัวขึ้นมา ถ้าหากหลี่ชิเย่เป็นเพียงมนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่งยังพอว่า แต่ หลี่ชิเย่กลับเป็นผู้บำเพ็ญตนคนหนึ่งเสียนี่
แต่ว่า สิ่งหนึ่งที่ทำให้เถาถิงรู้สึกวางใจก็คือ หมู่บ้านเถาของพวกเขาเป็นเพียงหมู่บ้านชนบทเล็กๆ เท่านั้นเอง ไม่มีสิ่งใดคู่ควรให้บุคคลภายนอกต้องมาสอดแนม
“ใครเป็นคนสอน ’เคล็ดวิชาเหล่าราชัน’ ให้กับเจ้า?” ขณะที่หลี่ชิเย่เก้าเดินอยู่ในถนนเล็กๆ ของหมู่บ้านชนบท ได้เอ่ยถามตามอารมณ์กับเถาถิงที่เดินอยู่ข้างกายขึ้นมา
“อาจารย์ในสถาบันศึกษาเทพเจ้าเป็นผู้สอน” เถาถิงตอบด้วยท่าทีที่ระมัดระวังอย่างยิ่ง และสงวนท่าทียิ่งนัก แน่นอน นางไม่ได้รู้สึกตกใจอะไรที่หลี่ชิเย่รู้จัก ’เคล็ดวิชาเหล่าราชัน’ เนื่องจากผู้บำเพ็ญตนทั่วหล้าเป็นจำนวนมากต่างก็รู้จัก ’เคล็ดวิชาเหล่าราชัน’ กันทั้งนั้น
เนื่องจาก ’เคล็ดวิชาเหล่าราชัน’ คือหนึ่งในสามเคล็ดวิชาสำคัญ เป็นหนึ่งในเคล็ดวิชากำลังภายในที่แพร่หลายมากที่สุดในหล้า กระทั่งมนุษย์ปุถุชนธรรมดาจำนวนมากก็เป็น
ทว่า ไม่ว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญตนคนใดในทวีปเจียวเหิงโจวก็ตาม พลันที่ได้ยินชื่อของ “สถาบันศึกษาเทพเจ้า” ก็ต้องรู้สึกเย็นวาบในใจ กระทั่งลุกขึ้นยืนด้วยความเคารพเลื่อมใสศรัทธา เนื่องจากสถาบันศึกษาเทพเจ้ามีชื่อเสียงโด่งดังในทวีปเจียวเหิงโจวอย่างยิ่ง กระทั่งในสิบสามทวีป ชื่อของ “สถาบันศึกษาเทพเจ้า” ก็มีชื่อเสียงโด่งดังเช่นกัน
เถาถิงนั้นให้ความสนใจในท่าทีของหลี่ชิเย่อย่างยิ่ง มันทำให้ภายในใจของเถาถิง รู้สึกเย็นวาบ เมื่อท่าทีของหลี่ชิเย่ที่มีต่อ “สถาบันศึกษาเทพเจ้า” นั้นสงบนิ่งมาก เนื่องจากในทวีปเจียวเหิงโจวขอเพียงคนผู้นั้นเป็นผู้บำเพ็ญตน ต่อให้เป็นเจ้าทึ่มคนหนึ่งก็ต้องเคยได้ยินชื่อของ “สถาบันศึกษาเทพเจ้า” แต่ปฏิกิริยาของหลี่ชิเย่กลับเรียบเฉยมาก ซึ่งเป็นอะไรที่น่าสนใจมากเหลือเกิน
“สอนได้ธรรมดามาก ไม่ได้เข้าถึงแก่นของ ’เคล็ดวิชาเหล่าราชัน’” หลี่ชิเย่ออกปากวิจารณ์ไปตามอารมณ์
คำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ทำเอาเถาถิงรู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่สะดวกขึ้นมา นางรู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดี ถ้าหากมีผู้อื่นอยู่ในเหตุการณ์ด้วยและได้ยินคำพูดเช่นนี้ ต้องเข้าใจว่าหลี่ชิเย่นั้นไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำแน่นอน
สถาบันศึกษาเทพเจ้าดำรงอยู่ในสถานะเช่นใด เป็นสถานบันการศึกษาที่แข็งแกร่งที่สุดในหล้า กล่าวได้ว่า ยากจะหาสิ่งใดเฉกเช่นสถาบันศึกษาเทพเจ้านี้ในโลกมนุษย์ได้อีกแล้ว
หลังจากที่ราชันเซียนเฟยได้ก่อตั้งสถาบันศึกษาเทพเจ้าขึ้นมาแล้ว ก็ได้วางรากฐานของมันเอาไว้อย่างมั่นคง เป็นการมอบความไม่ธรรมดาให้กับมัน ขณะราชันเซียนเฟยได้ก่อตั้งสถาบันศึกษาเทพเจ้าขึ้นมานั้น ราชันสวรรค์จงหนันที่มีชะตาฟ้าสิบสองสายในขณะนั้นก็ได้มาอวยพรด้วยตนเอง
เรียกได้ว่า การก่อตั้งสถาบันศึกษาเทพเจ้าขึ้นมาของราชันเซียนเฟยในครั้งนั้น ไม่มีใครผู้ใดกล้าไปก่อกวน ซึ่งทำให้สถาบันศึกษาเทพเจ้าได้รับการวางรากฐานให้มีฐานะที่ไม่อาจสั่นคลอนได้เอาไว้ ในยุคหลัง สถาบันศึกษาเทพเจ้าได้เคยมีราชันเซียนจากเก้าแดนแต่ละองค์เดินทางมาเป็นแขก และสถาบันศึกษาเทพเจ้าเองก็เคยให้กำเนิดระดับจอมเทพจำนวนนับไม่ถ้วน และยังเคยให้กำเนิดระดับเซียนหวังแต่ละองค์อีกด้วย
กล่าวสำหรับ ผู้บำเพ็ญตนของทวีปเจียวเหิงโจวแล้ว โดยเฉพาะผู้บำเพ็ญตนผู้มีชาติกำเนิดเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาด้วยแล้ว หากสามารถเข้าไปเป็นศิษย์ของสถาบันศึกษาเทพเจ้านับเป็นเกียรติยศสูงสุดอย่างหนึ่ง สำหรับบรรดาผู้ที่เป็นอาจารย์ของสถาบันศึกษาเทพเจ้ายิ่งไม่ต้องพูดถึง ไม่มีผู้อ่อนด้อยแม้แต่คนเดียว ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่อยู่ในฐานะสามารถสยบพื้นที่แถบหนึ่งได้ทั้งสิ้น
เวลานี้ หลี่ชิเย่กลับหาญกล้าวิพากวิจารณ์ผู้เป็นอาจารย์ของสถาบันศึกษาเทพเจ้า ถ้าหากบุคคลภายนอกได้ยินหละก็ ต้องเข้าใจว่าหลี่ชิเย่นั้นเสียสติไปแล้ว นี่เป็นการลบหลู่ต่อสถาบันศึกษาเทพเจ้าอย่างยิ่ง ในทวีปเจียวเหิงโจวใครบังอาจไม่ให้ความเคารพต่อสถาบันศึกษาเทพเจ้าถึงเพียงนี้ นับว่าเป็นการอวดดีมากเหลือเกิน
เถาถิงไม่ได้แสดงความโกรธขึ้นมาขณะหลี่ชิเย่พูดคำพูดออกมาเช่นนี้ เพียงแค่นิ่งเงียบไปชั่วครู่ ความคิดร้อยพันผุดขึ้นกลางใจของนาง
ขณะที่หลี่ชิเย่ และเถาถิงก้าวเดินบนถนนเล็กๆ ภายในหมู่บ้านชนบท ได้กลายเป็นจุดสนใจที่บรรดาชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในชนบทต่างทยอยหันมาจ้องมองพวกเขา เนื่องจากหมู่บ้านชนบทเล็กๆ ของพวกเขามีบุคคลภายนอกมาเยือนน้อยมาก เวลานี้จู่ๆ มีหลี่ชิเย่ที่เป็นคนแปลกหน้าโผล่ขึ้นมากะทันหัน จะไม่ให้ชาวบ้านให้ความสนใจได้อย่างไรกัน แต่ว่า เมื่อมองเห็นหลี่ชิเย่เดินมาด้วยกันกับเถาถิงแล้ว ทำให้ชาวบ้านรู้สึกวางใจได้อีกครั้ง
กล่าวสำหรับชาวบ้านแล้ว เถาถิงคือความภาคภูมิใจของหมู่บ้านเถาพวกเขา แม้ว่าพวกเขาไม่ได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า สถาบันศึกษาเทพเจ้านั้นสูงเกินเอื้อมเพียงใด แต่พวกเขาต่างรู้ดีว่า การที่สามารถเข้าไปสถาบันศึกษาเทพเจ้าได้นั้นเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจอย่างยิ่ง เนื่องเพราะเถาถิงได้เข้าไปเป็นศิษย์ของสถาบันศึกษาเทพเจ้า แม้แต่กษัตริย์ของแคว้นยังทรงพระราชทานผืนแผ่นดินนี้ให้กับหมู่บ้านเถาของพวกเขา ยิ่งทำให้หมู่บ้านเถาของพวกเขาได้อยู่เย็นเป็นสุขมากขึ้นไปอีก
เมื่อเดินมาถึงทางเข้าหมู่บ้าน ที่ตรงนั้นมีศาลเจ้าเล็กๆ แห่งหนึ่ง ศาลเจ้าขนาดเล็กแห่งนี้ทรุดโทรมเป็นอันมากแล้ว รอบๆ มีแต่วัชพืชที่ขึ้นรกร้าง ดูเหมือนศาลเจ้าขนาดเล็กหลังนี้จะมีการปิดล็อคเอาไว้แน่นหนา แม้ว่าประตูไม้จะแลดูบอบบางมาก กระทั่งสายลมพัดมาบางเบายังส่งเสียงเอี๊ยดเอี๊ยด แต่มันยังคงปิดล็อคศาลเจ้าขนาดเล็กเอาไว้แน่น เหมือนว่ามันไม่เคยมีการเปิดออกมาเลยอย่างนั้น
หลี่ชิเย่หยุดอยู่ด้านหน้าของศาลเจ้าขนาดเล็ก จ้องมองดูศาลเจ้าเล็กๆ แห่งนี้โดยไม่ได้พูดอะไรออกมา เอาแต่จ้องมองเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
การมาที่หมู่บ้านเถาของหลี่ชิเย่เพียงแค่ยืนเหม่ออยู่ด้านหน้าของศาลเจ้าเล็กๆ แห่งนี้ ทำให้เถาถิงรู้สึกเหนือความคาดคิดเป็นอันมาก ในความทรงจำตั้งแต่เล็กของนาง ศาลเจ้าขนาดเล็กแห่งนี้คงอยู่ตลอดมา และเป็นอยู่เช่นนี้ตลอดโดยไม่ได้มีอะไรพิเศษ
เวลานี้ หลี่ชิเย่กลับจ้องมองแต่ศาลเจ้าขนาดเล็กแห่งนี้ของพวกเขา สร้างความประหลาดใจให้กับเถาถิงยิ่งนัก นางถึงกับต้องจ้องมองศาลเจ้าขนาดเล็กแห่งนี้เช่นกัน ในความทรงจำของนาง ไม่เคยได้เห็นใครเปิดศาลเจ้าขนาดเล็กนี้มาก่อน สรุปก็คือศาลเจ้าเล็กๆ แห่งนี้ถูกปิดล็อคเอาไว้อย่างนี้มาโดยตลอด
“ศาลเจ้าเล็กๆ แห่งนี้มีอะไรที่เป็นพิเศษรึ?” เถาถิงเอ่ยถามขึ้นขณะที่หลี่ชิเย่จ้องเขม็งอยู่กับศาลเจ้าขนาดเล็ก นางไม่เพียงแปลกใจ ขณะเดียวกันก็ต้องการสืบจากปากของหลี่ชิเย่
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน” หลี่ชิเย่เพียงยิ้มๆ กล่าวตามอารมณ์ออกมาว่า “แค่ดูๆ เท่านั้นเอง”
เถาถิงย่อมไม่เชื่อในคำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ คนแปลกหน้าคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นที่หมู่บ้านเถาของพวกเขากะทันหัน อีกทั้งยังจ้องเขม็งอยู่กับศาลเจ้าเล็กๆ ที่ไม่สะดุดตาแห่งนี้ ทั้งยังพูดว่าแค่มองไปตามอารมณ์เท่านั้น นางไม่เชื่อในคำพูดลักษณะเช่นนี้
“เท่าที่อยู่ในความทรงจำของข้า ศาลเจ้าเล็กๆ แห่งนี้ถูกปิดล็อคเอาไว้เช่นนี้ตลอด ไม่เคยมีใครเปิดออกมาก่อน และผู้คนในหมู่บ้านก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ในศาลเจ้าเล็กๆ แห่งนี้มีอะไรอยู่ข้างใน” เถาถิงเอ่ยขึ้นเบาๆ ที่นางพูดออกมาเช่นนี้ก็ต้องการหยั่งเชิงหลี่ชิเย่
“การไม่รู้คือเรื่องดีเรื่องหนึ่ง และเป็นเรื่องที่มีความสุขเสมอๆ” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวเฉยเมย
เถาถิงไม่สามารถสืบได้ความใดๆ จากปากของหลี่ชิเย่ ทำให้ภายในใจของนางรู้สึกประหลาดและอยากรู้อยากเห็นยิ่งนัก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะต้องลงมือจากตรงไหน
“เจ้าเข้าไปเป็นศิษย์ของสถาบันศึกษาเทพเจ้าได้อย่างไร?” สุดท้ายแล้ว หลี่ชิเย่ได้ละสายตากลับมา และพูดกับเถาถิงด้วยท่าทีเรียบเฉย
เถาถิงเองก็ไม่ได้ปิดบังอะไรเป็นพิเศษ เอ่ยขึ้นมาช้าๆ ว่า “ขณะที่ข้ายังเด็กมาก ท่านอาจารย์ผ่านมาที่หมู่บ้าน เห็นว่าข้ามีพื้นฐานในการบำเพ็ญเพียรอยู่ไม่น้อยและมีวาสนากับการฝึกบำเพ็ญเพียร จึงได้พาข้ากลับไปที่สถาบันศึกษาเทพเจ้า และได้ศึกษาอยู่ที่สถาบันศึกษาเทพเจ้า”
หลังจากที่หลี่ชิเย่ได้ฟังคำจากเถาถิงแล้วนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง สุดท้าย ได้เอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “ในโลกมนุษย์มักเป็นวัฏสงสารอยู่เสมอๆ ใครก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ มีคนกลับมาก็ต้องมีคนออกไปอยู่เสมอๆ หมุนเวียนสับเปลี่ยน ไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลง”
คำพูดที่จับต้นชนปลายไม่ถูกของหลี่ชิเย่ทำให้เถาถิงฟังแล้วเหมือนตกอยู่ท่ามกลางเมฆหมอก ไม่เข้าใจว่าคำพูดเช่นนี้ต้องการสื่อว่าอะไร
หลี่ชิเย่ไม่ได้กล่าวมากความ สุดท้าย จ้องมองศาลเจ้าเล็กๆ แห่งนี้อีกครั้ง จากนั้นหันหลังเดินจากไป
ในระหว่างที่หลี่ชิเย่เดินจากไป เถาถิงได้เดินเคียงข้าง ออกเดินไปได้ไม่ไกลสักเท่าไร เถาถิงทำท่าครุ่นคิดนิดหนึ่ง เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “หากพี่ท่านไม่รังเกียจ ขอเชิญไปที่บ้านข้าสักครั้งดีไหม?”
การปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันของหลี่ชิเย่ได้สร้างความฉงนให้กับเถาถิงมากมาย นางต้องการรู้ว่าหลี่ชิเย่มาด้วยเรื่องอันใดกันแน่
“ไม่หละ หากมีวาสนาย่อมได้พบกันอีก” หลี่ชิเย่ยิ้มเรียบๆ ปฏิเสธคำเชิญชวนของเถาถิง
“ถ้าเช่นนั้น ให้น้องได้ไปส่งพี่ท่านก็แล้วกัน” เมื่อเถาถิงเห็นว่าหลี่ชิเย่ไม่มีทีท่าจะรั้งอยู่ที่นี่จึงเอ่ยขึ้นมาช้าๆ และไม่ได้ฝืน
หลี่ชิเย่เพียงแค่ยิ้มๆ เท่านั้นเอง และไม่ได้ปฏิเสธเถาถิง มุ่งหน้าเดินทางต่อไป
แทนที่เถาถิงจะบอกว่าไปส่งหลี่ชิเย่เดินทางจากไป มิสู้บอกว่าเป็นการสอดส่องหลี่ชิเย่จะเหมาะสมกว่า นางต้องการส่งตัวหลี่ชิเย่ออกไปจากหมู่บ้านด้วยตนเอง ไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์ขึ้นระหว่างนี้
เถาถิงเดินทางไปส่งตลอดทาง เดินไปได้ไกลมาก สุดท้ายหลี่ชิเย่จึงได้เอ่ยขึ้นมาเรียบๆ ว่า “ส่งกันพันลี้ ยังคงต้องจากกัน วางใจเถอะ ข้าไม่ได้คิดร้ายต่อหมู่บ้านเถาของเจ้า” กล่าวพลางล่องลอยจากไป
ถึงแม้หลี่ชิเย่จะพูดเช่นนี้ก็ตาม เถาถิงยังคงยืนอยู่บนยอดเขามองดูหลี่ชิเย่จนจากไปไกล จึงหายใจด้วยความโล่งอก
หลังจากที่หลี่ชิเย่ไปจากแล้ว หลายวันต่อมาเถาถิงตั้งอยู่ในความระมัดระวังอย่างยิ่ง ให้ความสนใจต่อทุกๆ ความเคลื่อนไหวรอบๆ หมู่บ้านเถา หลายวันมานี้ไม่ได้มีเรื่องราวใดๆ เกิดขึ้น ทำให้เถาถิงวางใจอย่างสิ้นเชิง ดูท่าหลี่ชิเย่ได้จากไปแล้วจริงๆ
หลังจากที่เถาถิงมั่นใจแล้วว่าหลี่ชิเย่ได้จากไปแล้วจริงๆ พลันทำให้นางรู้สึกเปี่ยมด้วยความอยากรู้อยากเห็นต่อศาลเจ้าเล็กๆ แห่งนั้นที่อยู่ปากทางเข้าหมู่บ้านทันที ก่อนหน้านั้นนางไม่ได้ให้ความสนใจต่อศาลเจ้าเล็กๆ แห่งนี้ แต่การปรากฏตัวของหลี่ชิเย่ได้ทำลายความเมินเฉยของนางที่มีก่อนหน้า
การที่บุคคลภายนอกคนหนึ่งเดินทางมาเพื่อมองดูศาลเจ้าขนาดเล็กแห่งนี้เป็นการเฉพาะ ย่อมต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน ดังนั้น เถาถิงจึงต้องการรู้ว่าภายในศาลเจ้าเล็กๆ แห่งนี้มีอะไรกันแน่
แต่ว่า เถาถิงได้สอบถามผู้คนภายในหมู่บ้านทั้งหมด แม้แต่ผู้เฒ่าที่มีอายุมากที่สุดก็ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ภายในศาลเจ้าเล็กๆ แห่งนี้กันแน่ เนื่องจากศาลเจ้าเล็กๆ แห่งนี้ตั้งอยู่ตรงนั้นตลอดมา เหมือนว่ามันเป็นเช่นนี้ตั้งแต่พวกเขาเกิด