โลกภายนอกหายไปแล้ว ทั่วทั้งสถาบันศึกษาเทพเจ้าตกไปอยู่ในโลกดึกดำบรรพ์ที่ไร้ซึ่งอารยะธรรม ทอดสายตามองออกไป โลกดึกดำบรรพ์ที่ไร้ซึ่งอารยะธรรมโลกนี้มองไม่เห็นขอบเขตสิ้นสุด เหมือนว่าที่ตรงนี้ได้หลุดออกจากทวีปเจียวเหิงโจวโดยสิ้นเชิง แยกออกจากสิบสามทวีปอย่างนั้น
โลกที่อยู่ตรงหน้านับว่าน่าเกรงขามมากเหลือเกิน และกว้างใหญ่ไพศาลเกินไป แค่ต้นไม้ยักษ์ต้นหนึ่งก็สามารถปกคลุมพื้นที่นับพันลี้ ภูเขาศักดิ์สิทธิ์หนึ่งลูกก็สามารถทะลุถึงจักรวาล เสมือนหนึ่งเป็นศูนย์กลางของจักรวาลอย่างนั้น สามารถมองเห็นดวงดาวดวงใหญ่แต่ละดวงที่โคจรล้อมรอบ สร้างความสะเทือนหวั่นไหวกับผู้คนยิ่งนัก
ขณะที่สถานที่ที่สถาบันศึกษาเทพเจ้าตั้งอยู่ในขณะนี้ เป็นเพียงมุมเล็กๆ มุมหนึ่งของโลกนี้เท่านั้นเอง สถาบันศึกษาเทพเจ้านับว่ากินเนื้อที่กว้างขวางมากพออยู่แล้ว แต่ก็เป็นเพียงมุมเล็กๆ มุมหนึ่งท่ามกลางโลกที่ดึกดำบรรพ์แห่งนี้เท่านั้น สถาบันศึกษาเทพเจ้าเป็นเพียงเม็ดทรายเม็ดหนึ่งในทะเลเท่านั้นเอง
“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?” ไม่รู้ว่ามีนักศึกษาจำนวนเท่าไรที่มองหน้ากันและกันเมื่อเห็นโลกภายนอกหายไป ยิ่งกว่านั้นยังรู้สึกขนลุกซู่ในใจ รู้สึกเหมือนว่าภายในชั่วข้ามคืนพวกเขาก็เสมือนหนึ่งถูกโลกทอดทิ้งอย่างนั้น
ไม่มีใครรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ อย่าว่าแต่นักศึกษาของสถาบันศึกษาเทพเจ้าเลย แม้แต่อาจารย์ของสถาบันศึกษาเทพเจ้าจำนวนไม่น้อยก็ไม่รู้ว่ารายละเอียดเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ตึง ตึง ตึงจังหวะที่นักศึกษาจำนวนไม่น้อยกำลังสะเทือนหวั่นไหวกับเรื่องเช่นนี้อยู่นั้น เสียงเตือนฉุกเฉินของสถาบันศึกษาเทพเจ้าดังขึ้นอีกครั้ง เสียงของผู้อำนวยการได้ดังไปทั่วทุกมุมของสถาบันศึกษาเทพเจ้า “รีบเร่งกลับเข้าป้อมปราการนิรภัย มิฉะนั้นแล้วจะต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยตนเอง!”
นักศึกษาจำนวนไม่น้อยที่อยู่ด้านนอกทยอยกันล่าถอยกลับเข้าไปยังป้อมปราการนิรภัย เมื่อได้ยินเสียงกล่าวเตือนเช่นนี้ แต่ยังคงมีนักศึกษาจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะนักศึกษาอัจฉริยะจากจวนราชันยังคงรั้งอยู่ข้างนอกต่อไป
ในขณะที่ผู้คนจำนวนมากได้ล่าถอยกลับไปยังป้อมปราการนิรภัยแล้วนั้น นายน้อยทะยานฟ้า เทพบุตรซือจง และยุวกษัตริย์หกกระบี่ที่เป็นสามเทพบุตรสถาบันถึงกับลักลอบหนีออกไป พวกเขาหนีไปหากู่ฉวี่หัง
กู่ฉวี่หังพักอาศัยตามลำพังอยู่บนยอดเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่ง มีวิมานที่เป็นของตนเอง กล่าวได้ว่าสถานที่แห่งนี้เป็นหนึ่งในเขตที่ปลอดภัยมากที่สุดของสถาบันศึกษาเทพเจ้า
“อาจารย์ นี่ นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?” แม้แต่นายน้อยทะยานฟ้าที่มีประสบการณ์กว้างขวางก็ไม่เข้าใจว่านี่มันเป็นเรื่องอะไรกันแน่ รีบเร่งมาขอคำชี้แนะจากกู่ฉวี่หัง
“เจ้าสามารถเรียกสิ่งนี้ว่าคืนกลับ…” ท่าทางของกู่ฉวี่หังสุภาพสง่างามและมีความเป็นเลิศ ไม่สะทกสะท้าน ดูมีท่วงทีกิริยาท่าทางที่งดงามเหนือผู้คน
“คืนกลับ?” พวกยุวกษัตริย์หกกระบี่ล้วนแล้วแต่งงเป็นไก่ตาแตก และกล่าวว่า “คืนกลับอะไรรึ?”
กู่ฉวี่หังกล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “นี่คือการคืนกลับโลกที่เป็นของสถาบันศึกษาเทพเจ้า ที่นี่แหละจึงจะเป็นสถาบันศึกษาเทพเจ้า มาวันนี้มันได้ปรากฏตัวอยู่ที่ตรงนี้อีกครั้งหนึ่ง หรือกล่าวให้ถูกต้องนี่แหละคือการคืนกลับอย่างหนึ่ง”
“สถาบันศึกษาเทพเจ้าเป็นของโลกใบนี้? นี่ นี่ นี่มันเป็นไปไม่ได้ สถาบันศึกษาเทพเจ้าขึ้นอยู่กับทวีปเจียวเหิงโจว จะเป็นของโลกใบนี้ได้อย่างไรกัน” เทพบุตรซือจงถึงกับกล่าวด้วยความตกใจอย่างยิ่ง
กู่ฉวี่หังเพียงแต่นั่งนิ่งอมยิ้มไม่ตอบคำถาม ดูช่างไม่สะทกสะท้าน สง่างามสุภาพ และช่างมั่นใจอะไรอย่างนั้น เหมือนว่าทุกสิ่งล้วนแล้วแต่อยู่ในความควบคุมของเขา
“อาจารย์ นี่ นี่เป็นเรื่องจริงรึ?” นายน้อยทะยานฟ้าเอ่ยถามจริงจัง “มีเรื่องเช่นนี้จริงๆ หรือ? หรือว่าสถาบันศึกษาเทพเจ้าถือเป็นต่างเผ่าพันธุ์ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับโลกของเรา?”
“ไม่ใช่ต่างเผ่าพันธุ์ มันก็ถือเป็นโลกของเราเหมือนกัน” กู่ฉวี่หังใบหน้าแฝงด้วยรอยยิ้มและกล่าวขึ้นช้าๆ เขากลับยินดีที่ออกปากชี้แนะต่อนายน้อยทะยานฟ้าบ้าง เพราะเขานับเป็นศิษย์ของเขาคนหนึ่ง
“นี่เป็นตำนานเรื่องหนึ่ง ตำนานที่ถูกปิดบังซ่อนเร้นโดยสถาบันศึกษาเทพเจ้าไปแล้ว ลองนึกดู ครั้งนั้นราชันเซียนเฟยได้รับการสนับสนุนจากราชันเทพจงหนาน เพราะอะไรจึงได้เลือกที่จะก่อตั้งสถาบันศึกษาเทพเจ้าขึ้นที่นี่กันเล่า?” กู่ฉวี่หังกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “ท่ามกลางสิบสามทวีปมีสถานที่ยอดเยี่ยมศักดิ์สิทธิ์ วิมาน และพื้นที่ในความควบคุมของกฎเกณฑ์แห่งฟ้าดินจำนวนมากมาย ขอเพียงราชันเซียนเฟยต้องการ เขาสามารถเลือกพื้นที่ที่ยอดเยี่ยมมากมาก่อตั้งสำนักเช่นนี้ขึ้นมา แต่ ราชันเซียนเฟยกลับจะก่อตั้งสถาบันศึกษาเทพเจ้าอยู่ในพื้นที่ที่ไร้ซึ่งอารยะธรรมกระทั่งปราศจากผู้คน ทำไปเพื่ออะไรกันแน่?”
พวกของเทพบุตรซือจงสามคนถึงกับมองตากันและกันเมื่อได้ยินคำพูดของกู่ฉวี่หัว เนื่องจากปัญหาข้อนี้พวกเขาก็เคยได้ยินมาก่อน เพียงแต่ไม่คำตอบที่แน่ชัด และไม่มีใครสามารถให้รายละเอียดของคำตอบนี้ได้ เนื่องจากไม่มีใครรู้ว่าครั้งนั้นราชันเซียนเฟยคิดอย่างไร
“ความจริงแล้วในนี้เกี่ยวพันถึงตำนานเรื่องหนึ่ง” กู่ฉวี่หังมองดูพวกของนายน้อยทะยานฟ้าสามคน กล่าวกับพวกเขาด้วยใบหน้าที่แฝงด้วยรอยยิ้มว่า “ในตำนานที่เก่าแก่ดึกดำบรรพ์บอกว่า เชื่อว่ามีการดำรงอยู่ของโลกดึกดำบรรพ์แห่งหนึ่ง”
“การดำรงอยู่ของโลกดึกดำบรรพ์แห่งหนึ่ง?” ยุวกษัตริย์หกกระบี่กล่าวว่า “เป็นโลกของเซียนรึ?”
“ไม่ใช่ โลกนี้มีโลกของเซียนเสียที่ไหนกัน” กู่ฉวี่หังหัวเราะและส่ายหน้ากล่าวว่า “กล่าวให้ถูกต้อง นี่คือโลกที่ถูกทอดทิ้ง ในโลกดึกดำบรรพ์นี้ไม่มีใครอาศัยอยู่ กระทั่งโลกดึกดำบรรพ์นี้เป็นโลกที่ถูกทอดทิ้งในสภาพที่สมบูรณ์ หรือว่าเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ยังคงหลงเหลืออยู่ของโลกดึกดำบรรพ์แห่งหนึ่งคงไม่มีใครทราบ สรุปก็คือในตำนานเก่าแก่ดึกดำบรรพ์เข้าใจว่า การดำรงอขู่ของโลกดึกดำบรรพ์นี้เป็นความจริง เพียงแต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่มีผู้ใดค้นพบเท่านั้นเอง”
“ภายหลังราชันเซียนเฟยได้ค้นพบโลกดึกดำบรรพ์แห่งนี้?” ในเวลานี้นายน้อยทะยานฟ้าตระหนักถึงอะไรบางอย่าง ถึงกับเอ่ยถามขึ้นมา
กู่ฉวี่หังอมยิ้ม พยักหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “ถูกต้อง ราชันเซียนเฟยค้นพบโลกดึกดำบรรพ์ดังกล่าวนี้ เป็นโลกที่ถูกทอดทิ้ง สำหรับเรื่องที่ว่าโลกนี้ถูกทอดทิ้งด้วยสาเหตุใดนั้นไม่สามารถรู้ได้ แต่ทว่า ประเด็นสำคัญก็คือ ราชันเซียนเฟยถูกใจกับความอุดมสมบูรณ์ของโลกใบนี้”
เมื่อกู่ฉวี่หังเอ่ยมาถึงตรงนี้ได้หยุดนิดหนึ่ง แล้วกล่าวต่อไปว่า “โลกดึกดำบรรพ์นี้อยู่ติดกับที่ราบสูงไร้ซึ่งอารยะธรรม อาศัยที่ราบสูงไร้ซึ่งอารยะธรรมนี้สามารถกำหนดพิกัดที่แม่นยำตัดเข้าไปยังโลกดึกดำบรรพ์นี้ได้”
“ข้าเข้าใจแล้ว ดังนั้นราชันเซียนเฟยจึงได้ก่อตั้งสถาบันศึกษาเทพเจ้าขึ้นบนที่ราบสูงไร้ซึ่งอารยะธรรม” ยุวกษัตริย์หกกระบี่รีบกล่าวขึ้น
“คำพูดนี้ก็ถูก แต่ก็ไม่ถูก” กู่ฉวี่หังหัวเราะและกล่าวว่า “ถ้าหากเพียงแค่ก่อตั้งสถาบันศึกษาเทพเจ้าไว้บริเวณที่ใกล้ทางเข้ามันก็ไร้ประโยชน์ เป็นที่ทราบกันว่า ราชันเซียนเฟยคือราชันเซียนเก้าแดนที่อยู่ระดับสูงสุด ขณะที่ยังได้รับการสนับสนุนจากราชันเทพจงหนาน ความแข็งแกร่งของพวกเขาไหนเลยพวกเจ้าจะจินตนาการได้?” เมื่อพวกของนายน้อยทะยานฟ้าได้ยินคำพูดเช่นนี้ของกู่ฉวี่หังแล้วต่างพยักหน้าไม่ได้โต้แย้งแม้แต่น้อย คำพูดนี้ก็ถูก ความแข็งแกร่งของราชันเซียนเฟยกับราชันเทพจงหนานเป็นที่ยอมรับของทุกคนในหล้าอยู่แล้ว
“ราชันเซียนเฟยร่วมมือกับราชันเทพจงหนานจัดการร่างเค้าโครงโลกดึกดำบรรพ์จากช่องว่างออกมา โดยที่ช่องว่างของโลกดึกดำบรรพ์ก็คือแหปากหนึ่ง ขณะที่สถาบันศึกษาเทพเจ้าสร้างและตั้งอยู่บนช่องตาข่ายของแหนั่น” กู่ฉวี่หังกล่าวขึ้นมาช้าๆ
“ความหมายของอาจารย์คือ เดิมสถาบันศึกษาเทพเจ้าก็ตั้งอยู่ท่ามกลางโลกดึกดำบรรพ์นี้อยู่แล้ว?” นายน้อยทะยานฟ้ามีสติปัญญาที่ดีมากพลันเข้าใจทันทีและร้องกล่าวออกมา..ไอรีนโนเวล
“ถูกต้อง” กู่ฉวี่หังเอ่ยขึ้นมาช้าๆ ว่า “ราชันเซียนเฟยและราชันเทพจงหนานสร้างสถาบันศึกษาเทพเจ้าไว้ที่มุมๆ หนึ่งของโลกดึกดำบรรพ์แห่งนี้ ตั้งอยู่บนช่องตาข่ายของช่องว่างโลกดึกดำบรรพ์ช่องหนึ่ง จากนั้นก็เหมือนลากแหอย่างนั้น ยึดช่องตาข่ายนี้เอาไว้แล้วลากเอาสถาบันศึกษาเทพเจ้าออกมาจากโลกดึกดำบรรพ์ให้มันตั้งตระหง่านอยู่ในทวีปเจียวเหิงโจว ขณะที่โลกดึกดำบรรพ์ถูกปิดผนึกเอาไว้”
ครั้นกู่ฉวี่หังเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้วเห็นประกายตาเต้นกระตุกนิดหนึ่ง กล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “สมควรทราบว่า สถาบันศึกษาเทพเจ้าตั้งอยู่บนตาข่ายช่องว่างโลกดึกดำบรรพ์ ราชันเซียนเฟยและราชันเทพจงหนานทำการพันธนาการช่องว่างโลกดึกดำบรรพ์เอาไว้ ทำให้พลังแก่นของโลกดึกดำบรรพ์นี้ไหลเข้าไปยังสถาบันศึกษาเทพเจ้าอย่างไม่ขาดสาย…”
“…ภายใต้การสั่งสมเป็นเวลานานปีของสถาบันศึกษาเทพเจ้าบนผืนแผ่นดินนี้ นี่แหละคือธาตุแท้ภายในของสถาบันศึกษาเทพเจ้า! เรียกได้ว่าธาตุแท้ภายในของสถาบันศึกษาเทพเจ้าหาใช่ว่าได้ให้กำเนิดจอมเทพจำนวนเท่าไร ให้กำเนิดเซียนหวังกี่คน แต่เป็นเพราะมันสร้างอยู่ที่ตรงนี้ ที่นี่แหละคือธาตุแท้ภายใน!”
พวกของนายน้อยทะยานฟ้าต่างรู้สึกตกใจเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ของกู่ฉวี่หัง เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้ยินความลับเช่นนี้
“สถาบันศึกษาเทพเจ้าได้ครอบครองพลังแก่นของโลกๆ หนึ่งเพียงคนเดียว นี่ นี่มันออกจะดุเดือดเกินไปแล้ว มิน่าเล่าถึงได้มีธาตุแท้ภายในที่แข็งแกร่งปานนี้ ได้เปรียบจากการได้รับเงื่อนไขยอดเยี่ยมจากธรรมชาติ เกรงว่าในสิบสามทวีปคงไม่มีสำนักใดๆ สามารถเทียบเคียงได้!” นายน้อยทะยานฟ้าถึงกับพึมพำออกมา ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าเพราะอะไรสถาบันศึกษาเทพเจ้าจึงได้มีธาตุแท้ภายในที่ลึกเช่นนี้ และแข็งแกร่งถึงเพียงนี้แล้ว
“เพราะอะไรราชันเซียนเฟยไม่สามารถสร้างสถาบันศึกษาเทพเจ้าเอาไว้ในโลกดึกดำบรรพ์หละ? ทำไมถึงต้องลากเอาสถาบันศึกษาเทพเจ้าไปที่ทวีปเจียวเหิงโจว?” เทพบุตรซือจงไม่ค่อยจะเข้าใจสิ่งนี้นัก
“สาเหตุจริงๆ คืออะไรคงไม่มีใครรู้” กู่ฉวี่หังอมยิ้มแล้วกล่าวว่า “มีคนคาดเดาว่า โลกดึกดำบรรพ์นี้มีสัตว์ดุวิหกร้ายมากเกินไป ไม่เหมาะแก่การจะอยู่อาศัย แต่ก็มีคาดเดาว่า นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่สถาบันศึกษาเทพเจ้าจะได้ครอบครองโลกดึกดำบรรพ์นี้แต่เพียงผู้เดียว”
“มันก็จริง” นายน้อยทะยานฟ้าพยักหน้าและกล่าวว่า “เกรงว่าถ้าหากสถาบันศึกษาเทพเจ้าตั้งอยู่ในโลกดึกดำบรรพ์ ผู้คนจำนวนมากก็จะสามารถเข้าออกโลกดึกดำบรรพ์นี้ได้ เมื่อถึงเวลานั้น สถาบันศึกษาเทพเจ้าก็ไม่สามารถครอบครองโลกดึกดำบรรพ์นี้เพียงคนเดียวแล้ว เวลานี้สถาบันศึกษาเทพเจ้าตั้งอยู่บนช่องว่างตาข่ายโลกดึกดำบรรพ์ สยบและอุดโลกดึกดำบรรพ์นี้เอาไว้ หากคิดจะเข้าไปยังโลกดึกดำบรรพ์เว้นเสียแต่ต้องพลิกเอาสถาบันศึกษาเทพเจ้าขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว สถาบันศึกษาเทพเจ้ามิใช่สามารถครอบครองโลกดึกดำบรรพ์นี้เอาไว้แต่เพียงผู้เดียว”
ทั้งเทพบุตรซือจงและยุวกษัตริย์หกกระบี่ต่างรู้สึกว่าคำพูดนี้มีเหตุผล เมื่อได้ยินคำพูดของนายน้อยทะยานฟ้า
“อาจารย์มีความรู้ที่กว้างขวาง ทำให้พวกเราเลื่อมใสอย่างสุดซึ้ง ความลับเช่นนี้พวกเราไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่อาจารย์กลับสามารถพูดได้อย่างคล่องแคล่ว” ยุวกษัตริย์หกกระบี่กล่าวด้วยความเลื่อมใสศรัทธาในตัวกู่ฉวี่หังยิ่งนัก
กู่ฉวี่หังอมยิ้มโดยไม่ตอบอะไร แน่นอนเขาย่อมบอกไม่ได้ว่าสิ่งนี้ก็มีคนบอกต่อเขาอีกทอดหนึ่ง มิฉะนั้นหละก็ เป็นไปได้อย่างไรที่ตัวเขาจะรั้งอยู่ที่สถาบันศึกษาเทพเจ้านานถึงเพียงนี้
สมควรทราบว่า เขาคือชายหนุ่มที่มีอนาคตไกล มีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมปราศจากผู้ต่อกร มีตระกูลที่ยิ่งใหญ่ ที่สำคัญมากไปกว่านั้น ตัวเขาเองมีศักยภาพที่แข็งแกร่งปราศจากผู้เทียบเทียม ในอนาคตมีโอกาสได้เป็นเทพโบราณ
กล่าวสำหรับอัจฉริยะบุคคลที่เป็นชายหนุ่มอนาคตไกล ด้านนอกที่โลกที่กว้างใหญ่ เขาไม่มีความจำเป็นต้องรั้งอยู่ที่สถาบันศึกษาเทพเจ้า กล่าวสำหรับเขาแล้ว สิ่งที่ได้รับจากการปฏิบัติจากสถาบันศึกษาเทพเจ้าไม่เป็นที่ดึงดูดใจของเขาอยู่แล้ว ขณะที่สิ่งที่สามารถดึงดูดใจของเขาได้คือสิ่งของอื่นๆ
แน่นอน สิ่งนี้ไม่ได้เป็นเพราะเขาคือนักศึกษาของสถาบันศึกษาเทพเจ้า เขาต้องตอบแทนสถาบันศึกษาเทพเจ้า เขาต้องคืนให้กับสถาบันศึกษาเทพเจ้า
“พายุฝนฟ้าคะนองมาแล้ว พวกเจ้าเตรียมตัวพร้อมหรือยัง?” กู่ฉวี่หังเอ่ยขึ้นมาช้าๆ
“เป็นพายุฝนแบบไหนกัน?” ยุวกษัตริย์หกกระบี่สะดุ้งในใจ รีบเอ่ยถามขึ้นอย่างรอต่อไม่ไหว
“สถาบันศึกษาเทพเจ้าได้กลับคืนสู่โลกดึกดำบรรพ์นี้แล้ว ควรจะทราบว่า โลกดึกดำบรรพ์นี้วิหคร้ายสัตว์ประหลาดอาละวาด เป็นโลกไร้ซึ่งอารยะธรรม เป็นโลกของสัตว์ดุวิหคร้าย เมื่อสถาบันศึกษาเทพเจ้ากลับคืนไป บรรดาสัตว์ดุวิหคร้ายเหล่านี้จะต้องทำการย่ำยีทำลายสถาบันศึกษาเทพเจ้า ยังมีพลังที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าที่จะฉีกพื้นที่ของสถาบันศึกษาเทพเจ้าแห่งนี้ เมื่อถึงเวลานั้น ไม่เพียงสถาบันศึกษาเทพเจ้าจะเลือดนองพื้นดิน เกรงว่าอาจจะไม่เหลือชิ้นดี ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีต่างเผ่าพันธุ์จำนวนไม่น้อย เช่น เผ่าเทพ เผ่ามาร เผ่าสวรรค์สามเผ่าที่แอบสอดส่องสถาบันศึกษาเทพเจ้าอยู่ เกรงว่าพวกเขาก็อยากจะลองอยู่เหมือนกัน” กู่ฉวี่หังเอ่ยขึ้นมาช้าๆ
คำพูดของกู่ฉวี่หังทำให้พวกของนายน้อยทะยานฟ้าสามคนสบตากันและกัน ถ้าหากว่าสถาบันศึกษาเทพเจ้าจะแตกสลายลง สิ่งแรกที่พวกเขานึกถึงแน่นอนไม่ใช่ปกป้องสถาบันศึกษาเทพเจ้า
เนื่องจากพวกเขากำเนิดมาจากตระกูลขุนนางโบราณ และสายสำนักราชันเซียน พวกเขามีความแข็งแกร่งมากก่อนที่จะเข้ามาอยู่ในสถาบันศึกษาเทพเจ้าแล้ว มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่แล้ว ที่พวกเขามาอยู่ในสถาบันศึกษาเทพเจ้าก็เพื่อเป็นการชุบตัวเท่านั้นเอง
นักศึกษาอย่างพวกเขา แตกต่างจากนักศึกษาบางส่วนที่มีชาติกำเนิดต่ำของศตาคาร พวกเขามีความรู้สึกว่าสถาบันศึกษาเทพเจ้าเป็นที่พักพิง ส่วนพวกเขามีชาติกำเนิดเป็นตระกูลขุนนางโบราณ พวกเขาจะมีความรู้สึกเป็นที่พึ่งพิงเฉพาะกับตระกูล และหรือสำนักของตนเท่านั้น
ขณะที่แตกต่างจากนักศึกษาบางส่วนที่มีชาติกำเนิดต่ำ สถาบันศึกษาเทพเจ้าได้ทำให้ชีวิตของพวกเขาแปรเปลี่ยนไป ดังนั้นพวกเขาจึงสำนึกในบุญคุณของสถาบันศึกษาเทพเจ้า มีความรู้สึกว่าสถาบันศึกษาเทพเจ้าเป็นที่พึ่งพิง กระทั่งสถาบันศึกษาเทพเจ้าก็คือบ้านหลังที่สองของพวกเขา