“เป็นความจริงรึ?” เวลานี้ ท่าทีป้าหู่ที่มองดูหลี่ชิเย่เหมือนจะรอไม่ไหวแล้ว จะอย่างไรเสียมันคือสิ่งที่พวกเขาค้นหามาเป็นเวลานับไม่ถ้วน พวกเขาเคยย่ำไปเจ็ดย่านน้ำมา แต่ก็ค้นหาสิ่งนี้ไม่พบ
หลี่ชิเย่หัวเราะและเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ข้าเคยพูดโกหกใครตั้งแต่เมื่อไร ในเมื่อข้ารับปากพวกเจ้าก็ต้องสามารถทำให้เป็นจริงได้”
หวงหลงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่งเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ เขาลุกขึ้นและโค้งคารวะอย่างสุดซึ้ง และกล่าวว่า “ขอใต้เท้าโปรดชี้แนะ สิ่งของสิ่งนี้มีความสำคัญยิ่งต่อเผ่าทั้งสองเผ่าของพวกเรา”
เมื่อป้าหู่เห็นหวงหลงแสดงคารวะเต็มรูปแบบก็ลุกขึ้นตาม แสดงคารวะแล้วกล่าวว่า “ขอใต้เท้าโปรดชี้แนะทางสว่าง บุญคุณเช่นนี้ของใต้เท้าหนักยิ่งกว่าเขาไท่ซัวสำหรับเผ่าสองเผ่าพวกเรา!”
ในอดีต บางทีหวงหลงและป้าหู่สองคนจะมากหรือน้อยบ้างก็ยังคงมีท่าทีอวดดีถือตัวอยู่บ้าง จะอย่างไรเสียพวกเขาคือผู้ที่ตกจากสิบสามทวีปลงมายังเก้าแดน ไม่ว่าจะด้านศักยภาพหรือฐานะ ล้วนแล้วแต่สมควรที่พวกเขาได้หยิ่งทะนงตน
แต่ทว่า มาวันนี้หลังจากได้เห็นธาตุแท้ภายในที่แท้จริงของหลี่ชิเย่แล้ว พวกเขาจึงได้เข้าใจถึงความน่ากลัวของอีกาทมิฬอย่างแท้จริง แม้แต่จอมราชันเซียนหวังที่มีชะตาฟ้าสิบสองสายก็ไม่กล้าทำกำเริบเสิบสานต่อหน้าของเขา การที่พวกเขาแสดงความเคารพต่อหลี่ชิเย่นับเป็นเรื่องสมควรแล้ว
หลี่ชิเย่ทำมือเบาๆ ส่งสัญญาณให้พวกเขานั่งลง กล่าวเฉยเมยว่า “วางใจเถอะ สิ่งที่ข้ารับปากพวกเจ้าก็ต้องชี้ทางสว่างให้อยู่แล้ว แต่ว่า สามารถได้มาหรือไม่นั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับโชควาสนาของตนแล้ว”
“ใต้เท้าสามารถชี้ทางสว่างให้กับพวกเรา มันก็คือโชควาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสองเผ่าพวกเราแล้ว” หวงหลงรีบกล่าวขึ้น
เทียบกับป้าหู่ที่มีลักษณะพาลแล้ว หวงหลงดูจะเป็นผู้มีความรู้ลุ่มลึก บุคลิกลักษณะสง่างามและมีน้ำเสียงที่ซื่อตรงอ่อนโยนยิ่งกว่า
หลี่ชิเย่มองดูหวงหลงและป้าหู่ยิ้มนิดหนึ่ง และเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ของมีอยู่แค่ชิ้นเดียว พวกเจ้าคิดจะจัดการอย่างไร? หรือจะให้เหมือนเช่นครั้งนั้น เพื่อแย่งชิงของสิ่งหนึ่งทั้งสองถึงกับต่อสู้กันจนตายไปข้างหนึ่งอย่างนั้นรึ?”
คำพูดลักษณะเช่นนี้ทำเอาหวงหลงและป้าหู่สองคนถึงกับหัวเราะเจื่อนๆ ท่าทีดูผะอืดผะอมอยู่หลายส่วน ครั้งนั้นที่พวกเขาต้องตกลงสู่เก้าแดนก็เพราะแย่งชิงของวิเศษที่ที่เป็นหนึ่งเดียวในหล้า จนเกิดเหตุไม่คาดฝันตกลงสู่เก้าแดน แล้วถูกขังเอาไว้อยู่ตรงนั้น
หลังจากที่หวงหลงและป้าหู่หัวเราะเจื่อนๆ แล้ว พวกเขาทั้งสองมองตากันและกัน สุดท้าป้าหู่ได้พูดขึ้นมาว่า “ไม่ขอปิดบังใต้เท้า พวกเรามีแนวความคิดหนึ่ง พวกเราทั้งสองเผ่าหวังจะบ่มเพาะคนผู้หนึ่ง เป็นสุดยอดต้นกล้าที่มีเพียงหนึ่งเดียวในหล้า หวังว่าสันติพภาพของทั้งสองเผ่าในอนาคตจะอยู่บนตัวของคนผู้นี้”
“นับเป็นแนวความคิดที่ไม่เลวนัก” หลี่ชิเย่พยักหน้าช้าๆ และกล่าวชื่นชมว่า “ในอนาคตพวกเจ้าสองเผ่าหากไม่เข่นฆ่ากันเองจะต้องเป็นผู้ที่ทำอะไรได้มาก ต้องเปล่งประกายที่เจิดจ้าแน่นอน”
หวงหลงและป้าหู่พวกเขาทั้งสองเผ่านับว่าได้รับความเอ็นดูจากสวรรค์เป็นพิเศษ พวกเขามีความแข็งแกร่งยิ่งนัก เพียงแต่พวกเขาทั้งสองเผ่าเสมือนดั่งน้ำกับไฟตลอดมา และมีการเข่นฆ่ากันเองมาโดยตลอด จึงทำให้พลังทั้งสองเผ่าถูกบั่นทอนลงไปมาก ชื่อเสียงในสิบสามทวีปของพวกเขาไม่สมกับศักยภาพที่มีของพวกเขาเอง
“เตรียมตัวให้พร้อมก็แล้วกัน” สุดท้าย หลี่ชิเย่โบกมือเบาๆ สั่งการกับหวงหลงและป้าหู่ว่า “พวกเราจะออกเดินทางในไม่ช้า หวังว่าจะได้รับสิ่งนี้มา”
หวงหลงและป้าหู่เรียกได้ว่าดีใจเป็นอย่างยิ่ง ลุกขึ้นยืนและโค้งคำนับต่อหลี่ชิเย่อย่างสุดซึ้งอีกครั้ง แล้วจึงจากไป
หลังจากที่หวงหลงและป้าหู่จากไปแล้ว หลี่ชิเย่ได้ทำการปิดกั้นช่องว่างและหยิบผ้าเช็ดหน้าสีเหลืองออกมาจากลัคนา พริบตาเดียวนั่นเอง ผ้าเช็ดหน้าสีเหลืองได้รวมตัวกลายเป็นร่างเงาที่มีทรวดทรงองค์เอวที่พริ้วไหวร่างหนึ่ง
เวลานี้ ร่างเงานี้กลับกลายเป็นชัดเจนยิ่งนัก สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นสุดยอดหญิงงามที่มีความงดงามเป็นหนึ่งในหล้า กล่าวได้ว่า ขอเพียงมีหญิงผู้นี้ปรากฏในหล้าต้องทำให้สุริยันจันทราแลดวงดาวสลดและอับแสงอย่างแน่นอน หากจะพูดถึงด้านความงาม เกรงว่าแม้แต่อวี่เชียนเสวียนก็สู้นางไม่ได้
ในอดีต ผู้หญิงที่อยู่ในผ้าเช็ดหน้าสีเหลืองทำได้แค่รวบรวมจนกลายเป็นร่างเงาที่เลือนรางเท่านั้น เหมือนเป็นภาพวาดน้ำหมึกที่ไร้สีสัน เวลานี้เหมือนเป็นภาพของชนชั้นศักดินามากกว่า
การที่ผู้หญิงที่อยู่ในผ้าเช็ดหน้าสีเหลืองสามารถรวบรวมเป็นร่างเงาเช่นนี้ได้ เป็นเพราะผ้าเช็ดหน้าสีเหลืองถูกแช่อยู่ในขวดหยกพิสุทธิ์นั่นเอง
“นี่ นี่ นี่ เจ้าทำเช่นนี้หมายความว่าอะไร? ข้าเรียกเจ้าตั้งนานถึงกับไม่มีปฏิกิริยาตอบแม้แต่น้อย!” หลังจากที่นังหนูน้อยที่อยู่ในผ้าเช็ดหน้าสีเหลืองพลันรวมตัวเป็นร่างเงาได้แล้ว ก็มีท่าทีที่ดุร้ายต่อหลี่ชิเย่ทันที เหมือนต้องการต่อว่าต่อขานเป็นการใหญ่อย่างนั้น
หลี่ชิเย่กลับไม่รู้สึกเร่งรีบสำหรับท่าทีที่ต่อว่าต่อขานเป็นการใหญ่ของนังหนูน้อย ดูจะเอ้อระเหยเป็นพิเศษ ยิ้มเฉยเมยและกล่าวว่า “อันดับแรก ข้าไม่ได้ชื่อว่านี่ ข้ามีชื่อนะ ชื่อของข้าคือหลี่ชิเย่”
“ฮึ ฮึ ฮึข้ารู้ว่าเจ้ามีชื่อว่าหลี่ชิเย่ ข้าเรียกเจ้าตั้งนาน ทำไมเจ้าจึงไม่มีปฏิกิริยาแม้แต่น้อย!” ท่าทางของนังหนูไร้เดียงสาที่ดูเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างนั้น
ความจริงแล้ว ขณะที่สถาบันศึกษาเทพเจ้าเกิดภัยพิบัติตอนนั้น นังหนู่น้อยก็เรียกหาหลี่ชิเย่ตลอดมา เพียงแต่หลี่ชิเย่ไม่สนใจนางเท่านั้นเอง จับนางขังเอาไว้
“ขอโทษที ข้ามีธุระเร่งด่วนนิดหน่อย ไหนๆ เจ้าก็มีเวลาเหลือเฟืออยู่แล้ว เวลานี้ข้าก็ได้ปล่อยเจ้าออกมาแล้วมิใช่รึ?” หลี่ชิเย่อมยิ้มแล้วพูดขึ้นมา
นังหนูน้อยกำลังจะอาละวาด แต่ว่าจะอย่างไรเสียนางก็ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง ควบคุมอารมณ์ให้เป็นปรกติ สุดท้าย เอ่ยขึ้นมาช้าๆ ว่า “สถานที่แห่งนี้แหละ นี่แหละคือสถานที่ที่พวกเราต้องการค้นหา!”
“ที่เจ้าพูดถึงนั้นหมายถึงโลกดึกดำบรรพ์แห่งนี้รึ?” หลี่ชิเย่ยิ้มจางๆ และกล่าวขึ้นมาช้าๆ ไม่รู้สึกเหนือความคาดคิดแม้แต่น้อย
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเจ้าเรียกมันว่าอะไร แต่ว่า ในอดีตพวกเราไม่ได้เรียกชื่อแบบนี้” นังหนูน้อยกล่าวขึ้นช้าๆ “ที่ตรงนี้แหละ สถานที่แห่งนี้สามารถทำให้ข้าได้เห็นเดือนเห็นตะวันได้อีกครั้ง!”
หลี่ชิเย่เอามือลูบคาง ยิ้มกล่าวเฉยเมยว่า “ถ้าหากข้าจำไม่ผิดหละก็ โลกดึกดำบรรพ์แห่งนี้ไม่ถือเป็นโลกของเจ้า และไม่อยู่ในยุคสมัยของเจ้า อาจกล่าวได้ว่ามันเก่าแก่ยิ่งกว่ายุคสมัยของเจ้าเสียอีก!”
“ข้ารู้” นังหนูน้อยกล่าวว่า “เป็นความจริงที่มันไม่นับว่าอยู่ในโลกนี้ แต่ บิดาของข้าเคยค้นพบมัน เพียงแต่ยังไม่เคยไปพัฒนามันเท่านั้นเอง มันยังคงรักษาอยู่ในสภาพเดิม!”
“ข้าเข้าใจแล้วหละ” ท่าทีของหลี่ชิเย่เหมือนเข้าใจทุกอย่าง และกล่าวว่า “แม้ว่าบิดาของเจ้าไม่ได้ทำการพัฒนามัน และไม่ได้เปลี่ยนแปลงมัน แต่กลับคงทางหนีทีไล่เอาไว้ที่นี่ เพื่อป้องกันเหตุที่ไม่คาดฝัน เป็นต้นว่าลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของเขาถูกคนลอบปองร้าย!”
“ฮึ ทำแสแสร้งต่อหน้าข้าให้น้อยๆ หน่อย” นังหนูน้อยส่งเสียงฮึด้วยความไม่พอใจออกมา และกล่าวว่า “สรุปเจ้าจะช่วยหรือไม่ช่วย?”
“ช่วยสิ จะไม่ช่วยได้อย่างไรกัน สาวงามมีบัญชา ข้าย่อมยินดีช่วยเหลืออย่างยิ่งแน่นอน กระทั่งเรียกว่าทุ่มเทเต็มที่” หลี่ชิเย่ยิ้มแต้กล่าวว่า “แต่ว่า เร็วๆ นี้ข้ามีธุระนิดหน่อย ต้องยุ่งระยะหนึ่ง”
คำพูดลักษณะเช่นนี้ของหลี่ชิเย่พลันทำให้นังหนูน้อยโมโหจัด นางรู้ว่าหลี่ชิเย่จงใจยั่วโมโหนาง นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง สุดท้ายกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “อย่าลืมสิ ระหว่างพวกเรามีสัญญาต่อกัน”
“ไม่ ข้าไม่ได้ลืมแม้แต่น้อย” หลี่ชิเย่ยิ้มแต้และกล่าวว่า “ข้าจำได้แม่นทุกอย่าง แต่จะว่าไปแล้ว คนอย่างข้าเป็นผู้ที่มีงานยุ่งมากแต่กำเนิด ข้อนี้หวังว่าเจ้าจะให้อภัยบ้าง”
“เจ้า…” นังหนูน้อยถูกยั่วโมโหจนร่างสั่นเทิ้ม แต่ว่านางยังคงสงบอารมณ์เอาไว้ได้ สุดท้ายเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “เจ้าต้องการอะไร?” นางเข้าใจ เรื่องราวหลายเรื่องไม่สามารถรอดพ้นสายตาคนอย่างหลี่ชิเย่ไปได้
“ไม่มีอะไร บางทีข้าอาจต้องการคุยเรื่องที่เกี่ยวกับโลกดึกดำบรรพ์สักหน่อย” หลี่ชิเย่ยิ้มจางๆ และกล่าวว่า “ข้าเชื่อว่าเจ้าก็รู้อะไรบางอย่าง ในเมื่อเจ้าเป็นคนของข้า และข้าก็เป็นคนของเจ้า คำพูดบางอย่างพวกเราสามารถเปิดอกคุยกันใช่หรือไม่”
คำพูดของหลี่ชิเย่ทำให้นังหนูน้อยนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง นางพลันไม่พูดอะไรอีกเลย
“แน่นอน คนอย่างข้ายังคงยินดีช่วยเหลือเจ้าอยู่แล้ว และข้าก็เป็นคนพูดแล้วต้องทำได้” หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมยและกล่าวว่า “เพียงแต่ ข้ามีธุระต้องทำอยู่นิดหน่อยจริงๆ รอให้ข้าเสร็จงานแล้ว ต้องช่วยเหลือเจ้าอย่างเต็มที่แน่นอน ช่วยให้เจ้าได้กลับมาเห็นดวงเห็นตะวันอีกครั้งแน่นอน”
“เรื่องนี้ไม่มีอะไรต้องพูดกัน” สุดท้าย นังหนูน้อยพูดเสียงเย็นชาออกมา
หลี่ชิเย่ได้แต่ทำท่ายักไหล่ และกล่าวว่า “ดูท่าการร่วมมือของพวกเรายังไม่จริงใจมากพอ แม้ว่าข้าไม่แน่ว่าจะรู้เรื่องเกี่ยวกับโลกดึกดำบรรพ์นี้นัก แต่ว่า สิ่งที่ควรจะรู้ข้าก็เชื่อว่าข้ากุมเอาไว้ได้เกือบหมดแล้ว”
“เจ้าคนแซ่หลี่ อย่าได้บังคับกันมากเกินไปนัก!” เวลานี้ นังหนูน้อยตวาดน้ำเสียงเย็นชาว่า “ที่ข้าไม่ต้องการพูดถึงใช่ว่าโลกดึกดำบรรพ์นี้มีความลับอะไร แต่เป็นเพราะเรื่องบางเรื่องไม่จำเป็นต้องไปพูดถึงก็เท่านั้น”
“ข้าเข้าใจ เป็นเรื่องราวในอดีต” หลี่ชิเย่มองดูนังหนูน้อยแวบหนึ่ง สุดท้ายพยักหน้าและกล่าวว่า “เอาเถอะ เช่นนั้นข้าก็จะไม่บังคับเจ้า ข้าเป็นผู้ที่ยึดถือเรื่องคำมั่นสัญญา ในเมื่อระหว่างพวกเรามีข้อตกลงต่อกัน ข้าก็จะช่วยให้เจ้าได้สมหวังอยู่แล้ว เจ้าต้องการให้ข้าช่วยเหลือเจ้าอย่างไร ข้าก็จะทำเช่นนั้น”
คราวนี้กลับกลายเป็นว่านังหนูน้อยนิ่งเงียบไม่พูดอะไรอีก สุดท้ายจึงเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “แม้ว่าข้าไม่พูดถึงเรื่องราวที่ตรงนี้ แต่ข้าสามารถบอกเรื่องบางเรื่องให้กับเจ้า”
“คนอย่างข้าแม้ว่าจะเป็นงี่เง่าเต่าตุ่นคนหนึ่ง แต่ไม่ชอบไปขุดคุ้ยแผลของผู้อื่น” หลี่ชิเย่วางท่าเข้มท่าทีเหมือนเป็นสุภาพบุรุษคนหนึ่ง
“เชอะ ไม่ต้องแสแสร้งต่อหน้าข้า เจ้าเป็นเดนมนุษย์อย่างไรหรือข้าไม่รู้อย่างนั้นรึ?” นังหนูน้อยกล่าวดูแคลนออกมาว่า “เจ้ารั้งอยู่ที่โลกดึกดำบรรพ์เพื่ออะไร? ฮึ อย่าบอกนะว่าเพียงเพื่อต้องการชมวิวเท่านั้นเอง? การที่เจ้าให้ความสนใจในโลกดึกดำบรรพ์เช่นนี้เพื่ออะไรกัน? อย่าบอกข้านะว่าต้องการของวิเศษ!”
“อ้อ พูดอย่างนี้แสดงว่าเจ้าใกล้จะกลายเป็นคนรู้ใจของข้าแล้วสิ รู้ว่าข้าคิดอะไรแล้ว” หลี่ชิเย่กล่าวพร้อมกับหัวเราะ
“ฮึ ถ้าหากข้าเดาไม่ผิดหละก็ เจ้าจะต้องค้นหาโลกใบนั้นแน่นอน! โลกที่ไม่มีการดำรงคงอยู่ตลอดมาในตำนาน!” นังหนูน้อยกล่าวยิ้มเยาะออกมา
“น่าสนใจ” หลี่ชิเย่ถูมือหัวเราะและกล่าวว่า “แต่ว่า ต่อให้ข้ากำลังค้นหาโลกที่ไม่ดำรงคงอยู่นี้จริง เจ้าไม่เห็นจะรู้มากไปกว่าข้า ความจริงแล้ว เกรงว่าเรื่องนี้ข้าจะรู้มากกว่าเจ้าเสียอีก”
“อย่างนั้นรึ?” นังหนูน้อยหัวเราะเยาะ และกล่าวว่า “แม้ว่าข้าจะไม่เคยไปมาก่อน แต่ท่านพ่อของข้าเคยไป! ทั้งยังได้สร้างระบบถ่ายทอดด้านลัทธิเต๋าขึ้น เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า?” คำพูดของนังหนูน้อยพลันทำให้หลี่ชิเย่ต้องเพ่งสายตาไปข้างหน้า จ้องมองนาง ถึงกับพูดไม่ออกเวลานี้
“ถึงคราวที่เจ้าต้องตกใจแล้วสิ” นังหนูน้อยพูดขึ้นช้าๆ ว่า “ถ้าหากเจ้าต้องการไปที่นั่นจริงๆ บางทีข่าวของข้าอาจมีประโยชน์ต่อเจ้า ไม่แน่นักอาจสามารถช่วยเจ้าได้อีกแรง”
“เรื่องนี้จริง” หลี่ชิเย่พยักหน้าและกล่าวว่า “เจ้าเล่นเอาเหยื่อที่หวานมันโยนให้ข้า ข้าคิดจะไม่งับและติดเบ็ดก็คงไม่ได้แล้ว ดูท่าข้าคงต้องช่วยเจ้าเต็มที่ ให้เจ้าได้เห็นเดือนเห็นตะวันอีกครั้ง”
“ต้องอย่างนี้สิค่อยยังชั่ว” นังหนูน้อยดูจะพึงพอใจบ้างและพยักหน้าเอ่ยขึ้น
“นังหนูไร้เดียงสาอย่าทำเป็นได้คืบเอาศอก” หลี่ชิเย่หัวเราะส่ายหน้าและกล่าวว่า “ถ้าหากข้าจะเค้นเอาข่าวจากตัวของเจ้าจริงๆ หละก็ ข้ามีวิธีการมากมายเหลือเกิน เพียงแต่ข้าอยากจะพูดคุยกับเจ้าแบบใจต่อใจเท่านั้นเอง ซึ่งสิ่งนี้จะดีต่อทุกฝ่าย”
“ฮึ…” นังหนูน้อยส่งเสียงฮึเย็นชาออกมา เป็นการแสดงถึงความไม่พอใจในคำพูดของหลี่ชิเย่อย่างชัดเจน แต่ไม่อาจไม่ยอมรับว่านี่คือความจริง สุดท้ายก็ต้องขอความช่วยเหลือจากอีกฝ่าย ซึ่งไม่ใช่หลี่ชิเย่ แต่เป็นนาง นางจะได้เห็นเดือนเห็นตะวันอีกครั้งหรือไม่นั้น ท้ายที่สุดยังคงต้องอาศัยความช่วยเหลือจากหลี่ชิเย่
“เจ้าค้นหาโลกที่ไม่ดำรงคงอยู่นี้เพื่ออะไร?” สุดท้าย นังหนูน้อยได้เอ่ยถามขึ้นมา
หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมย และกล่าวว่า “เช่นนั้นแล้ว บิดาเจ้าค้นหาโลกที่ไม่ดำรงคงอยู่นี้เพื่ออะไรกันหละ? เพื่อช่วยเหลือยุคสมัยของเขารึ? หรือว่าเพื่อค้นหาสถานที่ที่หนึ่งสำหรับลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของเขาได้อาศัย? แน่นอน การที่เขาย้อนกลับมา ย่อมไม่ใช่ทำเพื่อตนเองแน่ ถ้าหากเขาทำเพื่อตนเองเขาก็จะไม่กลับมา”
นังหนูน้อยต้องนิ่งเงียบเป็นเวลานานกับคำพูดเช่นนี้ หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ สุดท้ายนางได้เอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าก็ไม่แน่ใจนักว่าท่านทำเพื่ออะไร เพียงแต่ภายหลังท่านต้องการให้ข้าได้ขึ้นไปจริงๆ เพียงแต่ทักษะของข้ามีจำกัด ยิ่งไปกว่านั้น ข้ายิ่งต้องการอยู่เป็นเพื่อกับท่านสู้รบจนถึงที่สุด!”
“แม้ว่าทักษะยุทธของบิดาเจ้าจะมีจำกัด แต่หากจะส่งตัวเจ้าขึ้นไปเพียงคนเดียว เขาต้องมีวิธีแน่นอน” หลี่ชิเย่กล่าวเฉยเมยขึ้นมา
นังหนูน้อยพยักหน้าเงียบๆ บิดาของนางที่แข็งแกร่งจนถึงระดับนั้นแล้ว ยากที่จะมีเรื่องใดๆ ในโลกที่เขาทำไม่ได้อีกแล้ว เพียงแต่น่าเสียดาย สุดท้ายแล้วยังคงไม่สามารถหนีพ้นจากเคราะห์กรรมไปได้
“ชีวิตของคนบนโลกนี้ ย่อมมีสักวันที่เรื่องบางเรื่องไม่สามารถหวนคะนึงถึงได้” หลี่ชิเย่กล่าวเฉยเมย
เขาเข้าใจที่นังหนูน้อยไม่อยากจากไปนั้น ไม่เพียงเพราะเป็นสาเหตุจากบิดาของนางเท่านั้น ในโลกนี้ยังคงมีผู้ที่ควรค่าแก่นางไปอาลัยอาวรณ์