หลี่ชิเย่ยืนอยู่ริมแม่น้ำและมองไปยังฝั่งตรงข้ามจากระยะห่างไกล สองตาเพ่งมองไปเสมือนหนึ่งสายตาสามารถทะลุผ่านฝั่งตรงข้ามได้ทั้งหมด
“มีพายุ ไม่มีพายุ มีพายุ ไม่มีพายุ…” ในขณะที่หลี่ชิเย่ละสายตากลับมานั้น ปรากฏเสียงพึมพำเบาๆ ส่งผ่านเข้ามาในรูหูเบาๆ
หลี่ชิเย่เอียงคอมองดู เห็นริมแม่น้ำในมุมที่ไม่สะดุดตามุมหนึ่งมีหญิงสาวยืนอยู่คนหนึ่ง หญิงสาวคนนี้สวมใส่ชุดสามัญชนธรรมดา สีน้ำตาลอ่อน สะพายกระบี่เหล็กเล่มหนึ่งด้านหลัง กระบี่เหล็กเล่มนี้มีความเก่าแก่โบราณและดูจะมีอายุไม่น้อย หญิงสาวคนนี้ไม่ได้แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอาง แม้ว่าไม่สามารถบอกได้ว่างดงามอย่างยิ่ง แต่โดยรวมแล้วแลดูมีกลิ่นอายของความงดงามอยู่สายหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดวงตาคู่นั้นเปี่ยมด้วยความแข็งแกร่งและมุ่งมั่นกลิ่นอายที่แข็งกร้าวไม่ยอมแพ้ถูกเผยออกมาจากดวงตาคู่นั้นของนาง
ผมของหญิงสาวมัดรวบเอาไว้อยู่ด้านหลัง เมื่อลมจากแม่น้ำพัดเข้ามา ปรากฎเส้นผมที่ยุ่งเหยิงบางส่วนจากลมตีปลิวไสวผ่านใบหน้าของนางอย่างรวดเร็ว
เวลานี้ในมือของนางถือดอกไม้อยู่ดอกหนึ่ง กลีบดอกถูกนางเด็ดออกมาทีละกลีบๆ กลีบดอกทุกๆ กลีบที่เด็ดออกก็จะพูดเสียงแผ่วเบาว่า “มีพายุ ไม่มีพายุ มีพายุ ไม่มีพายุ…” การที่นางเด็ดกลีบดอกออกมาทีละกลีบๆ เช่นนี้ก็คล้ายดั่งเป็นการเสี่ยงทายอย่างนั้น
หลี่ชิเย่ยิ้มบางๆ เมื่อมองเห็นท่าทีของนาง เอ่ยขึ้นมาช้าๆ ว่า “วันนี้มีพายุอย่างแน่นอน ไม่ต้องไปเสี่ยงโชค อีกทั้งยังเป็นพายุที่แรงมากด้วย”
เดิมทีหญิงสาวผู้นี้ยืนโดดเดี่ยวอยู่ที่มุมๆ หนึ่ง ไม่สามารถเข้าพวกกับคนอื่นได้ เวลานี้ถูกคำพูดคำเดียวของหลี่ชิเย่ทำให้ตกใจตื่น นางเงยหน้าขึ้นทันที เมื่อมองเห็นหลี่ชิเย่ที่พูดรู้เท่าทันความคิดของนาง พลันมีใบหน้าที่แดงก่ำ ก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง แล้วพูดเสียงแผ่วเบาว่า “ข้า ข้า เช่นนั้นแล้วข้าพรุ่งนี้ค่อยมาใหม่” กล่าวพลางไม่กล้ากระทั่งเงยหน้า
“เกรงว่าภายในช่วงสั้นๆ นี้จะมีพายุตลอด” หลี่ชิเย่หัวเราะและส่ายหน้าเบาๆ
หญิงสาวผู้นี้ถึงกับเงยหน้าขึ้นมองไปที่ทะเลเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ ท่าทางลังเลอยู่บ้าง และก็เหมือนทำอะไรไม่ถูก แต่ก็เหมือนไม่ยอมแพ้อย่างนั้น
หลี่ชิเย่เพียงแค่ยิ้มบางๆ เท่านั้น ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ปัง ปัง ปังในเวลานี้เอง เสียงฝีเท้าดังขึ้นเป็นระลอก มีคนกลุ่มหนึ่งมาถึงริมทะเล ท่าทางคนกลุ่มนี้ดูจะข่มเหงผู้คน อีกทั้งมีทีท่าที่จะเบียดเข้ามาดื้อๆ อย่างนั้น ทำให้ผู้คนที่อยู่ริมทะเลต้องทยอยหลีกเป็นทางให้กับพวกเขา
ทุกคนมองไปที่คนกลุ่มนั้น พวกเขาทั้งหมดสพายกระบี่ที่ด้านหลังทั้งหมด พลันที่เห็นก็รู้ว่าพวกเขาต้องมาจากสำนักเดียวกัน ผู้ที่เป็นผู้นำเป็นหญิงสาวคนหนึ่ง สวยหยาดเยิ้มน่าประทับใจ รูปร่างที่เป็นส่วนเว้าส่วนนูนดูมีรสนิยมเปี่ยมด้วยความเย้ายวน อีกทั้งหญิงสาวผู้นี้สวมชุดประจำราชวงศ์ พลันที่มองเห็นก็รู้ว่าหากไม่เป็นผู้มีอำนาจก็คือมีฐานะผู้สูงศักดิ์
“เป็นคนของสุสานกระบี่” ผู้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกตกใจเมื่อได้เห็นคนกลุ่มนี้ พูดเสียงแผ่วเบาว่า “คนของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิสุสานกระบี่มาแล้ว นางคือองค์หญิงเซี่ย เป็นลูกพี่ลูกน้องของเจี้ยนจุน”
“เซี่ยจือหยิง ลูกพี่ลูกน้องของเจี้ยนจุนถึงกับมาที่นี่ ดูท่าเจี้ยนจุนก็ต้องมาด้วย” แม้แต่รุ่นอาวุโสยังรู้สึกตกใจ หลังจากได้เห็นผู้หญิงคนนี้
หลังจากผู้หญิงที่มีนามว่าองค์หญิงเซี่ยมาถึงแล้วได้กวาดสายตามองไปโดยรอบ พลันสายตาไปหยุดอยู่ที่หญิงสาวที่นับกลีบดอกไม้คนเมื่อครู่
“ว้าว นี่คุณหนูแห่งตระกูลหลินมิใช่รึ? ถึงกับมาที่เงินทองตกพื้นเหมือนกัน ยากนัก ยากนัก ยากจริงๆ” องค์หญิงเซี่ยผู้นี้พลันกล่าวและหัวเราะขึ้นมาทันที
เดิมทีหญิงสาวที่นับกลีบดอกไม้กำลังจะจากไปเมื่อเห็นคนของสุสานกระบี่ แต่ยังไม่ทันได้ไปจากก็ถูกองค์หญิงเซี่ยจับตาเอาไว้ได้
“ข้า ข้าแค่มาดูเฉยๆ” หญิงสาวผู้นี้ก้มหน้าลง แต่นางได้รวบรวมความกล้าเงยหน้าขึ้นและมองตรงไปยังองค์หญิงเซี่ย ดูออกว่าในใจของนางมีความกลัวอยู่ แต่นางยังคงเงยหน้าขึ้นมาและจ้องตรงไปยังองค์หญิงเซี่ย
“คนของตระกูลหลิน” บรรดากลุ่มคนรุ่นใหม่อาจไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร แต่ผู้บำเพ็ญตนรุ่นอาวุโสรู้สึกตกใจเมื่อได้ยินคำพูดขององค์หญิงเซี่ย และจ้องมองไปที่ผู้หญิงคนนั้น
“เงินทองตกพื้นเป็นสถานที่ที่ต้องอาศัยเงินทุกฝีก้าว เกรงว่าค่าใช้จ่ายที่นี่จะมโหฬารมาก” องค์หญิงเซี่ยทำเป็นฝืนยิ้มพร้อมกับเอ่ยขึ้นโดยแฝงไว้ซึ่งความหมายอื่น
“ข้า ข้ายังแบกรับได้อยู่” หญิงสาวผู้นี้เอ่ยขึ้นช้าๆ แม้จะเป็นเช่นนี้ คำพูดที่ออกจากปากของนางดูขาดความมั่นใจ
“มันก็ไม่แน่นัก” องค์หญิงเซี่ยส่ายหน้าและกล่าวว่า “เจ้าจะไปที่ไหนรึ? ไม่แน่นักพวกเราอาจจะไปที่เดียวกันก็ได้”
“ข้า ข้าแค่เดินดูไปตามอารมณ์เท่านั้น” หญิงสาวผู้นี้ถึงกับมองไปที่อื่น แต่เวลาพูดเหมือนกินปูนร้อนท้องอยู่บ้าง ย่อมไม่ต้องสงสัยนางมาเพื่อสิ่งอื่นๆ เช่นเดียวกัน
“คงไม่ใช่ไปที่เดียวกันกับพวกเรากระมัง” องค์หญิงเซี่ยพลันมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มดั่งดอกไม้ ยิ้มกล่าวว่า “ไม่ขอปิดบังเจ้า ศิษย์พี่เจี้ยนจุนกำลังจะมาแล้ว ในเมื่อพวกเราเป็นคนของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเดียวกัน สมควรร่วมแรงร่วมใจกัน มีเรื่องอะไรทุกคนร่วมกันแก้ไข”
สีหน้าของหญิงสาวพลันเปลี่ยนไปมากทีเดียว สีหน้าขาวซีดและก้าวถอยหลังติดต่อกันหลายก้าว นางพยายามอย่างสุดความสามารถไม่ให้แสดงพิรุธออกมาให้เห็น แต่ยังคงไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนได้
ขณะที่ท่าทีของหญิงสาวถูกองค์หญิงเซี่ยเก็บรายละเอียดเอาไว้ได้ทั้งหมด นางพลันมีความมั่นใจขึ้นในใจทันที
“ในเมื่อพวกเราต่างก็ไปที่เดียวกัน เช่นนั้นแล้วก็ไปด้วยกันเถอะ” องค์หญิงเซี่ยสั่งการกับศิษย์ที่อยู่ข้างกายว่า “ไปเชิญแม่นางหลินเข้ามา พวกเราจะไปด้วยกัน เมื่อได้พบกับศิษย์พี่เจี้ยนจุนแล้วก็จะได้มีคำอธิบายได้”
คนข้างกายขององค์หญิงเซี่ยเดินเข้าหาหญิงสาวผู้นั้นทันที สีหน้าของหญิงสาวผู้นี้เปลี่ยนไปมากทีเดียว หันหลังจะหลบหนีแต่ก็สายไปเสียแล้ว
ผู้บำเพ็ญตนจำนวนไม่น้อยที่อยู่ในเหตุการณ์มองออกว่าเรื่องนี้ไม่ง่ายนัก ผู้บำเพ็ญตนรุ่นอาวุโสยิ่งรู้แจ้งชัดยิ่งนัก กระทั่งมีรุ่นอาวุโสถึงกับทอดถอนใจเบาๆ พูดเสียงแผ่วเบาว่า “น่าเสียดายกับตระกูลหลิน”
แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ก็ตาม แต่ไม่มีใครที่ก้าวออกมาพูดอะไร จะอย่างไรเสียระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสุสานกระบี่นับว่ามีศักยภาพที่แข็งแกร่งมากในแดนลัทธิพรรษเช่นกัน
“ไม่ต้องแล้ว” ในเวลานี้เอง แขนข้างหนึ่งถูกยื่นออกมาขวางทางพวกเขาเอาไว้พร้อมคำกล่าวที่เฉยเมย
ผู้ที่ขวางทางพวกเขาก็คือหลี่ชิเย่นั่นเอง ทำให้คนขององค์หญิงเซี่ยต้องชะงักทันที พินิจพิเคราะห์หลี่ชิเย่ทีหนึ่ง กล่าวน้ำเสียงเย็นชาว่า “เจ้าหนู ไสหัวไปข้างๆ เสียหากรู้จักกาลเทศะ นี่เป็นเรื่องตระกูลสุสานกระบี่ของพวกเรา”
“ไสหัวไปก่อนที่ข้าจะลงมือ” หลี่ชิเย่พูดหน้าตาเฉย
ว้าว…เมื่อองค์หญิงเซี่ยเห็นหลี่ชิเย่ออกมาผดุงความยุติธรรม จึงหัวเราะน่ารักและกล่าวว่า “ที่แท้คุณหนูแห่งตระกูลหลินของพวกเราได้สมคบคิดกับผู้ชายที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้า มิน่าเล่ากล้ามาที่เงินทองตกพื้น หาผู้ชายสักคนไม่ต้องเสียเงินสักแดงก็มาที่เงินทองตกพื้นได้แล้วล่ะ ถ้าหากยังไม่ไหวก็หาสักสองคน…”
หญิงสาวผู้นี้ถึงกับใบหน้าแดงก่ำ พูดอะไรไม่ออกในเวลานี้ เมื่อถูกองค์หญิงเซี่ยพูดจากเย้ยหยัน
“เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าหากขืนยังคงนินทาคนอื่นอีก ข้าจะจัดการดึงเอาลิ้นของเจ้าออกมาด้วยตนเอง” หลี่ชิเย่ เลิกหนังตาทีหนึ่ง กล่าวเฉยเมยขึ้นมา
“วาจาสามหาวนัก” ดวงตาทั้งสองของผู้หญิงคนนี้พลันดูไม่เป็นมิตร เผยให้เห็นถึงปณิธานการฆ่าที่น่ากลัว กล่าวน่าเกรงขามออกมาว่า “เจ้าหนู เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร ถึงกับพูดโอ้อวดต่อหน้าข้าโดยไม่ละอาย…”
“ไม่จำเป็นต้องรู้ แค่สวะที่ไม่มีสมองเท่านั้นเอง” หลี่ชิเย่กล่าวตัดบทของนางด้วยท่าทีเฉยเมยโดยไม่เกรงใจแม้แต่น้อย
“เจ้าคนไม่รู้จักคำว่าตาย…” ในเวลานี้เอง ยอดฝีมือที่อยู่ข้างกายองค์หญิงเซี่ยพลันรู้สึกโกรธจัด ดวงตาทั้งสองของพวกเขาทยอยกันเผยปณิธานการฆ่าออกมา กระทั่งมีคนที่ดาบยาวออกจากฝักแล้ว
“จะตีกันรึ? จะตีกันจริงๆ หรือ?” เวลานี้เอง เสียงหัวเราะที่เปิดเผยเสียงหนึ่งดังขึ้น ชายหนุ่มผู้หนึ่งก้าวเท้าเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ชายหนุ่มคนนี้สวมชุดคลุมยาวสีเขียว ด้านหลังของเขาแบกกระสอบป่านขนาดใหญ่ และยาวมาก ข้างในมีสิ่งของที่ถูกยัดมาเต็มกระสอบโดยไม่รู้ว่าเป็นอะไร ชายหนุ่มผู้นี้มีหน้าตาดี แฝงรอยยิ้มที่สดใสบนใบหน้าอยู่เสมอๆ
“คุณชายผิงเฉิง…” ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์จำนวนไม่น้อยพลันจดจำประวัติความเป็นมาของเขาได้เมื่อได้เห็นชายหนุ่มผู้นี้ และมีผู้ที่ร้องเสียงแผ่วเบาขึ้นมา
บรรดายอดฝีมือที่เดิมเดินเข้าหาหลี่ชิเย่นั้นชะงักทันทีเมื่อเห็นชายหนุ่มผู้นี้ พวกเขาทยอยกันส่งสายตาให้แก่กัน ทั้งหมดล่าถอยกลับไปอยู่ด้านหลังขององค์หญิงเซี่ย
“คุณชายผิงเฉิง หนึ่งในสามคุณชาย…” ต่อให้เป็นผู้ที่ไม่เคยพบเห็นชายหนุ่มผู้นี้มาก่อน เมื่อได้ยินชื่อของคุณชายผิงเฉิงก็รู้แล้วว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเป็นใคร
คุณชายผิงเฉิง หนึ่งในสามคุณชายแห่งแดนลัทธิพรรษ มีชื่อชั้นเสมอด้วยคุณชายหุยชุน และคุณชายพานหลง เพียงแต่คุณชายหุยชุนได้ตายไปแล้ว เวลานี้สามคุณชายเหลือเพียงสองคุณชายเท่านั้น
ไม่มีผู้ใดทราบถึงรายละเอียดว่าชื่อที่แท้จริงของคุณชายผิงเฉิงคืออะไร และไม่มีใครรู้ว่าเขามีชาติกำเนิดมาจากสำนักใด ทุกคนรู้แต่เพียงว่าเขามาจากเมืองผิงเฉิง อาศัยอยู่ในเมืองผิงเฉิง ดังนั้นทุกคนจึงเรียกเขาว่าคุณชายผิงเฉิง
เวลานี้คุณชายผิงเฉิงพลันปรากฏอยู่ที่ตรงนี้ ซึ่งได้สร้างความตระหนกในใจของผู้คนจำนวนไม่น้อย เนื่องจากเล่าลือกันว่าคุณชายผิงเฉิงน้อยครั้งนักที่จะไปจากเมืองผิงเฉิง ส่วนใหญ่แล้วเขาก็จะขลุกอยู่ที่เมืองผิงเฉิงนั่นเอง
“คุณชายผิงเฉิง ได้ยินชื่อเสียงมานาน” เวลานี้องค์หญิงเซี่ยแสดงท่าทีที่สวยเพียบพร้อมและสูงส่ง แสดงคารวะแบบจีนต่อคุณชายผิงเฉิง มองดูแล้วมีท่าทีที่สง่างามและเปิดเผยตรงไปตรงมา
“ที่แท้คือองค์หญิงเซี่ย ไม่พบกันเสียนาน” คุณชายผิงเฉิงหัวเราะและกล่าวว่า “ก่อนหน้านั้นข้าได้พบกับเจี้ยนจุน เขายังซื้อกระบี่กับข้าเล่มหนึ่งเลย องค์หญิงเซี่ยจะตีกันรึ? สนใจสักเล่มหรือไม่?”
เจี้ยนจุนคือยอดฝีมือที่มีชื่อเสียงโด่งดังในยุคปัจจุบัน และเป็นอัจฉริยะบุคคลที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่ง มีเพียงคนอย่างคุณชายผิงเฉิงที่กล้าเรียกชื่อของเขาตรงๆ เช่นนี้
“ไม่ พวกเราแค่จะรีบเดินทางเท่านั้น” องค์หญิงเซี่ยเผยรอยยิ้มที่งดงามออกมา รีบกล่าวว่า “คราวหน้าขอเชิญคุณชายไปเป็นแขกที่สุสานกระบี่ของพวกเรา”
“ตกลง” เมื่อคุณชายผิงเฉิงเห็นว่าองค์หญิงเซี่ยจะจากไป ได้แต่กล่าวด้วยความผิดหวัง
เวลานี้องค์หญิงเซี่ยโปรยเหรียญไปกำมือใหญ่ ได้ยินเสียงดังตึง ตึง ตึงดังขึ้นมา เมื่อเงินตกลงไปได้ยินเสียงช่าาาดังขึ้นมาเสียงหนึ่ง ภายในทะเลปรากฏเรือไม้ขนาดยักษ์ลำหนึ่งโผล่ขึ้นมา และเก็บเอาเหรียญทั้งหมดเอาไว้
“พวกเราไปกัน” องค์หญิงเซี่ยกระโดดขึ้นบนเรือไม้ นำพาทุกคนนั่งเรือไม้ข้ามไปยังฝั่งตรงข้าม ในเวลานี้นางไม่ได้สร้างความยุ่งยากให้กับหญิงสาวนั้นอีก เนื่องจากนางไม่ต้องการให้ผู้อื่นได้รับรู้เรื่องราวบางอย่าง
“ซื้อกระบี่หรือไม่?” ขณะที่หลี่ชิเย่กำลังตัดสินใจข้ามทะเลไปเช่นกัน คุณชายผิงเฉิงได้เข้ามาทันทีด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้าและสดใส
หลี่ชิเย่มองดูเขาทีหนึ่ง ขณะที่คุณชายผิงเฉิงนั้นดูกระตือรือร้นอย่างยิ่ง เขาหยิบเอากระสอบที่แบกอยู่ลงมา แกะออกดู มองเห็นข้างในบรรจุกระบี่ไม้แน่นเต็มไปหมด กระบี่ไม้เหล่านี้ทำได้ละเอียดสวยงามยิ่งนัก
“ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นกระบี่ดีที่ข้าเหลาขึ้นมาด้วยตนเอง พี่น้อง สักเล่มดีไหม กระบี่ดีๆ แบบนี้คืออาวุธที่ใช้ป้องกันตัว” คุณชายผิงเฉิงโฆษณากระบี่ไม้ไผ่ของตนต่อหลี่ชิเย่ทันที
ขณะที่ผู้อยู่ในเหตุการณ์ต่างเห็นจนชินชาแล้ว เนื่องจากคุณชายผิงเฉิงเป็นเช่นนี้มาโดยตลอด ไม่ว่าพบเจอกับระดับผู้ยิ่งใหญ่เช่นใดก็ตาม เขาก็จะไปโฆษณาขายกระบี่ไม้ไผ่ของตน แน่นอนที่สุด ผู้ยิ่งใหญ่บางคนเห็นแก่ชื่อเสียงของเขาก็จะซื้อกระบี่ไม้ไผ่นี้กับเขาสักเล่มสองเล่ม
ความจริง กล่าวสำหรับยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากแล้ว กระบี่ไม้ไผ่เช่นนี้ไม่มีประโยชน์แต่อย่างใดอยู่แล้ว
………………………………………………………..