เมื่อนักพรตฉางเซินพูดคำๆ นี้ออกมา บรรดาผู้อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดต่างรู้สึกใจหายใจคว่ำ ทุกคนต่างมองหน้ากันและกัน คำพูดเช่นนี้ช่างพาลและใช้อำนาจบาตรใหญ่มากเหลือเกิน
ในเวลานี้ ไม่รู้ว่ามีระดับบรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิจำนวนเท่าไรที่มีสีหน้าปั้นยากถึงขีดสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งระดับบรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิพานหลงเหล่านั้นต่างจ้องมองนักพรตฉางเซินด้วยความโกรธ
เนื่องจากคำบอกเล่าลักษณะเช่นนี้ของนักพรตฉางเซินเป็นการตบหน้าพวกเขาอย่างแรง เป็นการชี้หน้าด่าพวกเขาว่าเป็นสุภาพบุรุษจอมปลอม
แต่ทว่า ความพาลและใช้อำนาจบาตรใหญ่ของนักพรตฉางเซินก็เป็นเรื่องของพาลและใช้อำนาจบาตรใหญ่ คำบอกเล่าของนางก็นับว่าเปี่ยมด้วยความมั่นใจ การทำตัวค่อมต่ำของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะก็เป็นส่วนของการทำตัวค่อมต่ำ แต่ในด้านธาตุแท้ภายในนั้นยังคงแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ไม่ว่าระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิใดๆ ก็ไม่กล้าดูแคลน ถ้าหากหุบเขาอมตะต้องการเชิญราชันแท้จริงสักคนลงมาจากแดนลัทธิเซียน ใช่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
จะอย่างไรเสีย เคยมีราชันแท้จริงจำนวนไม่น้อยที่ติดค้างหนี้บุญคุณของหุบเขาอมตะ กระทั่งเคยมีระดับปฐมบรรพบุรุษก็ติดค้างหนี้บุญคุณหุบเขาอมตะเช่นกัน ถ้าหากหุบเขาอมตะคิดจะทำการใหญ่สักครั้งจริงๆ ล่ะก็ ทุกสิ่งล้วนมีความเป็นไปได้
“ท่านนักพรต พูดเกินไปแล้ว” บรรพบุรุษของจูเซียงหวู่ถิงเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “พวกเราไม่ได้เป็นศัตรูกับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ ที่พวกเราเจาะจงคือจอมมารที่ชื่อหลี่ชิเย่ เพียงแต่พวกเราเป็นกังวลว่าท่านนักพรต และหุบเขาอมตะถูกภาพลวงของจอมมารอย่างหลี่ชิเย่หลอกลวง เพียงหวังว่าท่านนักพรตจะคิดให้รอบคอบก่อน ข้าเชื่อว่า หากหลี่ชิเย่ถูกตัดสินว่าเป็นจอมมารแล้ว เกรงว่าผู้คนทั่วหล้าก็จะลุกขึ้นมาสังหารเขา นักพรตพเนจรว่าอย่างนั้นหรือไม่?”
เมื่อบรรพบุรุษของจูเซียงหวู่ถิงเอ่ยมาถึงตรงนี้ได้มองไปที่นักพรตพเนจรหยางหมิง จูเซียงหวู่ถิงไม่เพียงต้องการลากเอาหุบเขาอมตะเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ยังต้องการดึงพรรคหยางหมิงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ภายใต้เหตุการณ์นี้ใครก็อย่าคิดกลับออกไปอย่างปลอดภัย
เวลานี้ ทุกคนต่างมองไปที่นักพรตพเนจรหยางหมิง
นักพรตพเนจรหยางหมิงนั่งตัวตรงอยู่ตรงนั้น ท่าทางเป็นไปตามธรรมชาติ สูงส่งบริสุทธิ์มีความเป็นทายาทกษัตริย์ เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “หากหลี่ชิเย่ได้ฝึกวิชามารดูดเลือดจริง เป็นภัยต่อใต้หล้า ย่อมเป็นสิ่งที่ทุกคนควรสังหาร เป็นการบ่งบอกว่าระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงฝ่าฝืนข้อตกลง และยืนยันในความเป็นพรรคมาร พรรคหยางหมิงของข้าก็จะเป็นคนแรกที่ไม่นิ่งดูดาย”
เมื่อนักพรตพเนจรหยางหมิงแสดงตนเช่นนี้ ทำให้ผู้คนจำนวนมากต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่ก็มีคนบางคนที่ปรากฏความคิดมากมายขึ้นภายในใจ
“ท่านนักพรตคงได้ยินแล้วสินะ” เวลานี้ ระดับบรรพบุรุษของจูเซียงหวู่ถิงจึงได้มองไปที่นักพรตฉางเซิน กล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “หากหลี่ชิเย่เป็นจอมมารคนหนึ่ง ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะยังจะปกป้องเขาอีกหรือไม่? ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะยังคงต้องการเป็นศัตรูกับผู้คนทั่วหล้าอย่างนั้นรึ?”
“ไม่มีคำว่าแต่” นักพรตฉางเซินกล่าวตัดบทคำพูดของบรรพบุรุษจูเซียงหวู่ถิง “ข้าเชื่อว่าศิษย์ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะพวกเรา เขาจะไม่ฝึกเคล็ดวิชาดูดเลือดอะไรนั่นอย่างเด็ดขาด และไม่ใช่มารร้ายอะไรอย่างเด็ดขาด ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะพวกเราสามารถรับรองให้กับเขาได้”
“เช่นนี้คงไม่ได้” หลังจากที่นักพรตฉางเซินพูดจบ นักพรตพเนจรหยางหมิงส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “หากระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะถือเอาหลี่ชิเย่เป็นศิษย์ลำดับที่หนึ่งของหุบเขาอมตะ ก็ไม่สามารถรับรองให้กับเขา หุบเขาอมตะควรจะแบ่งความสัมพันธ์กับเขาให้ชัดเจน นี่ถือเป็นกฎข้อหนึ่งเช่นกัน”
“ทำไม นักพรตจงใจจะหาเรื่องกับข้ารึ?” นักพรตฉางเซินเอ่ยขึ้นและมองหน้านักพรตพเนจรหยางหมิง
นักพรตพเนจรหยางหมิงยังคงสงบนิ่ง และกล่าวว่า “ใช่ว่าข้าหาเรื่องนักพรต ขอเพียงว่ากันตามความเป็นจิรง ถ้าหากหุบเขาอมตะต้องการรับรองให้กับเขา สมควรลบชื่อของเขาออกจากการเป็นศิษย์ลำดับที่หนึ่งของหุบเขาอมตะ มิฉะนั้นล่ะก็ มันคือความคลุมเครือระหว่างส่วนตัวกับส่วนรวม ซึ่งส่งผลถึงเรื่องใหญ่โดยรวมของแดนลัทธิพรรษ”
“ข้ารู้สึกว่าคำพูดนี้มีเหตุผล เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงความเจริญรุ่งเรืองและเสื่อมถอยของแดนลัทธิพรรษพวกเรา ไหนเลยสามารถถูกถ่วงเอาไว้เพียงเพราะความเห็นแก่ตัวของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิใดลัทธิหนึ่งได้” เวลานี้ มีระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจำนวนไม่น้อยที่ทยอยกันแสดงความเห็นคล้อยตาม ต่างพุ่งเป้าไปที่หุบเขาอมตะ
คำพูดของนักพรตพเนจรหยางหมิงใช่จะไม่มีเหตุผล คำพูดของนางก็ใช่จะพุ่งเป้าไปที่หลี่ชิเย่ และหรือพุ่งเป้าไปที่หุบเขาอมตะ คำบอกเล่าของนางเพียงทำไปตามหน้าที่เท่านั้นเอง
“นายน้อยมู่มาแล้ว…” ขณะที่บรรดาระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิกำลังถกเถียงกันไม่หยุด พลันมีเสียงร้องดังขึ้นมาเสียงหนึ่ง ดังจนกระทั่งดวงดาวบนท้องฟ้าต้องสั่นเทา
ได้ยินเสียงตูม ตูม ตูมดังขึ้น มองเห็นรถศักดิ์สิทธิ์คันหนึ่งแล่นบดขยี้ท้องฟ้าที่ว่างเปล่าเข้ามา รถศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าวส่งประกายสีดำวูบวาบออกมา นกหงส์เขียวลากรถ ท่าทางสยบทั่วหล้า
มีระดับเทพแท้จริงขั้นขึ้นสู่สวรรค์สี่คนคอยคุ้มกันรถศักดิ์สิทธิ์ ขบวนลักษณะเช่นนี้ทำให้ผู้คนถึงกับใจหายใจคว่ำเมื่อได้เห็น
มองเห็นมู่เส้าเฉินที่นั่งอยู่ในรถศักดิ์สิทธิ์คันนั้น ยังคงตะกองกอดซ้ายขวาเหมือนเดิม ด้วยจิตใจที่ฮึกเหิม มีท่าทีที่หมางเมินต่อเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดิน
ขณะที่มู่เส้าเฉินมาถึง พลันดึงดูดสายตาของทุกคนทันที ทุกคนทยอยกันมองไปที่ตัวเขา และมีบางคนที่มองเห็นมาดเช่นนี้ของมู่เส้าเฉิน โดยเฉพาะกอดซ้ายโอบขวาแล้ว ในใจดูจะไม่สบอารมณ์มากเป็นพิเศษ
“ฮึ นี่มันวางมาดยิ่งใหญ่มากเกินไปแล้วกระมัง” มีผู้ที่ส่งเสียงฮึออกมาเบาๆ ในใจรู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่ง
แต่ว่า ขณะที่มู่เส้าเฉินมาถึงนั้น ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิพานหลง สุสานกระบี่ ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ้งหยางต่างทยอยกันลุกขึ้นให้การต้อนรับ บรรดาบรรพบุรุษ และยอดฝีมือของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิต่างๆ จำนวนมากต่างกล่าวทักทายต่อมู่เส้าเฉิน
แม้ว่าระดับบรรพบุรุษของจูเซียงหวู่ถิงจะไม่ได้ไปให้การต้อนรับ แต่ยังคงลุกขึ้นยืนแสดงความปรารถนาดีต่อมู่เส้าเฉิน
ตั้งแต่ต้นจนจบยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นโดยไม่ได้ลุกขึ้นยืนก็มีเพียงนักพรตฉางเซิน และนักพรตพเนจรหยางหมิงประเภทนั้น และมีเพียงระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเช่นพวกเขาที่มีสิทธิ์นั่งโดยไม่ต้องขยับตัว ต่อให้ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิอื่นๆ ที่ไม่ไปประจบต่อมู่เส้าเฉิน แต่ก็ไม่กล้าล่วงเกิน
โดยเฉพาะศิษย์ของสุสานกระบี่ทุกระดับชั้น แม้แต่ระดับบรรพบุรุษเมื่อเห็นมู่เส้าเฉินแล้ว เรียกได้ว่าให้ความเคารพยิ่งนัก ท่าทางเหมือนให้การต้อนรับนายน้อยของตนเองอย่างนั้น
“เพราะอะไรสุสานกระบี่ถึงต้องให้ความเคารพต่อมู่เส้าเฉินขนาดนี้?” มีผู้ถึงกับเอ่ยถามขึ้นเบาๆ เมื่อมองเห็นลักษณะการแสดงความเคารพดูจะเกินเลยไป
“ได้ยินว่าหลังจากที่มู่เส้าเฉินมาถึงเงินทองตกพื้นแล้ว ได้ค้นหาสุสานกระบี่ ที่สูญหายไปนานของสุสานกระบี่จนพบ มู่เส้าเฉินต้องการนำเคล็ดวิชากระบี่ที่สูญหายไปนานถ่ายทอดคืนให้กับสุสานกระบี่ สิ่งนี้กล่าวสำหรับสุสานกระบี่แล้วนับว่าบุญคุณยิ่งใหญ่ดั่งขุนเขา ดังนั้นทุกระดับชั้นของสุสานกระบี่จึงยินดีทำงานให้กับมู่เส้าเฉิน” ระดับบรรพบุรุษผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นเสียงแผ่วเบา
“ยอดเยี่ยมมาก มิน่าล่ะเรียกว่ามีพรสวรรค์ที่มีเพียงหนึ่งไม่มีสอง” ผู้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกหวั่นไหวในใจเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้
เวลานี้ มู่เส้าเฉินได้ก้าวลงมาจากรถศักดิ์สิทธิ์ช้าๆ ท่าทีสงบเยือกเย็นไม่สะทกสะท้าน ท่วงท่าเหมือนตนเองนั้นยืนอยู่สูงเด่น ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา
“ท่านผู้อาวุโสทั้งหลาย บังเอิญเส้าเฉินมีธุระกะทันหันทำให้ล่าช้า ขออภัยอย่างยิ่ง” มู่เส้าเฉินเอ่ยขึ้นช้า แม้ว่าเขาจะพูดเช่นนี้ แต่ ไม่มีความรู้สึกเสียใจแม้แต่น้อย
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร จอมมารที่ชื่อหลี่ชิเย่ยังไม่มาเลย” ในเวลานี้มีระดับบรรพบุรุษระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจำนวนไม่น้อยได้กล่าวคล้อยตามขึ้นมา
“ตามหลักแล้ว ระดับบรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิชั่วดีอย่างไรก็คือระดับเทพแท้จริงขั้นขึ้นสู่สวรรค์ เพราะอะไรถึงต้องประจบคนแซ่มู่ถึงเพียงนี้?” กลุ่มคนรุ่นใหม่บางคนไม่ยอมรับในตัวมู่เส้าเฉินอยู่แล้ว โดยเฉพาะยอดฝีมือกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีใจรักใคร่ในองค์หญิงของสำนักเป่าฉี และสาวหยกแห่งตระกูลขุนนางโบราณโอวหยางด้วยแล้ว ยิ่งมองมู่เส้าเฉินเป็นศัตรู
“ผลประโยชน์” มีระดับบรรพบุรุษที่เพ่งสายตาไปข้างหน้า และเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจำนวนไม่น้อย ไม่เพียงชื่อเสียงของตระกูลมู่จึงได้ทำเช่นนี้ ลำพังแค่สุดยอดพรสวรรค์ของนายน้อยมู่ก็คุ้มค่าให้ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจำนวนนับไม่ถ้วนต้องการดึงตัวเขามา นายน้อยมู่ที่มีพรสวรรค์ยากจะหาใดเทียม เรียกได้ว่าสะเทือนหวั่นไหวตั้งแต่โบราณกาล และยังคงเป็นเกียรติประวัติในปัจจุบัน หลายสิ่งหลายอย่างขอเพียงเขามองดูแวบหนึ่งก็สามารถบรรลุได้…”
“…ดูสิ ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิที่ใกลชิดกับนายน้อยมู่ล้วนแล้วแต่ได้รับผลประโยชน์เป็นกอบเป็นกำ เฉกเช่นสำนักเป่าฉีได้ให้นายน้อยมู่มองดูศิลาจารึกบรรพชน ก็สามารถค้นหาเคล็ดวิชาที่พวกเขาสูญหายไปกลับคืน สาวหยกแห่งตระกูลขุนนางโบราณได้รับการชี้แนะจากนายน้อยมู่ ก็ทำให้ทักษะยุทธก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว ได้ฝึกสุดยอดเคล็ดวิชา เรียกได้ว่าไม่รู้ว่ามีระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจำนวนเท่าไรที่ต้องการอาศัยสุดยอดพรสวรรค์ของนายน้อยมู่ เพื่อตามหาสุดยอดเคล็ดวิชาระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิของตนที่ได้หายสาบสูญไปคืนมา”
ครั้นระดับบรรพบุรุษผู้นี้เอ่ยมาถึงตรงนี้แล้วได้ทอดถอนใจเบาๆ ทีหนึ่งและกล่าวว่า “ด้วยพรสวรรค์เช่นนี้ถูกลิขิตไว้แล้วว่าจะต้องสุดยอดและไม่ธรรมดา ดูสุสานกระบี่นั่นสิ เวลานี้มิใช่ยินดีรับใช้เขา เนื่องจากนายน้อยมู่ค้นพบสุสานกระบี่ของพวกเขา จะถ่ายทอดสุดยอดเคล็ดวิชากระบี่คืนให้กับสุสานกระบี่ของพวกเขา ซึ่งกล่าวสำหรับสุสานกระบี่แล้ว มันคือความดึงดูดใจที่มากเหลือเกิน”
ในเวลานี้เอง บรรพบุรุษของสุสานกระบี่ได้ยกบัลลังก์กษัตริย์ตัวหนึ่งมาให้กับมู่เส้าเฉินด้วยตนเอง และบัลลังก์กษัตริย์ตัวนี้ยังถูกจัดวางให้อยู่บนยอดเขาที่สูงที่สุดลูกหนึ่ง มู่เส้าเฉินเองก็ไม่เกรงใจและนั่งลงที่นั่นโดยพลัน ท่าทีเช่นนี้เป็นการวางท่าทีเสมอเช่นเดียวกันกับนักพรตพเนจรหยางหมิง
หลายคนรู้สึกใจหายใจคว่ำเมื่อได้เห็นภาพนี้แล้ว มาดาของมู่เส้าเฉินนับว่ายิ่งใหญ่มากพอแล้ว เวลานี้พลันนั่งลงในตำแหน่งที่สูงเด่นเช่นนี้ ด้วยท่าทีเช่นนี้ เหมือนว่าเป็นผู้นำของแดนลัทธิพรรษอย่างนั้น
อิ้ววว…เสียงหนึ่งดังขึ้น นาทีนี้เอง เสียงร้องของนกอินทรีดังก้องทั่วฟ้าดิน ท้องฟ้าพลันมืดลง มองเห็นอินทรียักษ์ตัวหนึ่งที่บดบังท้องฟ้าเอาไว้
ขณะที่อินทรียักษ์ตัวนี้หุบปีกลง และยืนอยู่บนท้องฟ้าด้วยท่าทีที่ผยอง อยู่เหนือทุกๆ คน ไม่ว่าจะเป็นนักพรตพเนจรหยางหมิง หรือระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิอื่นๆ เมื่ออยู่ต่อหน้าอินทรียักษ์ตัวนี้ก็เหมือนอยู่ต่ำกว่าค่อนศีรษะ
เทพอินทรีหวินตู้…ผู้คนจำนวนมากต่างรู้สึกตกใจอย่างยิ่งเมื่อมองเห็นอินทรียักษ์ตัวนี้ ชั้นอมตะได้มาถึงแล้ว
เมื่อทุกคนมองเห็นอย่างชัดเจนนั้น เห็นเพียงบนตัวของอินทรียักษ์มีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ ผู้หญิงคนนี้ได้กระโดดลงจากหลังของอินทรียักษ์ ผู้หญิงคนนี้มีรูปโฉมงดงามหยาดเยิ้ม ทำให้ผู้คนต่างรู้สึกเป็นประกายตรงหน้า
‘องค์หญิงหวินตู้’ ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่ดวงตาทั้งสองเป็นประกายเมื่อมองเห็นผู้หญิงคนนี้ โดยเฉพาะผู้บำเพ็ญตนกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่รักใคร่ในตัวนาง ยิ่งมองดูจนประหนึ่งเมารัก
องค์หญิงหวินตู้สูงส่งงดงาม เมื่อนางกระโดดลงจากอินทรียักษ์แล้วไม่ได้สนใจผู้คนทั้งหลาย พลันที่มองเห็นมู่เส้าเฉินนางเผยรอยยิ้มดั่งบุปผา ถูกมู่เส้าเฉินดึงดูดเอาไว้ทันที
“พี่เฉินก็มาถึงแล้ว” องค์หญิงหวินตู้ที่มีรอยยิ้มเต็มใบหน้า ก้าวไปข้างหน้าและโค้งคำนับให้
“เพิ่งมาถึงเองเหมือนกัน” มู่เส้าเฉินเอื้อมมือจูงองค์หญิงหวินตู้ขึ้นมา ท่าทางของทั้งสองดูสนิทสนมยิ่งนัก
ในเวลานี้ ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่รู้สึกเหมือนสับสนว้าวุ่นในใจอย่างยิ่ง
“เทพอินทรีมาถึงแล้ว?” มู่เส้าเฉินยิ้มกล่าวพลาง
“ท่านบรรพบุรุษอยู่ที่นี่ตลอดเวลา ปรากฏตัวขึ้นได้ทันที” องค์หญิงหวินตู้มองดูมู่เส้าเฉินด้วยคู่สายตาที่เปี่ยมด้วยความรู้สึกรักใคร่
ผู้คนจำนวนไม่น้อยหันไปมองดูอินทรียักษ์ เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ อินทรียักษ์อยู่ตรงนี้ก็เท่ากับว่าเทพอินทรีหวินตู้อยู่ที่นี่ด้วย เขาสามารถปรากฏตัวได้ทุกเวลา
เมื่อมีชั้นอมตะมาบัญชาการที่ตรงนี้ ทำให้ผู้คนทั้งหมดถึงกับต้องกลั้นลมหายใจเอาไว้อย่างแท้จริง ทุกคนต่างมีท่าทางที่หนักแน่นจริงจัง
ต่อให้นักพรตพเนจรหยางหมิงเองก็มีท่าทีหนักแน่นจริงจังเช่นกัน
……………………………………………