เดินเข้าไปในตำหนัก แลดูโอ่อ่าตระการตาอย่างยิ่ง อีกทั้งภาพรวมการตกแต่งของตำหนักทั้งหลังนั้นดูสูงส่งยิ่งนัก หาใช่ผู้ที่ร่ำรวยภายในค่ำคืนเดียวที่สร้างขึ้นอาศัยวัสดุล้ำค่าและงดงามจำนวนมากสามารถเทียบเคียงได้ ลำพังแค่ภาพจิตรกรรมฝาผนังภาพหนึ่งภายในพระราชวัง ก็เพียงพอที่จะสยบตำหนักที่สร้างขึ้นโดยอาศัยเพชรนิลจินดาวิเศษและโลหะศักดิ์สิทธิ์มาเป็นวัสดุได้แล้ว
ภาพจิตรกรรมฝาผนังภาพนี้ได้บันทึกเรื่องราวผลงานของเจ้าของที่เคยเกรียงไกรไปทั่วหล้า
หลี่ชิเย่มีท่าทีที่เรียบเฉยกับการเดินทอดน่องอยู่ภายในตำหนักลักษณะเช่นนี้ เดินเอ้อระเหยเหมือนเดินเล่นอยู่ในสวนหลังบ้านของตนเอง ไม่รู้สึกแปลกใจแม้แต่น้อย ชื่นชมอยู่กับทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า
สุดท้าย ซุนหลึ่งหยิ่งได้นำหลี่ชิเย่เข้าไปในห้องบรรทมของฮ่องเต้ฮ่องเต้ ในนั้นมีผู้คอยปรนนิบัติรับใช้อยู่ไม่น้อย ภายในห้องเรียกว่าหรูหราฟุ่มเฟือยอย่างยิ่ง แค่หยิบเอาไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่มีการเลี่ยมเอาไว้ตามอารมณ์ก็สามารถนำไปขายได้ในราคาทีสูงลิ่ว
ครั้นเดินเข้าไปภายในห้องนี้ก็ปรากฏกลิ่นยาสมุนไพรที่โชยเข้ามาปะทะใบหน้า ขอเพียงเป็นผู้ที่มีความรู้พลันที่ได้กลิ่นยาสมุนไพรนี้แล้วก็จะรู้ว่ายาสมุนไพรเหล่านี้สะเทือนโลกมนุษย์อย่างแน่นอน เกรงจะเป็นยาเม็ดวิเศษที่ยอดเยี่ยมที่สุดในหล้า
บนเตียงนอนขนาดใหญ่ ผู้เฒ่าผู้หนึ่งกึ่งนั่งกึงนอนอยู่บนเตียง เตียงที่เขานอนนั้นทำมาจากไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่ล้ำค่ายิ่งนัก รองด้วยขนของนกหงส์วิเศษเก้าสี
ผู้เฒ่ากึ่งนั่งกึ่งนอนเอนตัวอยู่ตรงนั้น ที่คลุมบนตัวของเขาคือเมฆเซียนที่มีสีสันและเคลื่อนไหวได้ ทำให้แลดูไปแล้วตัวเขาเสมือนดั่งนอนอยู่บนก้อนเมฆอย่างนั้น เหมือนเป็นเซียนคนหนึ่ง
ผู้เฒ่าคนนี้มีรูปร่างสูงใหญ่ทรงพลังอำนาจและกล้าหาญ ถ้าหากเขาลุกขึ้นยืนล่ะก็ รูปร่างของเขาจะสูงกว่าผู้คนจำนวนมากราวครึ่งค่อนตัว แม้ว่าเส้นผมของเขาจะเป็นสีขาวเสียแล้ว แต่ก็เป็นสีขาวเงิน ขณะที่สยายปะบ่านั้นคล้ายเป็นเส้นไหมสีเงินอย่างนั้น
ผู้เฒ่าผู้นี้มีลักษณะตาโตปากกว้าง เสมือนหนึ่งเป็นสิงโตสีเงินเพศผู้ตัวหนึ่ง ทรงกำลังอำนาจยิ่งนัก ขณะที่นัยน์ตาคู่นั้นของเขาลืมตาขึ้น ดุจดั่งโลกที่ติดๆ ดับๆ อย่างนั้น เหมือนว่าเขาหลับตาลงก็คือพระอาทิตย์ตก ลืมตาคือพระอาทิตย์ขึ้น โลกทั้งใบขึ้นอยู่กับการหลับตาและลืมตากับดวงตาคู่นั้นของเขาเท่านั้น
ผู้เฒ่าที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ตรงนั้น เดิมทีตัวเขาที่ประดุจดั่งสิงโตเพศผู้ที่ทรงกำลงัอำนาจยิ่ง นาทีนี้กลับมีท่าทีที่มีลมหายใจแต่ไร้เรี่ยวแรงอย่างนั้น ให้ความรู้สึกผู้คนถึงชีวิตที่ใกล้มอดดับลงอย่างนั้น
“ฝ่าบาท พาแขกมาถึงแล้ว” เมื่อซุนหลึ่งหยิ่งพาหลี่ชิเย่เข้ามาในห้องแล้วได้โค้งคำนับทีหนึ่ง จากนั้นก็คล้ายดั่งเป็นเงาไปยืนอยู่ในที่ลับตา
ซุนหลึ่งหยิ่งมีชื่อเสียงบารมีที่น่าหวาดผวาอย่างยิ่งในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ กระทั่งมีผู้ยกย่องให้เขาเป็นฮ่องเต้ในความมืด ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่ชีวิตถูกกำไว้แน่นอยู่ในมือของเขา กระทั่งพูดได้อย่างเต็มปากว่า แค่เขาพลิกฝ่ามือก็สามารถทำลายสำนักเจ้าลัทธิหรือตระกูลขุนนางโบราณแห่งแล้วแห่งเล่า
กล่าวได้ว่าซุนหลึ่งหยิ่งคือผู้ทรงอำนาจบารมีในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ ไม่รู้ว่ามียอดคนจำนวนเท่าไรต้องก้มหัวให้กับเขา
ทั่วทั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ มีเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถทำให้ซุนหลึ่งหยิ่งต้องก้มโค้ง ต้องให้ความเคารพเช่นนี้ได้ คนผู้นั้นก็คือฮ่องเต้ไท่ชิง!
ฮ่องเต้ไท่ชิง ผู้ปกครองของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ ผู้กุมอำนาจของราชวงศ์โต่วเซิ่น เขาเป็นระดับอมตะที่ลึกล้ำยากจะหยั่งถึงคนหนึ่ง! ที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คือ เขายังมีบุตรีที่ได้ชื่อว่าปราศจากผู้ต่อกรในหล้าอีกคนหนึ่ง!
ซุนหลึ่งหยิ่งคือผู้ที่อยู่ในสถานะเช่นใด คือผู้ที่อยู่ในระดับอมตะ เป็นผู้ที่กำหนดความเป็นความตายให้กับผู้คนได้ แต่ทว่า เขากลับให้ความเคารพต่อฮ่องเต้ไท่ชิงถึงเพียงนี้ ย่อมสามารถจินตนาการได้ว่าฮ่องเต้ไท่ชิงนั้นมีความน่ากลัวเช่นใดแล้ว
ฮ่องเต้ไท่ชิงเป็นฮ่องเต้มาสามยุคสมัย เป็นฮ่องเต้ที่กุมอำนาจในราชวงศ์โต่วเซิ่นมายาวนานที่สุด กุมอำนาจราชวงศ์โต่วเซิ่นมาสามยุคสมัยเต็มๆ และปกครองระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่มาสามยุคสมัย
กระทั่งกล่าวได้ว่า ฮ่องเต้ไท่ชิงคือผู้ที่กุมอำนาจยาวนานที่สุดในแดนลัทธิราชัน แม้ว่าจะมีพวกหัวเก่ารุ่นลายครามบางส่วนที่ยังคงกุมอำนาจในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิของตนตลอดมา แต่ว่า บรรดาหัวเก่ารุ่นลายครามเหล่านี้ส่วนใหญ่จะถอยไปอยู่เบื้องหลัง ไม่ค่อยจะยุ่งกับเรื่องหยุมหยิมอีกต่อไป
แต่ฮ่องเต้ไท่ชิงนั้นแตกต่างกัน กุมอำนาจมาสามยุคสมัย อีกทั้งยังรวบอำนาจเอาไว้ทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว เป็นผู้ดำเนินกิจการของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่มาสามยุคสมัยไม่ว่าเรื่องใหญ่หรือเรื่องเล็ก ด้วยเหตุนี้เอง อำจานของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่จึงอยู่ในมือของฮ่องเต้ไท่ชิงอย่างแน่นหนาตลอดระยะเวลาสามยุคสมัยที่ผ่านมา
ฮ่องเต้ไท่ชิงได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในฮ่องเต้ขั้นอมตะที่ยากจะหยั่งถึงมากที่สุดในแดนลัทธิราชัน เขาเป็นฮ่องเต้มาสามยุคสมัย กุมอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ ไม่มีใครสามารถสั่นคลอนได้แม้แต่น้อยนิด
ด้วยเหตุนี้เอง ภายใต้การปกครองของฮ่องเต้ไท่ชิง ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ดั่งพระอาทิตย์ที่ขึ้นอยู่กลางหาว กระทั่งจะล้ำหน้าฝั่งของตระกูลมู่
มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่เห็นว่า การที่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่มีฐานะในวันนี้ได้ ก็เพราะการเป็นฮ่องเต้มาสามยุคสมัยของฮ่องเต้ไท่ชิง!
เวลานี้ฮ่องเต้ไท่ชิงลืมตาทั้งสองข้างจ้องมองดูหลี่ชิเย่ และกล่าวว่า “มีแขกมาเยือน ข้าไม่สามารถลุกขึ้นมาให้การต้อนรับ เสียมารยาทแล้ว”
ใบหน้าของฮ่องเต้ไท่ชิงปรากฏเป็นสีแดงเลือดฝาดขึ้นมาเมื่อพูดคำๆ นี้ออกมา เหมือนว่าการพูดคำนี้ออกมาก็ทำให้เหนื่อยมากอย่างนั้น และเหมือนสีหน้าที่ดูดีขึ้นสำหรับคนที่ใกล้จะตาย
“เกรงใจไปแล้ว ข้ากำลังหลงทางอยู่พอดี” หลี่ชิเย่หัวเราะ และนั่งอยู่ที่ตรงนั้นตามอารมณ์ยิ่ง
การที่หลี่ชิเย่นั่งลงอย่างตามอารมณ์เช่นนี้ ทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ถวายปรนนิบัติฮ่องเต้ไท่ชิงต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง อย่าว่าแต่ที่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่เลย แม้แต่ทั่วทั้งแดนลัทธิราชันก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มีสิทธิ์ได้นั่งลงต่อหน้าฝ่าบาทของพวกเขา
ฮ่องเต้ไท่ชิงอดที่จะมองหน้าหลี่ชิเย่อีกครั้ง แววตาที่ออกมาจากนัยน์ตาทั้งสองของเขาคล้ายดั่งเป็นแสงไฟเพียงริบหรี่ของเทียนไขที่กำลังไหม้จนจะมอดอยู่แล้ว โอนเอนไปมาในยามค่ำคืน เหมือนว่าพร้อมจะดับลงหากแม้มีสายลมที่พัดโชยมาแผ่วเบา
“ข้ามีนามว่าไท่ชิง ไม่ทราบว่าท่านมีนามว่ากระใด?” หลังจากที่ฮ่องเต้ไท่ชิงพูดคำๆ นี้ออกมาแล้วเหมือนมีลมหายใจแต่ไร้เรี่ยวแรง หลับตาลง ราวกับว่าเขาพูดคำพูดออกมาคำหนึ่งก็ต้องพักผ่อนสักครู่หนึ่ง
ในแดนลัทธิราชัน แม้ผู้ที่ไม่เคยได้พบเห็นฮ่องเต้ไท่ชิงมาก่อน เมื่อได้ยินคำว่า ‘ไท่ชิง’ สองคำนี้ก็ต้องรู้ว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้าเป็นผู้ใดแล้ว ในแดนลัทธิราชันจะมีสักกี่คนที่ไม่เคยได้ยินชื่อ ‘ฮ่องเต้ไท่ชิง’ ที่มีอำนาจบารมีสูงสุดกันเล่า? เมื่อไรที่ทราบว่าผู้เฒ่าตรงหน้าก็คือฮ่องเต้ไท่ชิงล่ะก็ อย่าว่าแต่ยอดฝีมือทั่วไป แม้แต่ระดับเทพแท้จริงขั้นขึ้นสู่สวรรค์ก็ต้องตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ
ฮ่องเต้ไท่ชิงผู้ซึ่งเป็นที่หวั่นเกรงแม้แต่ระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนอื่นอีกแลย
แต่ว่าปฏิกิริยาโต้ตอบของหลี่ชิเย่นั้นเรียบเฉยมาก ฉายา ‘ฮ่องเต้ไท่ชิง’ ที่เขาได้ยินมันไม่ได้แตกต่างอะไรจากนายหมูนายหมาสักเท่าไร
‘หลี่ชิเย่’ หลี่ชิเย่แจ้งชื่อของตนออกไปด้วยท่าทีเรียบเฉย สำหรับ ‘ฮ่องเต้ไท่ชิง’ นั้นไม่ได้มีความรู้สึกแปลกประหลาดแต่อย่างใด
“ชื่อเพราะมาก ชื่อเพราะมาก ชื่อเพราะมาก” เวลานี้ฮ่องเต้ไท่ชิงได้ลืมตาขึ้นและกล่าวชมสามครั้งรวด เหมือนว่าตื่นเต้นดีใจยิ่งอย่างนั้น ดุจดั่งชื่อนี้เพราะมากจริงๆ
แน่นอน หลี่ชิเย่มีท่าเรียบเฉยไม่หวั่นไหวสำหรับท่าทางที่ตื่นเต้นของฮ่องเต้ไท่ชิง เพียงนั่งเงียบสงบอยู่ที่ตรงนั้น
“ฝ่าบาท พระวรกายไม่สู้จะดีนัก สมควรพักผ่อนให้มากอย่าหักโหม” เวลานี้ซุนหลึ่งหยิ่งได้โค้งคำนับต่อฮ่องเต้ไท่ชิง กราบทูลด้วยท่าทีเคารพยิ่ง
“ก็ใช่” ฮ่องเต้ไท่ชิงพยักหน้า และกล่าวต่อหลี่ชิเย่ว่า “การได้รู้จักกันก็นับเป็นวาสนา มาเป็นแขกที่ราชสำนักก็ข้าเป็นไร?” ในขณะนี้เขาได้เอ่ยคำเชื้อเชิญต่อหลี่ชิเย่
ถ้าหากเปลี่ยนเป็นคนอื่นและสามารถได้รับคำเชิญจากฮ่องเต้ไท่ชิงเช่นนี้ นับเป็นเกียรติสูงส่ง เกรงว่าคงดีใจเป็นที่สุด
ขณะที่หลี่ชิเย่เรียบเฉยสบายๆ กล่าวตามอารมณ์ว่า “ไฉนจะไม่ได้เล่า พอดีกำลังว่างอยู่ ก็ไปสักครั้งก็แล้วกัน”
“ดีมาก…” ฮ่องเต้ไท่ชิงพยักหน้าด้วยความพอใจยิ่ง สั่งการผู้รับใช้ข้างกายว่า “ดูแลสหายน้อยให้ดี อย่าได้ขาดตกบกพร่องแม้แต่น้อย”
คนรับใช้รีบคำนับด้วยความเคารพ จากนั้นพูดด้วยน้ำเสียงที่เคารพยิ่งต่อหลี่ชิเย่ว่า “คุณชาย เชิญตามข้ามา”
หลี่ชิเย่เพียงพยักหน้าไปตามอารมณ์ จากนั้นติดตามคนรับใช้จากไป
หลังจากที่หลี่ชิเย่จากไปแล้ว ภายในห้องเงียบสงัด เหมือนว่าเวลาได้หยุดนิ่งลงอย่างนั้น
“ฝ่าบาท…” ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้ว ซุนหลึ่งหยิ่งได้พูดขึ้น
ฮ่องเต้ไท่ชิงที่คล้ายนอนหลับไปแล้วได้ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ท่าทางเหมือนมีลมหายใจแต่ไร้เรี่ยวแรง และกล่าวว่า “เวลาของข้าเหลืออยู่ไม่มากแล้ว ได้เวลาสมควรแต่งตั้งผู้สืบทอดได้แล้ว”
“เรื่องนี้…” ซุนหลึ่งหยิ่งถึงกับนิ่งเงียบอยู่พักหนึ่ง
“หลึ่งหยิ่ง ข้ารู้นะว่าเจ้าอยากจะพูดอะไร” ฮ่องเต้ไท่ชิงเผยรอยยิ้มออกมา และกล่าวว่า “เรื่องบางเรื่องเมื่อพบเจอก็คือวาสนาอย่างหนึ่ง เจ้าว่าอย่างนั้นไหม”
ซุนหลึ่งหยิ่งนิ่งเงียบไม่ตอบ เสมือนดั่งเป็นเงาสายหนึ่งยืนอยู่บริเวณมุมมืด เหมือนว่าเขาได้หลอมรวมเข้ากับความมืด ไม่มีใครสามารถพบเห็นตัวของเขาได้
“พรุ่งนี้ออกเดินทางให้เร็วหน่อย ข้าสมควรกลับไปได้แล้ว ต่อให้ต้องตาย ข้าก็ควรตายอยู่ในราชสำนัก” สุดท้าย ฮ่องเต้ไท่ชิงที่มีลมหายใจแต่ไร้เรี่ยวแรงเมื่อพูดจบคำก็ไม่มีเสียงอีกเลย เหมือนว่าได้เข้าสู่การนอนหลับสนิทไปแล้วอย่างนั้น
ขณะที่ซุนหลึ่งหยิ่งยืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ เหมือนว่าไม่มีตัวตนอย่างนั้น เขาคือเงาสายหนึ่ง และไม่ใช่เงาของตนเอง แต่เป็นเงาของฮ่องเต้ไท่ชิง!
ถ้าหากจะกล่าวว่า ขณะที่ฮ่องเต้ไท่ชิงเข้าบรรทม ใครบ้างที่มีสิทธิ์ยืนอยู่ข้างกายของเขา คนๆ นั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากซุนหลึ่งหยิ่ง
หากจะกล่าวว่า ขณะที่ฮ่องเต้ไท่ชิงเข้าบรรทม หนึ่งเดียวที่ไม่ต้องระวังเลย คนๆ นั้นเป็นใครไปไม่ได้นอกจากซุนหลึ่งหยิ่ง!
ฮ่องเต้ไท่ชิงเคยเป็นฮ่องเต้มาสามยุคสมัย ผ่านมรสุมมานับไม่ถ้วน และไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่ต้องการเล่นงานเขาถึงตาย และเคยมีนักฆ่าที่ลอบแฝงกายมาอยู่ข้างกายเขา กล่าวได้วว่า ในโลกนี้น้อยคนนักที่สามารถทำให้ฮ่องเต้ไท่ชิงไว้ใจ
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผู้ที่สามารถทำให้ฮ่องเต้ไท่ชิงไว้ใจได้เด็ดขาด ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่มีเพียงผู้เดียวเท่านั้น นั่นก็คือซุนหลึ่งหยิ่ง!
เป็นที่รับรู้กันของผู้คนทั่วหล้า ซุนหลึ่งหยิ่งก็คือเงาของฮ่องเต้ไท่ชิง ฮ่องเต้ไท่ชิงเสด็จไปถึงไหนเขาก็จะตามเสด็จไปถึงที่นั่น! อีกทั้งเขาคือองครักษ์ผู้พร้อมพลีชีพของฮ่องเต้ไท่ชิง เป็นองครักษ์ที่มีความกล้าหาญมากด้วยพลัง ตลอดระยะเวลาสามยุคสมัยที่ผ่านมา ซุนหลึ่งหยิ่งมีความภักดีต่อฮ่องเต้ไท่ชิงมาโดยตลอด
ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ กระทั่งทั่วทั้งแดนลัทธิราชัน เคยมีผู้กล่าวเอาไว้ว่า ในโลกนี้ไม่ว่าใครก็สามารถทรยศต่อฮ่องเต้ไท่ชิงได้ แต่ว่า มีคนผู้หนึ่งที่ไม่ทรยศต่อฮ่องเต้ไท่ชิงเด็ดขาด คนผู้นั้นก็คือซุนหลึ่งหยิ่ง!
เล่าลือกันว่า ในขณะที่ฮ่องเต้ไท่ชิงยังอยู่ในวัยหนุม ซุนหลึ่งหยิ่งก็ติดตามฮ่องเต้ไท่ชิงแล้ว เขาคือเด็กรับใช้ขณะเรียนหนังสือของฮ่องเต้ไท่ชิง เขาติดตามฮ่องเต้ไท่ชิงมาชั่วชีวิต และภักดีต่อฮ่องเต้ไท่ชิงมาชั่วชีวิต
ดังนั้น ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ ซุนหลึ่งหยิ่งไม่เพียงเป็นเงาของฮ่องเต้ไท่ชิง ไม่เพียงเป็นคนสนิทของฮ่องเต้ไท่ชิง ไม่เพียงเป็นองครักษ์ที่พร้อมพลีชีพของฮ่องเต้ไท่ชิงเท่านั้น ยังเป็นผู้ที่ดำเนินการตามคำบัญชาที่เคร่งครัดที่สุดของฮ่องเต้ไท่ชิง
เมื่อมีผู้ที่ได้ฟังคำบัญชาหรือทรยศต่อฮ่องเต้ไท่ชิง ในเวลานี้ก็จะเป็นห้วงเวลาที่ซุนหลึ่งหยิ่งจะปฏิบัติการ เพื่อดำเนินการตามคำบัญชาของฮ่องเต้ไท่ชิง ซุนหลึ่งหยิ่งมักจะอาศัยวิธีการที่แข็งกร้าวไร้ความปราณีอยู่เสมอๆ
ลองนึกภาพดู การที่ฮ่องเต้ไท่ชิงเป็นฮ่องเต้มาสามยุคสมัย มีผู้คนจำนวนเท่าไรที่มองว่าเป็นหนามในอก มีผู้คนจำนวนเท่าไรที่ต้องการโค่นล้มเขา! ในช่วงระยะเวลาสามยุคสมัยนี้ มีสำนักเจ้าลัทธิจำนวนเท่าไรที่ทรยศต่อฮ่องเต้ไท่ชิง
ดังนั้น เวลานี้มักจะเป็นช่วงเวลาที่ซุนหลึ่งหยิ่งปรากฏตัวขึ้น เขาอาศัยวิธีการที่แข็งกร้าวไร้ความปราณีกวาดล้างทุกอย่างจนราบคาบ ผู้ใดที่ส่งผลเสียต่อฮ่องเต้ไท่ชิง ล้วนแล้วแต่ถูกซุนหลึ่งหยิ่งกำจัดจนสิ้น!
ด้วยเหตุนี้เอง ความเป็นผู้เยือกเย็นแข็งกร้างไร้ความปราณีของซุนหลึ่งหยิ่ง จึงโด่งดังไปทั่วแดนลัทธิราชัน ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไร สำนักเจ้าลัทธิและตระกูลขุนนางโบราณเท่าไรที่ต้องตายภายใต้เงื้อมมือของซุนหลึ่งหยิ่ง
อาจกล่าวได้ว่า มือทั้งสองของซุนหลึ่งหยิ่งเต็มไปด้วยเลือด เขาก็คือเพชฆาตของฮ่องเต้ไท่ชิง! เขาก็คือกระบี่ที่คมกริบเล่มหนึ่งในมือของฮ่องเต้ไท่ชิง!
……………………………………………………