บรรดาเหล่าบรรพบุรุษ และศิษย์ของสำนักเสินสิงเหมินที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างรู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึง ไม่เคยมีใครสามารถสั่นคลอนต่อศิลาจารึกไร้อักษรได้มาก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการคว้าเอาศิลาจารึกไร้อักษรขึ้นมา
แต่ว่า หลี่ชิเย่กลับสามารถคว้าเอาศิลาจารึกไร้อักษรขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งยังใช้เป็นอาวุธต้านค้อนนั้นที่ทุบลงมาได้ สร้างความหวั่นไหวให้กับทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์
นับตั้งแต่ศิลาจารึกไร้อักษรถูกราชันแท้จริงเสินสิง ปฐมบรรพบุรุษของสำนักเสินสิงเหมินนำมาตั้งเอาไว้ที่ตรงนี้แล้ว ก็ไม่มีใครรับรู้อีกเลยถึงประโยชน์ของศิลาจารึกแผ่นนี้ และไม่มีใครรับรู้ถึงประโยชน์ที่แท้จริง ไม่รู้ถึงความลึกซึ้งยอดเยี่ยมของศิลาจารึกนี้อีก ไม่นึกไม่ฝันเลยว่า หลี่ชิเย่ที่เป็นเพียงบุคคลภายนอกคนหนึ่งกลับคว้าเอาศิลาจารึกไร้อักษรแผ่นนี้มาไว้ในมือได้ยอ่างง่ายดาย มันเป็นเรื่องที่ผู้คนไม่สามรารถจินตนาการได้อยู่แล้ว
ในเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นบรรพบุรุษสำนักเสินสิงเหมิน หรือว่าศิษย์ของสำนักเสินสิงเหมินทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างอ้าปากกว้างค้างอยู่อย่างนั้นไม่สามารถหุบลงได้อยู่เป็นเวลานาน
จังหวะที่ทุกคนกำลังเหม่อลอยอยู่นั้นเสียงปังดังสนั่นเกิดขึ้น ศิลาจารึกไร้อักษรในมือของหลี่ชิเย่สะเทือนหวั่นไหวทีหนึ่งและบดขยี้เข้าหาระดับบรรพบุรุษผู้นั้นโดยตรง
ท่ามกลางเสียงปังที่ดังสนั่นหวั่นไหว ค้อนยักษ์พลันถูกพลังที่สะเทือนนั่นทำให้แหลกละเอียดไป และศิลาจารึกไร้อักษรก็คล้ายดั่งเป็นภูเขาขนาดยักษ์ที่สยบเข้าหาบรรพบุรุษผู้นั้น
อ๊ากกกเสียงร้องที่น่าเวทนาดังขึ้น ระดับบรรพบุรุษผู้นี้ไม่สามารถขัดขืนต่อต้านได้เลยภายใต้ศิลาจารึกไร้อักษรแผ่นนี้ เหมือนว่าศิลาจารึกไร้อักษรแผ่นนี้มีพลังสยบฟ้าอยู่ในตัว ไม่ว่าใครก็ตามล้วนแล้วแต่ไม่สามารถหลบหนีไปได้ภายใต้การสยบและปราบปรามของศิลาจารึกไร้อักษร ภายใต้เสียงร้องที่น่าเวทนา ได้ยินเสียงปุดังขึ้น ระดับบรรพบุรุษผู้นี้ถูกสยบจนกลายเป็นหมอกเลือดไป
มดปลวกฝูงหนึ่งเท่านั้นเอง…หลี่ชิเย่ที่กำศิลาจารึกไร้อักษรในมือกล่าวเอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหมือนว่าเวลานี้เขาได้ทำเรื่องที่ไม่คู่ควรจะกล่าวถึงเรื่องหนึ่งไปอย่างนั้น
เรื่องทำนองนี้กล่าวสำหรับหลี่ชิเย่แล้ว มันเป็นเรื่องที่เล็กน้อยมากไม่คู่ควรจะกล่าวถึง แต่ทว่า กล่าวสำหรับสำนักเสินสิงเหมินทั้งสำนักแล้ว มันสะเทือนหวั่นไหวไปทั้งสำนักโดยสิ้นเชิง
ฆ่า…เมื่อเทียนเฮ่อเจินเหรินได้สติกลับมาแล้ว พวกเขาต่างมองตากันและกัน พริบตาเดียวนั่นเองพวกเขาต่างรู้สึกถึงความน่ากลัว นาทีนี้เองภายในใจของพวกเขาล้วนแล้วแต่ผุดความคิดหนึ่งขึ้นมา หลี่ชิเย่ที่อยู่ตรงหน้าเอาไว้ไม่ได้!
เสียงตูมดังสนั่นขึ้นมาเสียงหนึ่ง พื้นดินสั่นภูเขาคลอน ตำหนักและห้องหอขนาดใหญ่แต่ละหลังแตกละเอียด เศษหินดินทรายกระเด็นกระดอน ในเสี้ยววินาทีนี้เอง เทียนเฮ่อเจินเหรินและเหล่าบรรพบุรุษได้ลงมือพร้อมกัน ด้วยการสำแดงกระบวนท่าการโจมตีที่แกร่งที่สุดของตนออกมา
ในเสี้ยววินาทีนี้ มองเห็นอาวุธที่ทรงพลังแต่ละชิ้นที่พุ่งขึ้นมาอย่างรุนแรง เข้าโจมตีหลี่ชิเย่อย่างหนักหน่วง นาทีนี้ฟ้าถล่มดินทลาย การสังหารรุนแรง พวกของเทียนเฮ่อเจินเหรินต่างถูกทำให้ตกใจ ดังนั้นปฏิกิริยาตอบโต้แรกก็คือต้องอาศัยการโจมตีที่แกร่งและทรงพลังที่สุดเข้าสยบและสังหารหลี่ชิเย่เสีย หาไม่แล้วพวกเขาก็จะต้องพบกับการถูกทำลายพินาศย่อยยับ
“ไม่เจียมตน” หลี่ชิเย่หัวเราะบางๆ ศิลาจารึกไร้อักษรในมือสั่นสะเทือนทีหนึ่ง ได้ยินเสียงดังปังขึ้นมา ศิลาจารึกไร้อักษรในมือก็เสมือนดั่งเป็นอุกาบาตรจากนอกโลกที่พุ่งโจมตีลงมาอย่างรุนแรง ศิลาจารึกไร้อักษรส่งเสียงตูมเข้าโจมตีอย่างบ้าคลั่ง เหมือนสยบสังหารไปทั่วทุกแห่ง
ปัง ปัง ปัง…เสียงแตกละเอียดดังขึ้นมาเป็นระลอก ภายใต้การโจมตีของศิลาจารึกไร้อักษร มองเห็นอาวุธของเทียนเฮ่อเจินเหรินกับบรรดาเหล่าบรรพบุรุษทั้งหลายทยอยกันแตกละเอียดไป ไม่สามารถต้านทานได้กับการโจมตีของศิลาจารึกไร้อักษรได้อยู่แล้ว
สุดท้าย ได้ยินเสียงปังที่ดังสนั่นหวั่นไหวขึ้นมา ศิลาจารึกไร้อักษรเสมือนหนึ่งได้โจมตีลงบนพื้นดินอย่างแรง ท่ามกลางเสียงดังสนั่นเสียงนี้นั้น เทียนเฮ่อเจินเหรินและบรรดาบรรพบุรุษทั้งหมดของสำนักเสินสิงเหมินล้วนแล้วแต่ถูกสยบคลานอยู่บนพื้นดิน ถูกสยบเอาไว้อย่างสิ้นเชิง
ในขณะนี้ เทียนเฮ่อเจินเหรินและเหล่าบรรพบุรุษทั้งหมดของสำนักเสินสิงเหมินล้วนแล้วแต่คว่ำหน้าอยู่กับพื้น บนตัวของพวกเขาเสมือนดั่งมีภูเขานับแสนลูกที่กดทับร่างเอาไว้ ขยับเขยื้อนตัวไม่ได้ กระทั่งนิ้วมือนิ้วหนึ่งก็ขยับไม่ได้ พวกเขาถูกสยบเอาไว้อย่างสิ้นเชิง
“ข้าควรจะฆ่าพวกเจ้าอย่างไรดีนะ? ฆ่าด้วยการถลกหนัง? หรือว่าเลาะเอาเส้นเอ็นออกมา? ” หลี่ชิเย่ถึงกับยิ้มแต้กล่าวกับพวกของเทียนเฮ่อเจินเหรินที่ถูกสยบอยู่บนพื้นดิน
เจ้ากล้า…ศิษย์จำนวนไม่น้อยของสำนักเสินสิงเหมินที่อยู่ด้านนอกประตูตระหนกและส่งเสียงดังขึ้นมาพร้อมกัน เสียงตึง ตึง ตึงดังขึ้น ศิษย์ของสำนักเสินสิงเหมินจำนวนไม่น้อยพลันชักกระบี่และบุกเข้าสังหารหลี่ชิเย่
บรรดาศิษย์ของสำนักเสินสิงเหมินร้อนรนต้องการช่วยคนจึงไม่ได้คิดอะไรมากมาย เมื่อเห็นอาจารย์และเหล่าระดับบรรพบุรุษมีภัย จึงชักดาบบุกขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือในทันที
น่านับถือในความกล้าหาญ เสียดายไม่เจียมตน” หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมยทีหนึ่งเมื่อมองเห็นศิษย์เหล่านี้ที่ชักกระบี่แล้วลุยเข้ามา เพียงดีดนิ้วทีหนึ่งได้ยินเสียงปังดังขึ้น กระบี่ยาวของศิษย์เหล่านี้ทั้งหมดล้วนแล้วแต่แตกละเอียดไปสิ้น ติดตามด้วยเสียงป๊าบดังขึ้นมาเสียงหนึ่ง บรรดาศิษย์เหล่านี้กระอักเลือดออกมาอย่างแรง ร่างกายของพวกเขาถูกทุ่มลงกับพื้นและทับด้วยภูเขาลูกหนึ่งอยู่บนตัว ทำให้พวกเขาไม่สามารถกระดิกตัวได้ และไม่สามารถลุกขึ้นมาได้อีกแล้ว
แค่ขยับตัวนิดหน่อยก็จัดการสยบบรรดาระดับบรรพบุรุษที่อยู่ในเหตุการณ์ได้ทั้งหมด สำหรับศิษย์ของสำนักเสินสิงเหมินนั้นในมือของหลี่ชิเย่ไม่คู่ควรจะกล่าวถึงด้วยซ้ำ
เวลานี้ทุกคนรู้สึกถึงความหวาดกลัวอย่างที่สุด เนื่องจากความน่ากลัวของหลี่ชิเย่อยู่เหนือความคาดคิดของพวกเขาเป็นอันมาก
ก่อนหน้านี้ พวกเขาต่างเข้าใจว่าหลี่ชิเย่เป็นเพียงฮ่องแต้ชั่วที่เหลวไหลไร้ความสามารถคนหนึ่งเท่านั้น ทักษะยุทธนั้นอ่อนจนมองข้ามไปได้เลย ไม่คู่ควรจะกล่าวถึง แต่ทว่า เวลานี้พลันที่เขาลงมือก็สามารถสยบเหล่าบรรพบุรุษได้อย่างง่ายดาย สิ่งนี้ช่างน่ากลัวเหลือเกิน
นาทีนี้ ความหวาดกลัวได้แผ่ขยายอยู่ในใจของพวกเขาไปทั่ว ในเวลานี้พวกเขาจึงได้ตระหนักอย่างแท้จริงถึงความน่ากลัวของหลี่ชิเย่ มิน่าเล่าก่อนหน้านั้นหลี่ชิเย่ถึงได้มองพวกเขาเป็นเพียงมดปลวกมาโดยตลอด เวลานี้พวกเขาจึงได้รู้ว่าเมื่อเปรียบกับหลี่ชิเย่แล้วพวกเขาเป็นได้แค่มดปลวกโดยแท้จริง
ในเวลานี้เอง เทียนเฮ่อเจินเหรินหนาวสะท้านไปทั่วร่าง หวาดหวั่นพรั่นพรึงจนขนลุกซู่ เนื่องจากพวกเขาตระหนักได้ว่า การที่หลี่ชิเย่จะทำลายสำนักเสินสิงเหมินของพวกเขานั้นหาใช่เป็นเรื่องยาก
“คิดจะหนีรึ? ” หลี่ชิเย่เพียงยิ้มเฉยเมย เมื่อเห็นธิดาศักดิ์สิทธิ์เฟยฮวาที่ยืนอยู่ข้างๆ ไม่ได้ลงมือและมีสีหน้าที่ซีดเผือด แววตาส่อให้เห็นถึงความหวาดกลัว ตะลึงงันจนก้าวถอยหลังติดต่อกัน และหันหลังคิดจะหนีไป
ในขณะนี้ หลี่ชิเย่เพียงกวักมือเท่านั้น ธิดาศักดิ์สิทธิ์เฟยฮวาที่กำลังคิดจะหลบหนีพลันไม่สามารถบังคับตัวเองได้ ถูกสยบจนเคลื่อนไหวไม่ได้ และร่างของนางก็ลอยเข้าหาหลี่ชิเย่
เพียงชั่วพริบตาเดียวธิดาศักดิ์สิทธิ์เฟยฮวาก็ถูกหลี่ชิเย่จับตัวเอาไว้ในมือ ทำเอาธิดาศักดิ์สิทธิ์เฟยฮวาตกใจจนใบหน้าซีดเผือด เผยให้เห็นถึงความหวาดกลัวขึ้นมาโดยพลัน
“เมื่อครู่เจ้าทำเชิดใส่มิใช่รึ? ” หลี่ชิเย่กล่าวด้วยท่าทีเฉยเมยว่า “ถ้าหากเวลานี้ข้าจะทำอะไรเจ้า เจ้าคิดว่ามีใครช่วยเจ้าได้รึ? ”
เจ้า เจ้า เจ้ากล้า…ธิดาศักดิ์สิทธิ์เฟยฮวาหวาดหวั่นพรั่นพรึงจนขนลุกซู่ ถึงกับสั่นเทิ้มขึ้นและร้องเสียงแหลมขึ้นมา
“โลกนี้สิ่งที่ข้าไม่กล้าทำยังหาไม่ได้จริงๆ ” หลี่ชิเย่เผยรอยยิ้มที่เต็มใบหน้าขึ้นมา ได้ยินเสียงดังแค่วกกกขึ้นมาเสียงหนึ่ง เสื้อของธิดาศักดิ์สิทธิ์เฟยฮวาพลันถูกหลี่ชิเย่ฉีกขาด ในเวลานี้เผยให้เห็นถึงเสื้อที่สวมหุ้มอยู่ภายใน เสื้อหุ้มแนบเนื้อสีชมพูอ่อนได้ปิดบังเนื้อหนังส่วนใหญ่เอาไว้ แต่ว่า เนื้อหนังที่ขาวพราวพร่างดั่งหิมะวับๆ แวมๆ ดูจะเซ็กซี่เป็นยิ่งนัก
อกที่ชูชันของนางดูกลมกลึงอย่างยิ่ง เวลานี้เสื้อแนบเนื้อไม่สามารถห่อหุ้มเอาไว้ได้ทั้งหมด เหมือนกำลังจะโผล่ออกมาอยู่รอมล่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเม็ดสีแดงเรื่อๆ ที่อยู่ปลายถันนั้นชูชันขึ้นมา สามารถมองเห็นดั่งเป็นสตรอเบอรี่ผลเล็กๆ สองผล ซึ่งอวบอิ่มสุกงอมเต็มไปด้วยความเย้ายวน ทำให้อยากจะกัดกินสักคำ
หลี่ชิเย่ในขณะนี้หาได้เกรงใจไม่ ยื่นมือลอดเข้าไปใต้เสื้อแนบเนื้อนั่น คลึงเล่นสิ่งนั้นที่กลมกลึงนุ่มนิ่มซึ่งอยู่ใต้เสื้อผ้าอย่างมันมือ ธิดาศักดิ์สิทธิ์เฟยฮวาที่เป็นสาวเป็นแส้ไหนเลยจะเคยถูกคนเขาล่วงเกินมาก่อน ทำให้lbj’กลมกลึงนุ่มนิ่มภายใต้การคลึงเล่นดูจะชูชันมากยิ่งขึ้น และเย้ายวนใจมากขึ้น
ไม่…ในเวลานี้ธิดาศักดิ์สิทธิ์เฟยฮวาร้องเสียงดังขึ้นมา นางไม่เคยถูกบุรุษล่วงเกินเช่นนี้มาก่อน ยิ่งไปกว่านั้น ยังอยู่ต่อหน้าธารกำนัลอีกด้วย
เจ้า เจ้า เจ้าไม่ได้ตายดีแน่…เทียนเฮ่อเจินเหรินถึงกับร้องเสียงแหลมขึ้นมา เมื่อเห็นหลี่ชิเย่ทำการล่วงเกินบุตรีของตนต่อหน้าผู้คนเช่นนี้
“หุบปาก” หลี่ชิเย่เพียงดีดนิ้วเบาๆ ทีหนึ่ง เสียงเพี๊ยะดังขึ้นมาเสียงหนึ่ง เทียนเฮ่อเจินเหรินถูกตบหน้าเข้าให้อย่างแรงจนกระอักเลือดสดๆ ออกมาอย่างแรง
หลี่ชิเย่ขี้คร้านจะไปมองดูธิดาศักดิ์สิทธิ์เฟยฮวา ยิ้มเฉยเมยและหลี่ชิเย่ “แค่ผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้นเอง ถึงกับให้ความสำคัญตนเองขนาดนี้เลยหรือเนี่ย ข้าหลี่ชิเย่หากต้องการผู้หญิงสักคนจริงๆ ล่ะก็ แค่กระดิกนิ้วทีหนึ่ง เทพธิดายังต้องพาตัวเองขึ้นมาบนเตียง ขอเพียงข้าต้องการ สามารถจัดการกับเจ้าได้ทุกที่ทุกเวลา เจ้ายังเข้าใจว่าตนเองนั้นเป็นองค์หญิงที่สูงส่งนะเนี่ย? ต่อให้เป็นองค์หญิงที่สูงส่งเมื่ออยู่ต่อหน้าข้าแล้วก็ไม่มีค่าคู่ควรจะกล่าวถึงแม้แต่น้อยนิด”
ธิดาศักดิ์สิทธิ์เฟยฮวาถูกทำให้ตกใจจนตัวสั่นเทาน้ำตาไหลพราก น้ำตาได้ไหลรินออกมาอย่างไร้ซุ่มไร้เสียง เวลานี้นางไม่กล้าแม้แต่จะร้องไห้ ถูกทำให้ตื่นตระหนกไปโดยสิ้นเชิง
ฝ่า ฝ่า ฝ่าบาท…ในที่สุด จางเจี้ยนชวนที่ยืนอยู่ด้านข้างมาโดยตลอดได้คุกเข่าลงกับพื้น ร่างสั่นเทาทีหนึ่ง และส่งเสียงขอความเมตตาออกมาแผ่วเบา
“ทำไมรึ คิดจะขอความเมตตาจากข้าอย่างนั้นรึ? ” เมื่อหลี่ชิเย่เห็นจางเจี้ยนชวนคุกเข่ากับพื้น จึงยิ้มออกมาตามอารมณ์ทีหนึ่ง
“ข้าน้อย ข้าน้อยกำเนิดจากสำนักเสินสิงเหมิน สำนักเสินสิงเหมินก็ ก็คือบ้านของข้า” แม้แต่จางเจี้ยนชวนก็ยังต้องร้องขอให้อภัยเสียงแผ่วเบาด้วยท่าทีที่สั่นเทา
ในที่เกิดเหตุมีเพียงจางเจี้ยนชวนเท่านั้นที่มีสิทธิ์ร้องขอความเมตตากับหลี่ชิเย่แล้ว และมีเพียงจางเจี้ยนชวนเท่านั้นที่คู่ควรให้หลี่ชิเย่เห็นแก่ความสัมพันธ์น้อยนิดนี้แล้ว
“น่าสนใจ” หลี่ชิเย่หัวเราะทีหนึ่ง จัดการโยนตัวธิดาศักดิ์สิทธิ์เฟยฮวาไปข้างๆ รู้สึกหมดอารมณ์ กล่าวออกมาตามอารมณ์ว่า “วันนี้จะละเว้นให้เจ้าครั้งหนึ่ง”
ธิดาศักดิ์สิทธิ์เฟยฮวาร่างสั่นเทิ้มทีหนึ่ง รีบเร่งดึงเสื้อผ้ามาปกปิดร่างกายถอยไปอยู่ข้างๆ และก้มหน้าลง น้ำตาไหลอาบลงมาตามใบหน้าแต่ไม่กล้าส่งเสียงร้องไห้ออกมา เวลานี้ร่างกายของนางกำลังสั่นเทา นาทีนี้นางถูกทำให้ตกใจแล้วจริงๆ
“แค่มดปลวกฝูงหนึ่งเท่านั้นเอง กล้าที่จะคิดมิดีมิร้ายต่อของวิเศษของข้า” หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะขึ้นมา และกล่าวว่า “นับว่าโง่ไม่มีที่ติ”
ตึง ตึง ตึงจังหวะที่หลี่ชิเย่พูดขาดคำ ทั่วทั้งสำนักเสินสิงเหมินปรากฎเสียงเตือนภัยดังขึ้นมาเป็นระลอก และดังก้องไปทั่วฟ้าดิน
ตูม ตูม ตูม…ในพริบตาเดียวนี้เอง เสียงดังตูมตามดังขึ้นไม่ขาดสาย ปรากฎประกายแสงแต่ละสายที่พวยพุ่งขึ้นมาทั่วทั้งสำนักเสินสิงเหมิน
นาทีนี้ กลิ่นอายที่น่าเกรงขามและไม่มีสิ้นสุดพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างรุนแรง เสมือนดั่งเป็นคลื่นยักษ์อย่างนั้น