ตอนที่ 2518 เชือกเก้าเซียน
การเปลี่ยนสีของเก้าทะเลสาบเป็นตำนานของเขาจิ่วเหลียนซานมาโดยตลอด แต่ทว่า ในเวลานี้ทุกคนต่างตระหนักได้ว่า ก่อนหน้านั้นทุกคนล้วนแล้วแต่เข้าใจผิดในเรื่องการเปลี่ยนสีของทะเลสาบทั้งเก้า การเปลี่ยนสีของทะเลสาบทั้งเก้าที่พวกเขาพูดถึงนั้น มันหาใช่เป็นการเปลี่ยนสีของทะเลสาบทั้งเก้าอะไรนั่น
เวลานี้ ท่ามกลางการเปลี่ยนสีของทะเลสาบทั้งเก้าในมือของหลี่ชิเย่ นั่นแหละจึงเป็นการเปลี่ยนสีของทะเลสาบทั้งเก้าที่แท้จริง
การเปลี่ยนสีของทะเลสาบทั้งเก้าที่แท้จริงนั้น ได้ซ่อนความลับอะไรอยู่ข้างในกันแน่ มีความลึกซึ้งยอดเยี่ยมที่มีเพียงหนึ่งไม่มีสองในหล้าอย่างไรกันแน่? ดังนั้น ในขณะนี้ ทุกคนต่างก็ตั้งตาคอย ต่างจ้องมองน้ำที่อยู่ในทะเลสาบทั้งเก้าที่ได้กลับกลายเป็นน้ำที่ใสแจ๋วนั่น
หากไม่เป็นเพราะการกระทำเช่นนี้ของฝ่าบาท เกรงว่าผู้คนบนโลกยังคงต้องเข้าใจผิดต่อไปเรื่อยๆ ทุกยุคทุกสมัย มีผู้เฒ่าอดที่จะทอดถอนใจออกมา ภายในใจรู้สึกหวั่นไหวอย่างบอกไม่ถูก
ถ้าหากไม่ได้เห็นหลี่ชิเย่ลงมือในวันนี้ เกรงว่าอีกพันล้านปีผ่านไป ไม่แน่นักผู้คนบนโลกยังคงมีความเข้าใจที่ผิดๆ เกี่ยวกับการเปลี่ยนสีของทะเลสาบทั้งเก้า ยังคงไม่สามารถได้เห็นการเปลี่ยนสีของเก้าทะเลสาบที่แท้จริง
แค่น้ำใสสะอาดสายหนึ่งที่เทลงไป น้ำในทะเลสาบทั้งเก้าได้กลับกลายเป็นใสแจ๋วอย่างรวดเร็ว
ช่าาาสุดท้ายเสียงน้ำที่ดังเป็นระลอกหยุดลง น้ำใสสะอาดที่อยู่ในกล่องวิเศษได้ถูกเทออกมาทั้งหมด ถูกเทจนหมดสิ้นแล้ว
ในเวลานี้เอง น้ำทะเลสาบในทะเลสาบทั้งเก้าได้กลายเป็นน้ำที่ใสแจ๋วอย่างสิ้นเชิง ไม่ได้มีสีสันดั้งเดิมอีกแล้ว
ในเวลานี้ น้ำที่อยู่ในทะเลสาบทั้งเก้าล้วนแล้วแต่กลายเป็นใสสะอาดอย่างยิ่ง ใสแจ๋วขนาดสามารถมองเห็นก้นทะเลสาบได้ เมื่อมองจากที่ห่างไกล น้ำในทะเลสาบทั้งเก้าประดุจดั่งเป็นคันฉ่องบานหนึ่งที่ใสจนมองเห็นก้นทะเลสาบได้ เหมือนว่าทะเลสาบทั้งเก้าก็คือหินผลึกที่ปราศจากสิ่งเจือปนใดๆ เก้าชิ้น
ทะเลสาบทั้งเก้าได้กลับกลายเป็นใสสะอาดอย่างยิ่ง ในขณะนี้ ทะเลสาบทั้งเก้าได้ปรากฎไอน้ำที่จางมากลอยขึ้นมา โดยไอน้ำที่จางมากๆ ขณะลอยขึ้นมานั้นเสมือนดั่งเป็นกลิ่นอายเซียนที่ม้วนตัวขึ้นไปอย่างนั้น ทันใดนั้น ทำให้ผู้คนบังเกิดมโนภาพขึ้นมา รู้สึกว่าทะเลสาบทั้งเก้าถูกปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายเซียน ทะเลสาบทั้งเก้าล้วนแล้วแต่กลายเป็นแดนสวรรค์แล้วอย่างนั้น
ไม่ถูก ในเวลานี้ ขณะที่ทุกคนมองไปยังก้นทะเลสาบของทะเลสาบทั้งเก้านั้น รู้สึกเหมือนว่าก้นทะเลสาบยังมีโลกอีกโลกหนึ่ง เหมือนว่าหากทะลุผ่านก้นทะเลสาบไปก็จะเชื่อมต่อไปยังโลกอีกโลกหนึ่งได้ เป็นโลกของแดนเซียนแห่งหนึ่ง
เหมือนว่าทะเลสาบทั้งเก้าเป็นเพียงทางเข้าทั้งเก้าที่เชื่อมไปยังแดนเซียนเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เอง ทะเลสาบทั้งเก้าจึงได้มีกลิ่นอายเซียนที่ลอยม้วนตัวขึ้นมา
นี่สามารถเชื่อมไปยังแดนเซียนได้จริงๆ รึ? มีผู้พึมพำขึ้นมาขณะมองเห็นก้นทะเลสาบของทะเลสาบทั้งเก้าที่มีประกายเซียนแวบวับ
ทุกคนต่างอดที่จะกลั้นลมหายใจเอาไว้อย่างช่วยไม่ได้ ดวงตาแต่ละคู่เบิกกว้างเต็มที่และจ้องมองไปที่ทะเลสาบทั้งเก้า ทุกคนล้วนแล้วแต่ต้องการทราบว่า ภายใต้ทะเลสาบทั้งเก้านี้ได้ซ่อนความลับเช่นใดเอาไว้กันแน่
สิ่งของชิ้นนี้ฝังเอาไว้นานเกินไปเสียแล้ว สมควรกลับมาเห็นเดือนเห็นตะวันได้แล้ว หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวเฉยเมย
จังหวะที่ทุกคนล้วนแล้วแต่กลั้นลมหายใจมองดูภาพที่อยู่ตรงหน้านั้น เห็นเพียงมือขนาดใหญ่ของหลี่ชิเย่ที่ยื่นออกไป ขณะที่ทุกคนยังไม่ทันมีปฏิกิริยาอะไร มือขนาดใหญ่ของหลี่ชิเย่คล้ายยื่นตรงลงไปใต้พื้นดิน จนถึงส่วนที่ลึกที่สุดของทะเลสาบ
ในพริบตาเดียวนั่นเอง มือขนาดใหญ่ของหลี่ชิเย่เสมือนดั่งทะลุผ่านก้นทะเลสาบไป และทะลุไปยังโลกอีกโลกหนึ่งอย่างนั้น
ทันใดนั้น ขณะที่ทุกคนล้วนแล้วแต่รู้สึกแปลกใจอยู่ ปรากฏผู้คนจำนวมากรู้สึกโลกหมุน และในชั่วพริบตาเดียวนั่นเอง ทุกคนต่างรู้สึกว่าตัวเองสูญเสียแรงถ่วงไปแล้วอย่างนั้น เหมือนว่าพื้นดินที่อยู่ใต้เท้าถูกชักออกไป และทำให้ทุกคนเหมือนขาดที่พึ่งไป ขาที่เหยียบลงบนพื้นรู้สึกหมือนไม่สบายใจนัก เหมือนว่าใต้เท้าเป็นอะไรที่นิ่มๆ
ความรู้สึกเช่นนี้มาไวไปไว เพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้นทุกอย่างก็ได้กลับคืนสู่ปรกติ ทุกคนยังไม่ทันมีปฏิกิริยาอะไร ความรู้สึกที่โลกหมุนก็พลันหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ในเวลานี้เอง ทุกคนทยอยกันก้มดู มองเห็นผืนแผ่นดินใต้เท้าไม่ได้หายไปไหนแม้แต่นิดเดียว พวกเขายังคงยืนอยู่อย่างมั่นคง ผืนแผ่นดินที่อยู่ใต้เท้าไม่ได้ถูกชักลากออกไป
แม้จะกล่าวว่าฟ้าดินไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง ผืนแผ่นดินยังคงอยู่ใต้เท้า ยังคงสบายใจอะไรอย่างนั้น แต่ทว่า ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ทุกคนรู้สึกได้ว่าในพริบตาเดียวนั่นเอง ภายในเขาจิ่วเหลียนซานมีอะไรอย่างหนึ่งถูกดึงเอาไป
แม้จะกล่าวว่า ก่อนหน้านี้ไม่มีใครสามารถรับรู้ได้ว่าภายในเขาจิ่วเหลียนซานมีสิ่งของแบบนั้นอยู่ชิ้นหนึ่ง แต่ทว่า เมื่อสิ่งของชิ้นนี้ถูกดึงเอาไปแล้ว จึงทำให้ทุกคนรู้สึกเหมือนว่าเขาจิ่วเหลียนซานได้ขาดอะไรไปอย่างหนึ่ง ส่วนจะขาดอะไรไปนั้นทุกคนบอกไม่ถูก
ในเวลานี้ ณ สถานที่อีกแห่งหนึ่งของเขาจิ่วเหลียนซาน คนตัดฟืนแห่งเขาหนานซานอดที่จะทอดถอนใจออกมาเบาๆ ไม่ได้ ปลงอนิจจังยิ่ง และกล่าวทอดถอนใจขึ้นมาว่า พันล้านปีที่ผ่านมา ผู้คนจำนวนเท่าไรที่เคยวางแผนให้ได้มาล้วนแล้วแต่ทำไม่สำเร็จ เช่นเจิ้นตี้ จิ่วหนิงต่างก็ไม่ประสบผลสำเร็จ เขากลับทำสำเร็จได้อย่างง่ายดาย แค่เอื้อมมือก็ดึงเอาไปได้แล้ว กำลังความสามารถเช่นนี้ไม่มีใครเทียบได้อีกแล้ว ใช่เพื่อแค่แดนลัทธิราชัน เกรงว่าแม้แต่แดนลัทธิเซียนก็ไม่มีใครขวางเขาได้
เวลานี้ คนตัดฟืนแห่งเขาหนานซานก็รู้ว่าสิ่งของชิ้นนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อเขาจิ่วเหลียนซาน แต่ว่า เขาก็ได้แต่มองดูหลี่ชิเย่นำเอาของสิ่งนี้ไป เขาได้แต่คาดหวังว่าสิ่งของสิ่งนี้สามารถกลับคืนสู่เขาจิ่วเหลียนซานอีกครั้งในภายหลัง
ในขณะนี้ ผู้คนจำนวนมากได้สติกลับมา และมองไปที่หลี่ชิเย่ มองเห็นหลี่ชิเย่ได้กำสิ่งของสิ่งหนึ่งเอาไว้ในมือแล้ว
ในมือของหลี่ชิเย่กำเชือกป่านไว้เส้นหนึ่ง มันคือเชือกป่านเส้นหนึ่งจริงๆ เชือกป่านเส้นนี้คล้ายเป็นเชือกทั่วๆ ไปมีใช้กันอยู่บนโลกมนุษย์ปุถุชนธรรมดาซึ่งทำขึ้นจากการเอาเส้นใยป่านมาบิดหรือถักเข้าด้วยกัน เชือกป่านดังกล่าวแลดูเก่ามากแล้ว โดยที่เชือกป่านดังกล่าวออกเป็นสีแดงเข้ม เพียงแต่สีแดงเข้มนั้นได้กลับกลายเป็นสีดำขึ้นมาแล้ว เหมือนว่าได้ผ่านการใช้งานมานับไม่ถ้วนทำให้มันดูสกปรกเช่นนี้
เชือกป่านเส้นนี้แลดูธรรมดาอย่างยิ่ง ด้านหนึ่งของเชือกป่านห้อยกระพวนเล็กๆ อยู่เก้าอัน โดยกระพวนขนาดเล็กทั้งเก้าอันดังกล่าวมีขนาดเท่าหัวแม่มือ กระพวนขนาดเล็กทั้งเก้าอันเหมือนสร้างขึ้นมาจากทองแดงโบราณอย่างนั้น เพียงแต่ช่วงเวลาที่มีการสร้างดูจะเนิ่นนานมากเกินไป อีกทั้งวัตถุดิบของทองแดงโบราณที่ใช้เหมือนจะไม่ได้มีคุณภาพดีเลิศอะไรอย่างนั้น ดังนั้น สีสันของกระพวนเล็กๆ ทั้งเก้าได้จางลง และปรากฏเป็นรอยด่างสนิมอยู่ทั่วไป บางแห่งกระทั่งเป็นสีเขียวโผล่ขึ้นมา
ทุกคนต่างรู้สึกตะลึงและไม่สามารถเรียกสติคืนได้ขณะนี้ เมื่อมองเห็นเชือกป่านที่อยู่ในมือของหลี่ชิเย่
แม้แต่เคล็ดวิชาจิ่วมี่ยังไม่อยู่ในสายตาของหลี่ชิเย่ มอบให้กับหลิ่วชูฉิงไปตามอารมณ์ เวลานี้สิ่งที่คุ้มค่ากับการที่เขาต้องถ่อมาที่นี่เป็นการเฉพาะถึงกับเป็นเชือกป่านเส้นหนึ่งเช่นนี้ เป็นสิ่งที่อยู่เหนือความคาดคิดของทุกๆ คนอย่างสิ้นเชิง
ก่อนหน้านี้ ทุกคนต่างเข้าใจว่า สิ่งที่คู่ควรให้หลี่ชิเย่ต้องเดินทางมาด้วยตนเองนั้น ต้องเป็นสิ่งที่สะเทือนเลื่อนลั่นมีเพียงหนึ่งไม่มีสองในหล้าอย่างแน่นอน ไม่แน่นักอาจเป็นอาวุธปรมาจารย์ที่ปราศจากผู้ต่อกร ไร้เทียมทานและฝืนลิขิตสวรรค์อย่างยิ่งชิ้นหนึ่ง
ทุกคนสามารถจินตนาการได้ว่า เมื่อหลี่ชิเย่นำเอาอาวุธปรมาจารย์ที่ปราศจากผู้ต่อกรชิ้นนี้ออกมานั้น เกรงว่าอานุภาพปรมาจารย์จะต้องอาละวาดไปทั่วฟ้าดิน เกรียงไกรไปทั่วเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดิน กระทั่งทะลุผ่านอดีตกาล แค่นำออกใช้ก็สามารถทำลายพินาศย่อยยับหมื่นชาติ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้ทุกคนคาดไม่ถึงก็คือ เมื่อหลี่ชิเย่นำเอาของสิ่งนี้ออกมานั้น ไม่มีอานุภาพเลื่อนลั่นดั่งที่ทุกคนคาดคิด ยิ่งกว่านั้นยังไม่มีกลิ่นอายกดทับเหล่าชั้นฟ้า มันเป็นเพียงเชือกป่านที่ธรรมดามากๆ จนไม่รู้จะธรรมดาอีกแล้วเส้นหนึ่งเท่านั้นเอง
ในเวลานี้ ทำให้ทุกคนมองดูด้วยความตะลึง ทุกคนล้วนแล้วแต่ไม่อาจจินตนาการได้ว่า เชือกป่านที่ดูธรรมดายิ่งเหลือเกินเส้นนี้จะมีอานุภาพเช่นใดกันเล่า? มันมีความล้ำค่าตรงไหนกันแน่? นี่ นี่ นี่มันคือของวิเศษเช่นใดกันเล่า? ไม่ง่ายนักกว่าที่จะมีผู้ได้สติกลับมา อดที่จะเอ่ยถามขึ้นมาแผ่วเบาไม่ได้
ถ้าหากเป็นอดีต หลี่ชิเย่หยิบเอาเชือกป่านลักษณะเช่นนี้ออกมาล่ะก็ ทุกคนก็จะเข้าใจว่านี่เป็นเพียงเชือกป่านที่ธรรมดาจนไม่รู้จะธรรมดาอย่างใดเส้นหนึ่งเท่านั้น ไม่มีค่าแม้แต่อีแปะเดียว กระทั่งมีคนค่อนแคะ และเยาะเย้ยเขาอย่างหนัก
แต่ว่า ขณะนี้ เมื่อหลี่ชิเย่กำเชือกป่านเส้นนี้อยู่ในมือ ทุกคนก็จะเข้าใจว่ามันต้องเป็นของวิเศษที่เป็นหนึ่งไม่มีสองในหล้า ไม่มีสิ่งใดเทียบเทียมได้ตลอดกาลชิ้นหนึ่ง แม้ว่าเชือกป่านเส้นนี้แลดูธรรมดาจนไม่รู้จะธรรมดาอย่างใด แถมไม่มีอานุภาพใดๆ และปราศจากพลังแม้แต่นิดเดียว
พูดคำพูดที่ไม่น่าฟังก็คือ ต่อให้สิ่งที่กำอยู่ในมือของหลี่ชิเย่คือหญ้าแห้งต้นหนึ่ง เกรงว่าทุกคนก็ต้องเข้าใจว่ามันคือหญ้าเซียนที่ล้ำค่ายิ่ง จะอย่างไรเสีย หลี่ชิเย่คือฮ่องเต้ที่สามารถมอบกระทั่งเคล็ดวิชาจิ่วมี่ให้กับผู้อื่นได้ตามอารมณ์เช่นนี้ สิ่งที่เขาหยิบเอามานั้นจะเป็นของธรรมดาได้รึ?
แต่ทว่า ต่อให้มีผู้ที่คิดว่าเชือกป่านที่อยู่ในมือหลี่ชิเย่เส้นนี้เป็นสิ่งล้ำค่าที่ไม่สามารถประเมินค่าได้ เป็นอาวุธที่มีเพียงหนึ่งไม่มีสองในหล้า แต่ยังคงไม่มีใครรู้ถึงความลึกซึ้งยอดเยี่ยมของอาวุธชิ้นนี้ ยังคงไม่มีผู้ใดสามารถมองออกถึงประวัติความเป็นมาของเชือกป่านเส้นนี้ได้
‘เชือกเก้าเซียน’ จังหวะที่ทุกคนต่างไม่รู้อะไรเลยโดยสิ้นเชิง ทุกคนล้วนแล้วแต่ไม่รู้ว่าเชือกป่านเส้นนี้มีประวัติความเป็นมาอย่างไรนั้น ฉินเจี้ยนเหยาที่จ้องมองเชือกป่านเส้นนี้มาโดยตลอด หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งนางรู้สึกว่ามันเหลือเชื่อและเอ่ยด้วยความตระหนกขึ้นมา
ขณะที่ฉินเจี้ยนเหยาพูดชื่อนี้ออกมานั้น นางเองก็ใช่จะมีความมั่นใจเป็นพิเศษ ภายในใจของนางเองก็ยังคงสงสัยอยู่บ้างว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่
แม้ว่านังหนูอย่างเจ้าจะดูธรรมดาสุดจะทน หลี่ชิเย่จ้องมองฉินเจี้ยนเหยาทีหนึ่ง ยิ้มกล่าวเฉยเมยว่า แต่ว่า ความรู้ตรงนี้นับว่าแซงล้ำหน้าผู้คนจำนวนมาก เกรงว่าตาแก่จำนวนมากมายก็ไม่มีความรู้ด้านนี้เช่นเจ้า
ฉินเจี้ยนเหยาเองไม่นึกว่าตนเองจะพูดออกมาได้ถูกต้อง จะอย่างไรเสียนางเองก็ใช่ว่าจะมีความมั่นใจยิ่ง แต่ยังคงพูดได้ถูกต้อง
นี่ นี่ไม่ได้เป็นเพียงเทพนิยายรึ? ฉินเจี้ยนเหยาก็ไม่ใส่ใจที่หลี่ชิเย่ว่ากล่าวนางเช่นนี้ กระทั่งเรียกได้ว่าสิ่งนี้คือความชื่นชมสูงสุดอย่างหนึ่งของหลี่ชิเย่แล้ว
ฉินเจี้ยนเหยาเองก็มองดูเชือกป่านในมือของหลี่ชิเย่อย่างไม่น่าเชื่อ รู้สึกว่าเชือกป่านธรรมดาเส้นนี้ห่างไกลจากที่อยู่ในเทพนิยายมากเกินไปแล้ว
เจ้าคิดว่าเป็นเทพนิยายอย่างนั้นรึ? หลี่ชิเย่ยิ้มเรียบเฉย สลัดเชือกป่านในมือเบาๆ ทีหนึ่ง หัวเราะและกล่าวว่า ถ้าเป็นเพียงเทพนิยาย ก็ต้องไม่มีการดำรงอยู่
เมื่อฉินเจี้ยนเหยาได้ฟังคำพูดนี้แล้วอดที่จะตะลึงนิดหนึ่ง นางอดที่จะพึมพำขึ้นมาว่า นี่ นี่เหมือนจะเป็นการกุเรื่องขึ้นมาเองกระมัง เป็นเพียงการจินตนาการของผู้สันโดษคนหนึ่ง ในตำราบันทึกไว้ว่า มีผู้สันโดษได้พบกับเซียนเก้าองค์ เซียนทั้งเก้าองค์รวบรวมป่านมาพันเป็นเชือกแล้วมอบให้ ดังนั้น จึงตั้งชื่อว่าเชือกเก้าเซียน
นี่เป็นนิทานเรื่องหนึ่ง กระทั่งกล่าวได้ว่าเป็นนิทานที่ไม่เข้าเกณฑ์มาตรฐาน ฉินเจี้ยนเหยาเคยอ่านเจอนิทานเรื่องนี้ในตำราอ่านเล่นเล่มหนึ่ง
แม้ว่าขณะนั้นอายุของนางยังน้อย เมื่อได้อ่านนิทานเรื่องนี้แล้วก็ไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจ จะอย่างไรเสียนิทานลักษณะเช่นนี้ออกจะเกินเลยไป นับว่าไม่เข้าเกณฑ์อย่างยิ่ง ดังนั้นจึงไม่ได้ไปครุ่นคิดพินิจพิเคราะห์มัน
จะไปโทษฉินเจี้ยนเหยาก็ไม่ถูก นิทานลักษณะเช่นนี้เป็นเพียงนิทานที่เล่าให้เด็กฟังก่อนเข้านอนเท่านั้น เนื้อหาง่ายๆ และหยาบไม่ได้มีความหมายอะไรที่จะกล่าวถึง เปลี่ยนเป็นใครก็ตาม ล้วนแล้วแต่ไม่ถือเอานิทานลักษณะเช่นนี้มาเป็นเรื่องจริงจังอยู่แล้ว
………………………..