บทที่ 164 ดัชนีดับสวรรค์
ในขณะที่คนอื่น ๆ สงสัยว่าทำไมหลิงตู้ฉิงถึงมีพลังมากเช่นนี้ มีแต่เพียงโม่หยูถังเท่านั้นที่ไม่เคยแปลกใจ เพราะเขารู้ว่าหลิงตู้ฉิงเป็นคนรุ่นเดียวกับบรรพบุรุษของเขาและหลิงตู้ฉิงก็เป็นคนที่ได้พบจักรพรรดิอสูรปีศาจทั้งเก้า ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของเขา
แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าหลิงตู้ฉิงหรือบรรพบุรุษของเขาใครแข็งแกร่งกว่ากัน แต่ถ้าขึ้นชื่อว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญที่เคยอยู่ในยุคก่อน หลิงตู้ฉิงควรจะต้องทรงพลังเป็นอย่างมากแน่นอน ก็ขนาดบรรพบุรุษของเขายังเป็นผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สามารถเขย่าโลกสะท้านฟ้าสะเทือนดินได้ ดังนั้นสมบัติวิเศษระดับสวรรค์ธรรมดา ๆ จะหยุดหลิงตู้ฉิงได้อย่างไร?
ทันทีที่มี่ไลลงจากรถ นางกระโจนเข้าสู่อ้อมกอดของหลิงตู้ฉิงพร้อมกับออดอ้อน “ข้าคิดว่านายท่านไม่สนใจข้าเลยซะอีก ขอบคุณนายท่านที่ช่วยข้า”
หลิงตู้ฉิงถอนหายใจและพูดว่า “อันที่จริงแล้ว ข้าเองไม่อยากทำอะไรเลย ข้าจำเป็นต้องบ่มเพาะอารมณ์ของข้าและข้าไม่สามารถฆ่าคนได้อย่างที่ข้าต้องการเฉกเช่นเมื่อก่อน…” หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและดูหดหู่เล็กน้อย
ในชีวิตก่อนหน้านี้เขาคงไม่กังวลอะไรมากกับปัญหาเล็กน้อยเช่นนี้ หากมีใครทำอะไรให้ขุ่นใจ เขาก็แค่ฆ่ามันให้หมดเท่านั้น เพราะในชาติที่แล้วเขาได้บ่มเพาะเต๋าไร้อารมณ์ที่โหดเหี้ยม แต่ในชีวิตนี้เขาบ่มเพาะเต๋าตู้ฉิง ซึ่งการช่วยตระกูลมี่โดยการฆ่าคนเช่นนี้ก็เป็นสิ่งตรงกันข้ามกับที่เขาวางแผนจะทำ แต่เมื่อเห็นว่าไม่มีวิธีอื่น ถ้าเขาไม่ลงมือช่วย ทั้งมี่ไลและโม่หยูถังจะต้องตายอย่างแน่นอน เรื่องนี้จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขารู้สึกขัดใจ
“นายท่านข้านำแหวนมิติจากบรรดาผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภาที่ข้าสังหารไปมา 10 วง โปรดนายท่านลองพิจารณาดูว่ามีวัสดุอะไรในแหวนเหล่านี้พอจะนำมาสร้างอาวุธให้ข้าได้บ้างไหม?” เมื่อโม่หยูถังพูดจบ เขาเปิดแหวนมิติทั้งสิบออกและเทสิ่งของมากมายลงบนพื้น
หลิงตู้ฉิงสั่ง “แยกสิ่งของทั้งหมดออกจากวัสดุระดับราชวงศ์ เมื่อมีเวลาข้าจะจัดการเรื่องอาวุธให้เจ้าเอง”
โม่หยูถังรีบพยักหน้าและรีบแยกประเภทสิ่งของต่าง ๆ ตามที่หลิงตู้ฉิงสั่งทันที
ในตอนนี้เสี่ยวเยว่เฟิงที่ยังไม่สามารถหยุดความข้องใจได้ นางถามว่า “นายท่าน ท่านฉีกอาณาเขตนั้นได้อย่างไร?”
หลิงตู้ฉิงพูดว่า “เมื่อเจ้าบรรลุไปถึงขอบเขตสวรรค์ เจ้าก็จะเข้าใจในการทำงานของมัน และเจ้าเองก็สามารถฉีกมันออกจากกันได้เช่นกัน”
เสี่ยวเยว่เฟิงที่ได้รับคำตอบเช่นนี้นางทำได้เพียงแค่ยิ้มอย่างขมขื่น นางไม่รู้สึกหนักใจกับการบรรลุขอบเขตสวรรค์สักเท่าไหร่ แต่นางหนักใจกับหลิงตู้ฉิงที่บอกให้นางทำความเข้าใจการทำงานของมัน ราวกับมันเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ใคร ๆ ก็ทำได้หยั่งงั้นแหละ
“แล้ววิชาอันพิสดารนั่นที่นายท่านใช้เมื่อกี้คืออะไร?” เสี่ยวเยว่เฟิงถามอีกครั้ง
หลิงตู้ฉิงยิ้มและตอบกลับ “มันคือดัชนีดับสวรรค์ มันมีพลังทะลุฟ้าและดินได้ หากเจ้าต้องการเรียนข้าก็สอนให้เจ้าได้”
เสี่ยวเยว่เฟิงถามอย่างกระวนกระวาย “ข้าเรียนได้จริงเหรอ?”
หลิงตู้ฉิงยิ้ม “ก็ถ้าเจ้าอยากเรียนรู้ข้าก็สอนให้เจ้าได้ แต่ส่วนเจ้าจะใช้มันได้หรือไม่นั้นมันคงขึ้นอยู่กับความพยายามและพรสวรรค์ของเจ้าเอง”
เมื่อพูดกับเสี่ยวเยว่เฟิงจบ หลิงตู้ฉิงจึงหันไปบอกกับบรรดาทุกคนที่อยู่รอบ ๆ และตะโกนขึ้น “ทุกคน! ข้าอนุญาตให้พวกเจ้าไปเลือกวัตถุดิบและสมุนไพรเหล่านี้ขึ้นมาได้คนละ 1 ชิ้น แต่พวกเจ้าสามารถเลือกได้เฉพาะของที่เจ้ารู้จัก หากพวกเจ้าไม่รู้จักมันจงวางทิ้งไว้และให้คนอื่นที่รู้จักเลือกมันไป”
ภายใต้คำสั่งของหลิงตู้ฉิง ทุกคนที่อยู่ในคฤหาสน์รวมไปถึงบรรดากองทหารก็ลงมือเริ่มรื้อสิ่งของกองมโหฬารที่โม่หยูถังได้แยกประเภทมันไว้เรียบร้อย เพื่อหาของที่พวกเขาถูกใจและหยิบมันไปคนละชิ้น
อีกด้านหนึ่งมี่ตั้วตั้ว เมื่อเขาเฝ้ามองลูกสาวของเขาและโม่หยูถังจากไปแล้ว จากนั้นเขารีบเดินไปหยิบแหวนมิติที่เหลือจากศพผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภาที่โม่หยูถังไม่ได้เอาไป เมื่อเขาตรวจสอบสิ่งของภายในแหวนมิติเขาก็มีความสุขมาก
ความมั่งคั่งของแหวนในศพผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภาเหล่านี้ ทำให้ตระกูลมี่ของเขาร่ำรวยขึ้นอย่างมหาศาลในทันที
เมื่อสำรวจดูของในแหวนเรียบร้อย เขามองไปที่ศิษย์จากสำนักต่าง ๆ หลายสิบคนที่นอนสลบอยู่ยังไม่ฟื้นและส่ายหัว
มี่ตั้วตั้วไม่ได้แตะต้องคนเหล่านั้น ถึงแม้หากว่าเขาฆ่าคนเหล่านี้ทั้งหมดมันก็เป็นสิทธิ์อันชอบธรรมที่เขาสามารถทำได้ แต่เนื่องจากที่คนเหล่านี้เป็นศิษย์จากสำนักอันหลากหลาย หากพวกเขาทั้งหมดเสียชีวิตที่นี่ สำนักต้นสังกัดทั้งหมดของพวกเขาจะต้องถือว่าตระกูลมี่เป็นศัตรูสำคัญของพวกเขาทันที ซึ่งมันจะนำความยุ่งยากมาให้กับเขามากกว่าที่จะได้รับประโยชน์
ในขณะนี้มี่ตั้วตั้วจึงเลือกที่จะรวบรวมเศษซากของสมบัติและอาวุธจำนวนมากที่เสียหายรวมไปถึงชิ้นส่วนของสมบัติระดับสวรรค์ที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ
เมื่อเห็นว่ามี่ตั้วตั้วกำลังรวบรวมเศษวัสดุอันมีค่า ผู้คนที่อยู่ด้านนอกอาคารที่กำลังมุงดูเหตุการณ์ด้านในอาคารที่กลายเป็นซากปรักหักพังต่างก็ตาลุกวาว พวกเขาอยากเข้าไปในซากอาคารประมูลตระกูลมี่และแย่งชิงข้าวของที่ยังเหลืออยู่
อย่างไรก็ตามไม่มีใครกล้าทำเช่นนั้น
เนื่องจากก่อนหน้านี้บรรดาผู้คนที่มุงดูเหตุการณ์อยู่ด้านนอกอาคารนั้น พวกเขาได้เห็นพลังอำนาจของโม่หยูถังซึ่งเป็นพันธมิตรของตระกูลมี่แล้วว่าน่ากลัวแค่ไหน เขาสามารถสังหารผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภาได้เหมือนบี้มดขนาดนี้จะไม่ทำให้คนเหล่านี้หวาดกลัวได้อย่างไร?
โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาอาจารย์ของสถาบันราชวงศ์ที่ต่างก็มาเฝ้าดูเหตุการณ์เช่นกัน เมื่อนึกถึงอดีตที่พวกเขาเคยต่อสู้กับโม่หยูถัง พวกเขารู้สึกเย็นวาบไปถึงสันหลังพร้อมกับรู้สึกเสียใจที่ก่อนหน้านี้พวกเขาได้ตัดโอกาสของตัวเองที่จะได้ผูกมิตรกับผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งเช่นนี้ และพวกเขายังเสียใจที่พวกเขาได้ตัดโอกาสนักศึกษาของตนเองที่จะได้เรียนในศาลาศักดิ์สิทธ์ที่สอนโดยอาจารย์ที่เก่งกาจ
หลังจากที่มี่ตั้วตั้วเก็บบรรดาสมบัติจนครบได้ไม่นาน บรรดาศิษย์จากสำนักต่าง ๆ ที่ยังไม่ตายก็เริ่มตื่นกันขึ้นมาทีละคน ๆ
เมื่อพวกกลุ่มศิษย์ของสำนักต่าง ๆ ที่เพิ่งตื่นขึ้นมาและพบว่าตัวเองยังไม่ตาย พวกเขาทั้งหมดก็รู้สึกปิติยินดี พลางมองหาจักรพรรดิโอสถ
ทุกคนที่กำลังหันไปมาเพื่อหาจักรพรรดิโอสถ พวกเขาก็รู้สึกงุนงงเมื่อกลับพบแต่มี่ตั้วตั้วที่ยืนอยู่บนซากปรักหักพังของอาคารประมูลแต่เพียงผู้เดียว
มี่ตั้วตั้ว เมื่อสังเกตเห็นว่าคนพวกนี้มองเขา เขาจึงพูดขึ้ด้วยน้ำเสียงเย็นชา “พวกเจ้าตื่นขึ้นมาก็ดีแล้ว จงดีใจซะที่ข้าใจดีไว้ชีวิตพวกเจ้าจากความผิดที่พวกเจ้ากระทำกับตระกูลข้า! ตอนนี้พวกเจ้าควรรีบกลับไปรายงานกับสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่กับสำนักของพวกเจ้ากันเองว่าได้เกิดอะไรขึ้นที่นี่บ้าง”
ศิษย์ของสำนักทั้งหมดมองไปที่มี่ตั้วตั้วอย่างงุนงง
นี่มันเกิดอะไรขึ้นตอนที่พวกเขาหมดสติ?
ศิษย์สำนักสวนร้อยพฤกษาตะโกน “ไอ้จักรพรรดิโอสถ มันอยู่ที่ไหน?!”
เดิมทีหากเป็นก่อนหน้านี้เขาคงต้องกล่าวถึงหวางฟู่ฉีด้วยความเคารพ แต่ในตอนนี้หลังจากที่เขานึกถึงการกระทำของจักรพรรดิโอสถที่พยายามจะฆ่าเขาเพื่อชิงสมบัติและปิดปาก ในใจเขาก็ไม่หลงเหลือความเคารพให้กับตาแก่ผู้นั้นอีกต่อไป
มี่ตั้วตั้วส่ายหัวและพูดขึ้น “ในเมื่อพวกเจ้าตื่นแล้ว พวกเจ้าจงรีบกลับไปซะเถอะ แล้วอย่าลืมเก็บศพบรรดาผู้อาวุโสและอาจารย์ของพวกเจ้ากลับไปด้วย”
บรรดาผู้เชี่ยวชาญที่รอดตาย ต่างงุนงงกับการแสดงออกของมี่ตั้วตั้วที่ไม่ยอมบอกอะไรพวกเขา
ในขณะที่พวกเขากำลังมองไปยังมี่ตั้วตั้วด้วยความงุนงง เหมยซูเอ๋อบินเข้ามาหามี่ตั้วตั้ว จากด้านนอกในขณะที่ใบหน้าของนางยังคงซีดเซียว
เมื่อบินมาถึง นางโค้งตัวให้กับมี่ตั้วตั้วและพูดขึ้นว่า “ท่านผู้นำมี่ ข้าขออภัยที่ข้าได้ล่วงเกินตระกูลของท่าน ข้าหวังว่าท่านจะให้อภัยในความโง่เขลาของข้าและให้ข้าพาคนของข้าจากไปได้”
มี่ตั้วตั้วพยักหน้าหนึ่งครั้ง เพื่อเป็นสัญญาณให้เหมยซูเอ๋อรู้ว่าเขาอนุญาต
อันที่จริงเมื่อครู่ที่มี่ตั้วตั้วเห็นเหมยซูเอ๋อบินเข้ามา เขาเองก็รู้สึกประหม่าเช่นกัน ถึงแม้ว่าเขาจะเห็นว่านางได้รับบาดเจ็บสาหัสและอาการของนางในตอนนี้ก็ไม่ได้ดีมากนัก แต่ด้วยระดับการบ่มเพาะของนางที่อยู่ในขอบเขตนภา ถึงแม้นางจะได้รับบาดเจ็บสาหัสเขาก็ไม่อาจรับมือได้
แต่สิ่งที่มี่ตั้วตั้วไม่รู้ก็คือเหมยซูเอ๋อเองก็กลัวเขาเกินกว่าที่จะต่อสู้กับเขาเช่นกัน
เหมยซูเอ๋อที่เห็นว่ามี่ตั้วตั้วอนุญาตแล้ว นางจึงเดินไปหาหลี่จือหลิงและศิษย์ 2 คนของสำนักบุปผาจันทราเพื่อที่จะนำพวกเขาออกไป
แต่เมื่อเหมยซูเอ๋อเดินเข้ามาหา หลี่จือหลิงรีบพูดว่า “อาจารย์ จักรพรรดิโอสถหายตัวไปแล้ว เมื่อครู่เขาพยายามฆ่าพวกเราทุกคนปิดปากเพื่อชิงสมบัติของพวกเรา”
เหมยซูเอ๋อส่ายหัวและยิ้มอย่างขมขื่น “จักรพรรดิโอสถผู้นั้นเขาไม่ได้หายหรือหนีไป แต่เขาตายไปแล้วต่างหาก! พวกเจ้าตามข้ากลับไปเดี๋ยวนี้!”
หลี่จือหลิงมองไปที่เหมยซูเอ๋อด้วยความตกใจ หวางฟู่ฉีที่มีสมบัติระดับสวรรค์อยู่ในมือเสียชีวิตแล้ว? ใครกันที่ฆ่าเขาได้? แล้วสมบัติระดับสวรรค์ชิ้นนั้นล่ะอยู่ที่ไหน?
บรรดาคนอื่น ๆ ที่ได้ยินสิ่งที่เหมยซูเอ๋อพูดเช่นกัน พวกเขาต่างมองไปที่มี่ตั้วตั้วด้วยความตกตะลึงทันที
เดิมทีพวกเขายังคงมีความคิดที่จะคิดบัญชีกับตระกูลมี่ต่ออีกสักหน่อยสำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เมื่อรู้เช่นนี้ หลังจากรวบรวมศพผู้อาวุโสของสำนักเสร็จ พวกเขาก็รีบจากไปราวกับกำลังหนีเอาชีวิตรอดทันที