พ่อเลี้ยงยอดเซียน – บทที่ 158 สามอสูรทมิฬสงคราม

บทที่ 158 สามอสูรทมิฬสงคราม

บทที่ 158 สามอสูรทมิฬสงคราม

เมื่อมองไปที่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภาจำนวนมาก แม้แต่มี่ตั้วตั้วเองยังรู้สึกหวั่นใจ ตอนนี้เขาอยู่ในขอบเขตรวมแสงดาราเท่านั้น แค่เพียงผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภาเพียงคนเดียวก็สามารถบี้เขาได้เหมือนบี้มดบี้แมลง นับประสาอะไรกับการเผชิญหน้ากับกลุ่มผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภามากมายแบบนี้

แม้ว่าเขาจะเคยได้ยินหลิงตู้ฉิงพูดมานานแล้วว่า ตระกูลมี่จะเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่ แต่หายนะครั้งนี้ก็ใหญ่เกินไป

ตอนนี้มี่ตั้วตั้วเองเริ่มนึกถึงข้อจำกัดของอสูรทมิฬที่สามารถเรียกออกมาได้เพียง 15 นาที แถมระดับของทุกตนนั้นล้วนอยู่เพียงแค่ขอบเขตรวมแสงดาราและจำนวนที่เรียกออกมาได้นั้นมีเพียงแค่ 3 ตนเท่านั้น ด้วยจำนวนรวมไปถึงความแข็งแกร่งและเวลาที่ถูกจำกัด อสูรทมิฬที่เรียกออกมาจะสามารถเอาชนะผู้เชี่ยวชาญกลุ่มใหญ่เหล่านี้ได้ยังไง? คิดไปคิดมาเขาก็ยิ่งกลุ้มใจ สุดท้ายเขาจึงมองไปที่โม่หยูถังอย่างกังวลและสงสัยว่าโม่หยูถังจะสามารถจัดการทุกคนได้หรือเปล่า?

เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์เป็นตายที่รุนแรงเช่นนี้ เขาจึงถอนหายใจและทำได้เพียงแค่ก้าวไปข้างหน้าและพูดขึ้น “เฮ้อ…เอาล่ะ หากพวกท่านคนไหนที่ไม่ต้องการเป็นศัตรูกับตระกูลมี่ของข้าก็โปรดถอยออกไป มิฉะนั้นข้าจะมองว่าพวกท่านทุกคนเป็นศัตรูของตระกูลมี่ เมื่อการโจมตีเริ่มขึ้น ข้าจะตอบโต้โดยแยกไม่ได้ว่าพวกท่านเป็นมิตรหรือศัตรู” มี่ตั้วตั้วพูดอย่างเย็นชา “แต่ถ้าหากมีใครในวันนี้ยินดียื่นมือช่วยเหลือตระกูลมี่ของข้าในการสกัดกั้นศัตรู หากตระกูลมี่ของข้าวันนี้รอดไปได้ ข้าจะตอบแทนพระคุณให้กับทุกท่านที่ช่วยเหลือกลับคืนไปเป็น 10 เท่า”

“ฮ่าฮ่าฮ่า ตอบแทนการช่วยเหลืองั้นเหรอ? เจ้าประเมินตระกูลมี่ของเจ้าสูงเกินไปแล้ว น้ำหน้าของตระกูลเล็กจ้อยอย่างตระกูลเจ้าจะเอาอะไรมาตอบแทนพวกข้ากัน!?” หม่าตงเฉิงแห่งสำนักดาราพเนจรหัวเราะเยาะ

“ไม่มีใครในที่นี่เขาสนใจตระกูลเล็ก ๆ ของเจ้ากันหรอก เอาล่ะพวกเรา ข้าคิดว่าถึงเวลาที่เราจะกำจัดตระกูลนี่ออกไปให้พ้นทางแล้ว แล้วพวกเราค่อยมาแบ่งโอสถกับตราคำสั่งอสูรทมิฬกันอีกที!” เจียงเต๋อชิงกล่าวกระตุ้นขึ้น

หากเทียบกันบรรดาสำนักใหญ่ที่รวมหัวกันอยู่ในขณะนี้ ตระกูลมี่เป็นเพียงตระกูลเล็ก ๆ ที่มีผู้เชี่ยวชาญที่มีความแข็งแกร่งสูงสุดอยู่ในขอบเขตรวมแสงดาราระดับ 2 เท่านั้น ถ้าไม่ใช่เพราะมี่ตั้วตั้วที่ครอบครองตราคำสั่งอสูรทมิฬ ซึ่งที่จริงคือเจดีย์เชื่อมเก้าสวรรค์ ป่านนี้บรรดาผู้เชี่ยวชาญที่ล้อมรอบเขาอยู่คงโจมตีเขาไปนานแล้ว

ขณะนี้ไม่เพียงแต่ไม่มีใครถอยหนีตามคำขู่ของมี่ตั้วตั้ว แต่ตอนนี้ยังมีแม้กระทั่งผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภาอีก 2 คนเข้าร่วมการต่อสู้อีกด้วย

ส่วนทางด้านของคนจากสำนักบุปผาจันทรา พวกเขาในเวลานี้ล้วนยืนมองดูอยู่อย่างนิ่งเฉย ซึ่งส่งผลให้บรรดาผู้เชี่ยวชาญจากสำนักต่าง ๆ เองยังมีความกังวลใจอยู่บ้าง เนื่องจากพวกเขาดูไม่ออกว่าสำนักบุปผาจันทราเองจะเอายังไงกันแน่

ทุกคนที่อยู่ในคฤหาสน์สราญรมย์ล้วนเห็นฉากนี้ที่เกิดขึ้นในหอประมูลของตระกูลมี่เช่นกัน เสี่ยวเยว่เฟิง นางขมวดคิ้วและพูดว่า “นายท่าน ตอนนี้ในหอประมูลตระกูลมี่มีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภาถึง 10 คน ถึงแม้ว่าข้าจะไปช่วยพวกเขา หรือต่อให้ข้าร่วมมือกับพ่อบ้านโม่ที่อยู่ที่นั่น ข้าเกรงว่าข้าและพ่อบ้านเองก็คงไม่สามารถทำอะไรได้มากเช่นกัน ข้าคิดว่าตอนนี้คงมีแต่นายท่านเท่านั้นที่สามารถช่วยเหลือพวกเขาได้”

หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและหัวเราะ “เจ้าประเมินพ่อบ้านโม่ต่ำเกินไปและก็ประเมินเจดีย์เชื่อมเก้าสวรรค์ต่ำไปด้วย”

เด็ก ๆ มองไปที่หลิงตู้ฉิงโดยไม่รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร

ในเวลานี้ในอาคารหอประมูลตระกูลมี่

มี่ตั้วตั้วมองไปที่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภา 10 คนที่กำลังเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโกรธผสมโลภ เขาหยิบเจดีย์เชื่อมเก้าสวรรค์ออกมาและพูดว่า “ข้าขออัญเชิญผู้อาวุโสเผ่าอสูรทมิฬทั้งหลาย โปรดส่งคนมาช่วยข้าด้วย!”

เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่มีทางออกเช่นนี้ มี่ตั้วตั้วเลือกที่จะสู้ตายแน่นอน

มี่ตั้วตั้วนั้นรู้ตัวดีว่าเจดีย์เชื่อมเก้าสวรรค์ไม่ใช่สมบัติวิเศษที่สร้างโดยเผ่าอสูรทมิฬสงคราม แต่มันเป็นสมบัติวิเศษที่เป็นเหมือนอวัยวะภายในกายของเขาเองส่วนหนึ่งและยังเป็นสมบัติที่ผูกชะตาชีวิตของคนในตระกูลของเขาไว้ทุกคน

หากเจดีย์เชื่อมเก้าสวรรค์ของเขาถูกยึดไป นั่นก็เท่ากับเหมือนเป็นการเอาชีวิตของเขาและคนในตระกูลไปเช่นกัน

เนื่องจากเป็นเช่นนี้ เขาจึงต้องต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตาย

ในขณะที่มี่ตั้วตั้วพูดจบ ประตูของเจดีย์เชื่อมเก้าสวรรค์ก็เปิดออกและอสูรทมิฬสงครามสามตนที่มีรังสีฆ่าฟันรุนแรง ได้เดินออกมาจากภายในเจดีย์เชื่อมเก้าสวรรค์

เมื่อเห็นมี่ตั้วตั้วเรียกอสูรทมิฬสงครามออกมาจากเจดีย์เชื่อมเก้าสวรรค์เช่นนี้ บรรดาผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภาต่างรู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมาก

“เจ้าคิดว่าการหลอมรวมตราคำสั่งของอสูรทมิฬเข้ากับสมบัติวิเศษที่ผูกไว้กับชะตาชีวิตของเจ้าเพื่ออำพลางแบบนี้ เจ้าคิดจริง ๆ งั้นเหรอว่าเจ้าจะสามารถปกปิดมันไว้ได้ตลอดไป? เจ้านี่มันโง่ยิ่งกว่าโง่จริง ๆ ในเมื่อเจ้าทำเช่นนี้ไปแล้วมันก็เท่ากับว่าเจ้าได้ทิ้งโอกาสรอดสุดท้ายของเจ้าไปเรียบร้อย!” ไล้กวนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา

ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภาคนอื่น ๆ ต่างก็มองไปที่มี่ตั้วตั้วอย่างเย็นชา พวกเขาไม่สามารถมองเห็นความลับของเจดีย์เชื่อมเก้าสวรรค์ได้และต่างคนต่างคิดแค่ว่าเจดีย์เชื่อมเก้าสวรรค์ได้ถูกหลอมรวมกับตราคำสั่งของอสูรทมิฬโดยความตั้งใจของมี่ตั้วตั้วเพื่อปกปิดมัน

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้พวกเขาสงสัยคือ ทำไมตราคำสั่งของอสูรทมิฬจึงสามารถหลอมรวมกับสมบัติวิเศษชนิดอื่นได้กัน?

นี่เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน

หม่าตงเฉิงยิ้มเยาะและพูดขึ้น “ตอนนี้ดูเหมือนว่าเราจะต้องกำจัดเขาทิ้งก่อน มิฉะนั้นถ้าเขายังอยู่ พวกเราจะไม่สามารถใช้ตราคำสั่งของอสูรทมิฬได้”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของหม่าตงเฉิง การแสดงออกบนใบหน้าของบรรดาผู้เชี่ยวชาญที่ต้องการตราคำสั่งอสูรทมิฬก็เย็นลง

“เนื่องจากพวกเจ้าทุกคนยืนยันที่จะเสี่ยงตาย ข้าก็จะสนองตามความปรารถนาของพวกเจ้า!”

มี่ตั้วตั้วรู้ว่าเมื่ออสูรทมิฬทั้งสามลงมือ เขาและสำนักเหล่านี้จะเข้าสู่เส้นทางการเป็นศัตรูที่ไม่มีวันหวนคืน แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าสำนักเหล่านี้แข็งแกร่งเพียงใด แต่การที่บรรดาคนจากสำนักเหล่านี้สามารถอยู่ในขอบเขตนภาได้นั้นก็เหมือนเครื่องการันตีความแข็งแกร่งของสำนักเหล่านี้เช่นกัน

ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ต้องการเป็นศัตรูกับเหล่าสำนักที่แข็งแกร่งเหล่านี้ แต่ในเวลานี้เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีกต่อไป ตอนนี้สิ่งที่เขาทำคือมีเพียงแค่ เขาต้องฆ่าพวกมันก่อน ส่วนสำหรับปํญหาการแก้แค้นอื่น ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต เขาจะค่อยคิดถึงเรื่องเหล่านั้นที่หลังหลังจากที่ผ่านหายนะตอนนี้ไปได้แล้ว

มี่ตั้วตั้ว เมื่อตัดสินใจได้เขาพูดกับอสูรทมิฬทั้งสามด้วยน้ำเสียงเคารพ “ผู้อาวุโสทั้งสาม โปรดกำจัดพวกคนเหล่านี้ให้ข้าด้วย!”

อสูรทมิฬทั้งสามมองไปรอบ ๆ และพูดกับ มี่ตั้วตั้ว “เราจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยเจ้า แต่พวกเราเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าเราจะทำได้แค่ไหน”

หลังจากที่อสูรทมิฬทั้งสามพูดจบ ทันใดนั้นทั้งสามตนก็แยกออกเป็นสามทิศทาง และพุ่งเข้าหาผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภาทั้ง 10 คน ทุกคนตึงเครียดเมื่อเห็นอสูรทมิฬทั้งสามพุ่งเข้ามา

ชื่อเสียงของเผ่าอสูรทมิฬสงครามนั้นเป็นที่ทราบกันดีถึงความแข็งแกร่งและความบ้าบิ่นในการต่อสู้

นี่คือเผ่าพันธุ์สงครามที่เกิดมาเพื่อสังหารโดยเฉพาะ และในตอนนี้ นี่คือคู่ต่อสู้ที่พวกเขาต้องเผชิญ

“ทุกคน! ไม่ต้องไปกลัวพวกมัน! อสูรทมิฬพวกนี้อยู่ในระดับเพียงแค่ขอบเขตรวมแสงดาราระดับ 12 และ 13 เท่านั้น ถึงแม้ว่าความแข็งแกร่งของมันจะไม่ต่างอะไรจากผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภาขั้นต้น แต่เวลานี้พวกมันมีกันแค่เพียง 3 ตนเท่านั้น ไม่ว่าพวกมันจะแข็งแกร่งแค่ไหนความแข็งแกร่งโดยรวมของพวกมันก็มีจำกัด พวกเรามีจำนวนมากกว่า ดังนั้นไม่จำเป็นต้องกลัว!”

หวางฟู่ฉีเองในตอนนี้รีบเตือนบรรดาผู้คนรอบ ๆ เช่นกัน “ถ้าพวกท่านยังต้องการมีชีวิตอยู่จงใช้ความแข็งแกร่งทั้งหมดของตัวเองเพื่อต่อต้านอสูรทมิฬ อย่ามัวแต่คิดแย่งชิงตราคำสั่งของมี่ตั้วตั้วแต่เพียงอย่างเดียว ขอให้เวลานี้ทุกคนร่วมมือกันก่อน ตราบใดที่พวกเราทำงานร่วมกันและอดทนต้านทานได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง พวกเราย่อมจะไม่มีปัญหา”

บรรดาผู้เชี่ยวชาญที่มาจากทวีปอื่น ๆ ทุกคนต่างเข้าใจเกี่ยวกับเงื่อนไขการอัญเชิญอสูรทมิฬอย่างชัดเจน พวกเขารู้ว่าระยะเวลาที่อสูรทมิฬถูกอัญเชิญออกมานั้นมันเป็นเวลาเพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น เมื่อหมดเวลาอัญเชิญอสูรทมิฬเหล่านี้ก็จะจากไปเอง

หวางฟู่ฉีกังวลว่าผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภาทั้งสิบนั้นจะไม่สามารถควบคุมความโลภของตัวเองได้ และต่อสู้แบบหวังแย่งชิงสิ่งของจากมี่ตั้วตั้วแต่เพียงอย่างเดียว หากเป็นเช่นนั้นด้วยความแข็งแกร่งของอสูรทมิฬ ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภาธรรมดา ๆ จะไม่สามารถต้านทานมันได้เลย

เมื่อถึงเวลาที่พวกเขาประมาท พวกเขาทั้งหมดอาจจะเป็นฝ่ายที่ถูกฆ่าเสียเองโดยอสูรทมิฬ หวางฟู่ฉีตอนนี้จึงอาศัยชื่อเสียงที่เป็นที่นับหน้าถือตาของคนจำนวนมากเพื่อเตือนสติให้ทุกคนฟัง

อันที่จริงแล้วแม้จะไม่มีคำเตือนของหวางฟู่ฉี ทุกคนก็รู้ดีว่างานที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ไม่ใช่การแย่งตราคำสั่งอสูรทมิฬ แต่เป็นการช่วยกันต้านทานเหล่าอสูทมิฬพวกนี้ก่อนเป็นอันดับแรก

อสูรทมิฬทั้งสาม ไร้ซึ่งความเกรงกลัวผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภาโดยสิ้นเชิงและยังไม่สนใจความจริงที่ว่าระดับการบ่มเพาะของพวกเขาต่ำกว่าถึงหนึ่งขอบเขต ในขณะที่พวกเขาพุ่งเข้าใส่พวกเขาถือว่าทุกคนเป็นศัตรูของพวกเขา

อสูรทมิฬตนหนึ่งเห็นหวางฟู่ฉี ซึ่งกำลังตะโกนพูดอยู่ มันจึงรีบพุ่งเข้าหาและวาดกรงเล็บเข้าหาทันที ซึ่งเป็นขณะเดียวกับที่เจียงเต๋อชิง ผู้ซึ่งอยู่ข้าง ๆ หวางฟู่ฉีเห็นการโจมตีนี้เข้ามาเช่นกัน เจียงเต๋อชิงจึงรีบเหวี่ยงดาบของเขาขึ้นสกัดกรงเล็บแทนไว้ได้ทันท่วงที

แม้ว่าหวางฟู่ฉีจะเป็นที่รู้จักในฐานะจักรพรรดิโอสถ แต่ความแข็งแกร่งของหวางฟู่ฉี นั้นเพิ่งเข้าสู่ขอบเขตนภา ดังนั้นความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของเขานั้นจึงยังไม่มาก ดังนั้นเพื่อปกป้องจักรพรรดิโอสถ เจียงเต๋อชิงจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องตามติดจักรพรรดิโอสถของเขาเพื่อคอยเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน

พวกเขาทุกคนที่อยู่ที่นี่ล้วนเข้าใจจุดแข็งของอสูรทมิฬเป็นอย่างดี ไม่มีใครกล้าใช้ร่างกายเปล่า ๆ ต่อสู้กับอสูรทมิฬ ใครก็ตามที่ใช้มือเปล่าต่อสู้กับอสูรทมิฬนั้นเรียกได้ว่ารนหาที่ตาย นอกจากร่างกายของอสูรทมิฬจะแข็งแกร่งกว่าคนธรรมดาหลายเท่าตัวแล้ว กรงเล็บของพวกมันล้วนมีความแหลมคมเทียบได้กับอาวุธวิเศษระดับวิญญาณขั้นสูงได้เลย

อสูรทมิฬที่กำลังเข้าปะทะเจียงเต๋อชิง เป็นเพียงหนึ่งในสองตนที่ระดับของมันอยู่ที่ขอบเขตรวมแสงดาราระดับ 12

เมื่อดาบของเจียงเต๋อชิงเหวี่ยงเข้าปะทะกับกรงเล็บของอสูรทมิฬตนนั้น ด้วยแรงอันมหาศาลของอสูรทมิฬส่งผลให้แรงการปะทะครั้งนี้ เจียงเต๋อชิงเป็นฝ่ายเสียเปรียบเป็นอย่างมากจนดาบที่อยู่ในมือของเขาถึงกับกระดอนผงะออกไปด้านหลัง เปิดช่องว่างโล่งโจ้งให้กับการโจมตีถัดมาของอสูรทมิฬทันที

เจียงเต๋อชิง ในเวลานี้ที่กำลังเสียการควบคุมร่างกายอยู่นั้นเขาไม่มีทางปัดป้องการโจมตีระลอกใหม่ที่กำลังจะเข้ามาถึงตัวเขาได้เลย กรงเล็บอีกข้างหนึ่งของอสูรทมิฬก็วาดเข้ามาหาตัวเขาอย่างรวดเร็ว

แต่ด้วยความโชคดีที่ยังไม่หมดไปของเจียงเต๋อชิง ซึ่งเวลานี้ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภาที่อยู่ข้าง ๆ เขา ซึ่งเห็นว่าสถานการณ์ไม่ดี เขาจึงรีบพุ่งเข้าหากรงเล็บของอสูรทมิฬและใช้อาวุธระดับวิญญาณของตัวเองตั้งรับไว้แทน

“ขอบคุณ พี่หลิน!” เจียงเต๋อชิงตะโกนขอบคุณอย่างรวดเร็ว

“ด้วยความยินดี!” หลินยู่ตอบกลับ

น่าเสียดายที่ในเวลานี้ต่อให้พวกเขาทั้งสองคน เจียงเต๋อชิงและหลินยู่ เข้าพัวพันกับอสูรทมิฬ แต่ด้วยความแข็งแกร่งและยืดหยุ่นเกินไปของเผ่าพันธุ์ที่เกิดมาเพื่อสงครามเผ่านี้ ส่งผลให้พวกเขานั้นไม่ได้กุมความได้เปรียบใด ๆ เลยแม้แต่น้อย พวกเขาสองคนต่างลุกลี้ลุกลนกับการหลบโจมตีของมัน พวกเขาไม่กล้าประมาทปล่อยให้การโจมตีของอสูรทมิฬสัมผัสร่างกายของพวกเขาได้ มิฉะนั้นเพียงแค่การโจมตีเดียวพวกเขาอาจจะได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือไม่อาจจะถึงขั้นเสียชีวิตเลยก้เป็นได้

ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภาอีกคนที่มองการต่อสู้อยู่นั้น เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ของทั้งสองเริ่มไม่ค่อยน่ามอง เขาจึงรีบเข้ามาสมทบทันที จากนั้นทั้งสามก็ทำงานร่วมกันเพื่อต้านทานอสูรทมิฬที่อยู่ในขอบเขตขอบเขตรวมแสงดาราระดับ 12 จนในที่สุดพวกเขาก็สามารถสกัดอสูรทมิฬตนนี้ได้อย่างง่ายดาย

พ่อเลี้ยงยอดเซียน

พ่อเลี้ยงยอดเซียน

Status: Ongoing

พ่อเลี้ยงยอดเซียนเรื่องย่อ พ่อเลี้ยงยอดเซียน

ไม่นึกเลยว่าอารมณ์ทั้งเจ็ดจะมีผลต่อการบ่มเพาะเช่นนี้!

ในชาติที่แล้วอีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้นข้าจะกลายเป็นนิรันดร์กาล!

ข้ายอมสละอารมณ์ทั้งเจ็ดเพื่อความเป็นนิรันดร์ แต่ท้ายที่สุดข้ากลับต้องเผชิญกับทางตัน วิถีไร้อารมณ์นั้นบกพร่อง!

ในเมื่อวิถีไร้อารมณ์ไม่สามารถพาข้าก้าวข้ามไปถึงขอบเขตนิรันดร์กาล ข้าต้องกลับไปจุติใหม่! ในชีวิตหน้าข้าจะเปลี่ยนวิถี! ในชีวิตหน้าข้าจะฟื้นฟูอารมณ์ทั้งเจ็ดของข้า!

ชาติหน้าข้าจะโอบรับพวกมันทั้งหมด

ความรัก ความชัง ปรารถนา โศกศัลย์ ยินดี เดือดดาล สุขสันต์

ครั้งนี้ข้าจักต้องไม่พลาด รอบนี้ข้าจักต้องให้ทุกสรรพสิ่งขนานนามข้าว่า ‘ไร้เทียมทาน!’

จักรพรรดิเซียนไร้อารมณ์ ผู้แสวงหาความเป็นนิรันดร์ ตัดสินใจจุติใหม่ แต่แล้วเหตุการณ์กลับตาลปัตร เมื่อยามที่เขาลืมตาดูโลกขึ้นอีกครั้ง เขากลับจุติอยู่ในร่างของชายหนุ่มอายุยี่สิบห้าปี ที่สำคัญชายผู้ที่เขาลงมาจุติในร่างกลับอุปการะบุตรบุญธรรมไว้แล้วถึงเจ็ดคน! และเด็กทุกคนกลับมีความสามารถท้าทายสวรรค์!

————————————————————-

ขั้นพลัง

ขอบเขตหลอมรวมลมปราณ

ขอบเขตควบแน่นลมปราณ

ขอบเขตประสานทะเลลมปราณ

ขอบเขตรวมแสงดารา

ขอบเขตนภา (ขั้นต่อไปถัดจากขอบเขตรวมแสงดารา)

ขอบเขตครึ่งสวรรค์ (ขอบเขตนภาระดับ12-13)

ขอบเขตสวรรค์

– สวรรค์สามัญ

– หลุดพ้นสามัญ

ขอบเขตเหนือสวรรค์

ขอบเขตราชัน

ขอบเขตจักรพรรดิ

ขอบเขตเร้นลับ

ขอบเขตจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ (ระดับการบำเพ็ญเพียรของหลิงตู้ฉิงในชาติก่อน)

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท