บทที่ 150 ค่าไถ่[รีไรท์]
ในความคิดของผู้เชี่ยวชาญทุกคน ตัวตนของผู้เชี่ยวชาญอักขระเวทย์นั้นน่ากลัวกว่าตัวประหลาดที่มี่ตั้วตั้วเรียกมาต่อสู้แทนเสียอีก
ผู้เชี่ยวชาญอักขระเวทย์เป็นกลุ่มคนประหลาด ตราบเท่าที่พวกเขาบรรลุการใช้งานของพลังแห่งกฎได้ ผู้เชี่ยวชาญอักขระเวทย์เหล่านี้จะมีความแข็งแกร่งที่ไม่มีใครเทียบได้
ทุกคนต่างคร่ำครวญในใจ ถ้าพวกเขารู้ว่าหลิงตู้ฉิงคือผู้เชี่ยวชาญอักขระเวทย์ แน่นอนว่าพวกเขาจะไม่กล้าเหยียบย่างเข้ามาในคฤหาสน์สราญรมย์แม้เพียงครึ่งก้าว
หลิงตู้ฉิงไม่ได้สนใจอะไรกับบรรดาคนอื่น ๆ ที่กำลังโวยวายหาว่าเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญอักขระเวทย์ เขาจ้องมองไปที่หลัวเจิ้ง และพูดว่า “เจ้าลงมือกับข้าสองครั้ง ข้านับเจ้า 2 แต้ม ลงมือกับประตูข้า 1 ครั้ง ข้านับอีก 1 แต้ม เหยียบเข้ามาที่นี่ 1 ครั้งโดยไม่ได้รับอนุญาต ข้าก็นับอีก 1 แต้ม และเพื่อซื้อชีวิตของเจ้า ข้าก็จะนับเจ้าเพิ่มอีก 1 แต้ม ทุกแต้มที่ข้าคิดกับเจ้านั่นหมายถึง เจ้าต้องมอบสิ่งของล้ำค่าระดับสูงทุกชนิด 1 ชิ้น ตอนนี้เจ้าติดแต้มกับข้าอยู่ 5 แต้ม ด้วยดาบกิเลนร่ำไห้ของเจ้าข้าหักให้ 1 แต้ม ส่วนอีก 4 แต้มที่ยังเหลืออยู่ หากเจ้าไม่นำสมบัติของเจ้าออกมาให้ข้า ข้าจะจับเจ้าทำหุ่นเชิดให้ไปเฝ้าหน้าประตูคฤหาสน์ของข้าซะ ในอนาคตประตูของข้าจะได้ถูกผู้คนพังยากขึ้นอีกสักหน่อย!”
ใบหน้าของหลัวเจิ้งซีดลงขณะที่เขาพูดว่า “นี่เจ้ากล้าขู่ข้างั้นเหรอ? ข้า หลัวเจิ้ง เป็นศิษย์หลักของหมู่บ้านดาบศักดิ์สิทธิ์ อาจารย์ของข้าเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับจุดสูงสุดขอบเขตนภา หากเจ้ากล้าทำอะไรข้าแม้แต่ปลายเล็บ อาจารย์ของข้า สำนักของข้าจะต้องไม่ปล่อยเจ้าไว้อย่างแน่นอนต่อให้เจ้าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญอักขระเวทย์ก็ตาม!”
หลิงตู้ฉิงมองไปยังหลัวเจิ้งด้วยสายตาเฉยเมยและพูดว่า “งั้นข้าจะรอการมาเยือนของอาจารย์เจ้าในอนาคตก็แล้วกัน เอาล่ะเอาบรรดาสิ่งของมีค่าของเจ้าออกมาได้แล้ว เจ้ายังติดข้าอยู่อีก 4 ชิ้น หากเจ้าไม่นำพวกมันออกมาให้ข้า ข้าจะทำให้เจ้ากลายเป็นหุ่นเชิดตอนนี้ทันที”
หลัวเจิ้งที่เห็นว่าคำขู่ของเขานั้นใช้ไม่ได้ผลกับหลิงตู้ฉิงแม้แต่น้อยและยังเห็นแววตาเอาจริงของหลิงตู้ฉิง เขาครุ่นคิดอยู่นานสองนานจากนั้นจึงกัดฟันพูดออกมาด้วยความขมขื่น
“ได้!”
พูดจบ หลัวเจิ้งจึงหยิบสิ่งของออกมาจากแหวนมิติขึ้นมา 3 ชิ้นด้วยกัน
หลัวเจิ้งพูดชื่อของพวกมันอย่างขมขื่น “โสมโลหิตอายุเจ็ดพันปีนับเป็น 1! แก่นแท้เลือดสัตว์วิเศษขอบเขตนภาระดับ 7 นับเป็นอีก 1 แต้ม และสุดท้าย….ผลึกดารา ผลึกชิ้นนี้เจ้าต้องนับให้ข้า 2 แต้ม!”
เมื่อหลัวเจิ้งพูดชื่อผลึกดาราจบ เขากระอักเลือดออกมาจากมุมปากของเขาทันที
ผลึกดาราชิ้นนี้กว่าที่เขาจะได้รับมันมานั้นยากเป็นอย่างยิ่ง แต่ตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว เนื่องจากสิ่งของล้ำค่าในตัวของเขามีเหลืออยู่เพียงเท่านี้จริง ๆ
หลิงตู้ฉิงบังคับให้ผลึกดาราลอยมายังมือของเขา เขามองไปที่มันด้วยความสนใจและถามกับหลัวเจิ้งว่า “เจ้ายังมีมันอีกสักก้อนไหม ถ้าเจ้ามีมันอีกก้อนหนึ่ง เจ้าสามารถเอาดาบกิเลนร่ำไห้กับของอีก 2 อย่างของเจ้ากลับไปได้เลย”
หลัวเจิ้งเมื่อได้ยินเช่นนั้น ด้วยความโมโหเขากระอักเลือดออกมาอีกครั้งหนึ่งและเป็นลมหมดสติไปทันที
เมื่อเห็นหลัวเจิ้งหมดสติไป หลิงตู้ฉิงส่ายหัวด้วยความเหนื่อยใจและเดินไปเตะหลัวเจิ้งให้ลอยกระเด็นออกไปจากคฤหาสน์ห่างออกไปนับสิบลี้ทันที
จากนั้นหลิงตู้ฉิงก็หันกลับไปมองคนอื่น ๆ ที่ยังโดนตรึงอยู่กับที่
ทุกคนตัวสั่นเมื่อเห็นหลิงตู้ฉิงจ้องมองพวกเขา
กระทั่งผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดาราระดับ 11 ยังถูกปล้นเช่นนี้และถึงกับอาเจียนเป็นเลือดด้วยความโกรธ
แล้วพวกเขาล่ะ? ชะตากรรมพวกเขาจะเป็นอย่างไรต่อ?
หลิงตู้ฉิงตะโกนขึ้นไปยังพวกเขา “ทุกคนฟังข้า! เนื่องจากพวกเจ้าบุกรุกเข้ามาในคฤหาสน์ของข้าโดยไม่ได้รับอนุญาต ฉะนั้นพวกเจ้าต้องถูกปรับเป็นสิ่งของมีค่าระดับสูง 1 ชิ้น! และถ้าหากในกรณีที่พวกเจ้ามีสิ่งของตรงตามกับเราการที่ระบุอยู่ในแผ่นหินที่หน้าคฤหาสน์ พวกเจ้ายังสามารถถามทุกอย่างที่พวกเจ้าต้องการอยากรู้กับข้าได้หนึ่งคำถามหรือพวกเจ้าจะเลือกเป็นโอสถกำเนิดรากฐานก็ได้เช่นกัน!”
ผู้เชี่ยวชาญหญิงคนหนึ่งที่โดนตรึงอยู่ตะโกนถามสวนขึ้นว่า “แล้วพวกเราต้องทำยังไงหากพวกเราไม่มีสิ่งของล้ำค่าให้ท่าน?”
หลิงตู้ฉิงพูดว่า “ในเมื่อพวกเจ้าแต่ละคนเป็นคนจากสำนักต่าง ๆ ข้าเชื่อว่าการมาเยือนที่อาณาจักรจันทรานี้พวกเจ้าคงไม่ได้มากันแค่สำนักละหนึ่งคนอยู่แล้ว ฉะนั้นข้าสามารถให้โอกาสสำหรับคนที่ไม่มีสิ่งของล้ำค่าระดับสูง ให้ใช้คริสตัลสื่อสารติดต่อคนในสำนักของพวกเจ้ามาไถ่ตัวพวกเจ้าได้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นบรรดาผู้คนที่โดนตรึงอยู่จึงพากันครุ่นคิดชั่งใจว่าจะเอายังไงต่อดี พวกเขาควรที่จะติดต่อหาคนในสำนักตัวเองให้ใช้กำลังร่วมกันรับมือหลิงตู้ฉิงและช่วยพวกเขาออกไปดีไหม? หรือจะยอมมอบสิ่งของล้ำค่าให้กับหลิงตู้ฉิงดี?
ผู้เชี่ยวชาญหญิงที่ถามคำถามเมื่อสักครู่นางเป็นคนแรกที่หยิบสมุนไพรระดับสูงที่นางหามาด้วยความยากลำบากออกมา นางครุ่นคิดเป็นอย่างดีแล้ว จากที่นางเห็นความแข็งแกร่งของหลิงตู้ฉิงต่อให้นางเรียกคนจากสำนักนางมาช่วย มันก็คงจะไม่มีประโยชน์อะไร กลับจะเป็นการเพิ่มคนมาให้หลิงตู้ฉิงรีดไถเพิ่มซะเปล่า ๆ
หลิงตู้ฉิงที่เห็นว่าตอนนี้มีเพียงคนเดียวที่ยอมมอบ ‘ค่าไถ่’ ตัวมาให้เขา เขาจึงตะโกนขึ้นอีกครั้ง “เร็วเข้าถ้าพวกเจ้าไม่รีบ และทำให้ข้าเสียเวลามากไปกว่านี้ ข้าจะให้พวกเจ้ามอบของให้ข้าเป็น 2 ชิ้นแทน!”
เมื่อได้ยินคำขู่ของหลิงตู้ฉิง บรรดาผู้คนที่บุกเข้ามาก็รีบหยิบสิ่งของล้ำค่าออกมาด้วยความลนลาน
แค่ต้องจ่ายค่าไถ่ตัวเองเป็นของ 1 ชิ้นพวกเขายังเจ็บปวดใจแทบตาย ถ้าหากพวกเขาต้องจ่ายเพิ่มเป็น 2 ชิ้นแล้วล่ะก็ พวกเขาคงหมดสติไปด้วยความเสียใจเหมือนกับหลัวเจิ้งแน่นอน
ผู้คนที่ส่งมอบวัสดุขั้นสูงของพวกเขาให้หลิงตู้ฉิงต่างก็หดหู่ใจ แต่ละคนเดินออกจากคฤหาสน์ไปอย่างเศร้าโศก เหลือเพียง 4 คนที่ยังคงโดนตรึงอยู่กับที่เนื่องจากว่าพวกเขาไม่มีวัสดุระดับสูงหรือของล้ำค่าใด ๆ ติดตัวมาเลย หนึ่งในสี่คนคือสตรีผู้หนึ่งที่กำลังมีน้ำตาไหลอาบใบหน้าและชายหนุ่มอีก 3 คนที่แสดงสีหน้าไม่พอใจ
เมื่อมองไปที่พวกเขาทั้ง 4 คน หลิงตู้ฉิงก็พูดกับพวกเขาว่า “พวกเจ้าสามารถติดต่อผู้คนในสำนักของเจ้าได้และขอให้พวกเขานำวัตถุดิบขั้นสูงหรือสิ่งของล้ำค่ามาให้ข้า”
เมื่อพูดจบหลิงตู้ฉิงโบกมือสร้างกำแพงปิดกั้นเสียงไม่ให้ชายทั้งสามคนนั้นได้ยินอะไรภายนอก จากนั้นหลิงตู้ฉิงจึงพูดกับสตรีที่ยืนร้องไห้ว่า “แม่นาง สำหรับเจ้าพิเศษกว่าคนอื่น ถ้าเจ้าเต็มใจที่จะให้เลือดของเจ้ากับข้า 1 ขวด ข้าจะปล่อยเจ้าออกไปจากที่นี่ แต่ถ้าหากเจ้าให้ข้า 2 ขวด ข้าจะให้เจ้าถามคำถามที่เจ้าต้องการอยากรู้มา 1 ข้อ!”
ชายอีกสามคนที่โดนตรึงอยู่ พวกเขาเริ่มที่จะติดต่อไปหาผู้อาวุโสสำนักเดียวกันของพวกเขา เพื่อที่จะให้นำของล้ำค่ามาไถ่ตัวพวกเขาออกไปจากที่นี่ และพวกเขายังได้เล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในคฤหาสน์รวมไปถึงความน่ากลัวของหลิงตู้ฉิงที่เป็นผู้เชี่ยวชาญอักขระเวทย์ รวมถึงย้ำเตือนให้ผู้อาวุโสของพวกเขาว่าห้ามย่างก้าวเข้ามาเหยียบภายในบริเวณคฤหาสน์เด็ดขาด ไม่เช่นนั้นผู้อาวุโสของพวกเขาอาจจะต้องจ่ายค่าไถ่ของพวกเขาเองเพิ่มอีกคนละชิ้น
สำหรับสตรีที่กำลังร้องไห้อยู่นั้น เมื่อนางได้ยินข้อเสนอที่หลิงตู้ฉิงกล่าว นางจึงเงยขึ้นมองไปยังใบหน้าของเขาด้วยอาการตกตะลึง
นางตกตะลึงและสงสัยว่าหลิงตู้ฉิงถึงต้องการเลือดของนางไปทำอะไร? หรือว่าเลือดของนางจะมีค่ามาก?
“หากเจ้าตกลง สิ่งที่เจ้าต้องทำเพียงแค่พยักหน้า แต่ถ้าหากเจ้าปฏิเสธ เจ้าก็จงติดต่อไปหาผู้อาวุโสของเจ้าให้มาไถ่ตัวเจ้ากลับไป” หลิงตู้ฉิงพูดขึ้น
สตรีนางนั้นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นจึงพยักหน้า
หลังจากเห็นสตรีนางนั้นพยักหน้าตกลง หลิงตู้ฉิงจึงเรียกให้นางเดินตามเขาเข้าไปในคฤหาสน์
เมื่อเข้ามาด้านในโถงรับรองแขก หลิงตู้ฉิงจึงนำเก้าอี้มาให้นางนั่งลงตรงข้ามกับเขา
หลังจากทั้งคู่นั่งประจันหน้ากัน หลิงตู้ฉิงจึงเอ่ยถามขึ้น “เจ้าชื่อว่าอะไร?”
สตรีนางนั้นก้มหน้าและตอบว่า “ข้าชื่อ โจวจื่อซิน”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า จากนั้นเขาจึงนำขวดหยกใบเล็กเท่ากับกำปั้นออกมาจากแหวนมิติ และส่งสัญญาณให้นางกรีดเลือดของนางลงไปในมัน
เมื่อโจวจื่อซินเห็นว่าขวดที่หลิงตู้ฉิงนำออกมาไม่ใหญ่อย่างที่นางคิด นางจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ในตอนแรกนางกังวลเป็นอย่างมาก ว่าหลิงตู้ฉิงจะนำขวดใบใหญ่ออกมา ไม่เช่นนั้นนางคงอาจจะเสียเลือดตายได้
หลิงตู้ฉิงที่ได้กลิ่นเลือดของโจวจื่อซินที่กำลังหลั่งลงไปในขวด เขาพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
หลังจากโจวจื่อซินกรีดเลือดของนางลงในขวดจนเต็มแล้ว นางจึงถามขึ้นทันทีว่า “ข้าสามารถถามคำถามอะไรก็ได้ใช่ไหม หากข้าให้เลือดของข้ากับท่านอีก 1 ขวด?”
เหตุผลที่นางถามคำถามนี้นั่นก็เพราะ ในระหว่างที่นางกำลังหลั่งเลือดลงไปในขวดนางได้ลอบสังเกตเห็นสายตาของหลิงตู้ฉิงที่ดูเบิกบานอย่างมีความสุขเมื่อมองไปยังเลือดของนางที่อยู่ในขวด
เมื่อดูจากสายตาของหลิงตู้ฉิง นางรู้ได้ทันทีว่าเลือดของนางนั้นต้องมีคุณค่าอะไรสักอย่างเป็นอย่างมากและหลิงตู้ฉิงจะต้องรู้แน่นอนว่าเลือดของนางมันมีค่ายังไง นางจึงเลือกที่จะใช้โอกาสที่หลิงตู้ฉิงเคยยื่นข้อเสนอให้นางถามคำถามอะไรก็ได้หากนางให้เลือดเขา 2 ขวด เพื่อหาคำตอบว่าเลือดของนางมันมีค่ายังไงกันแน่จากเขา
“ใช่แล้ว” หลิงตู้ฉิงตอบพลางรีบนำขวดหยกอีกใบหนึ่งออกมาจากแหวน
เมื่อนางเติมเลือดลงไปในขวดหยกอีกขวดจนเต็ม นางจึงเริ่มถามคำถามของนางว่า “ข้าต้องการรู้ว่าเลือดของข้ามันมีอะไรพิเศษ!”
เมื่อได้ยินคำถามนี้ หลิงตู้ฉิงยิ้มและตอบว่า “สายเลือดของเจ้าเรียกว่าสายเลือดพฤกษาสวรรค์ ถ้าข้าเดาไม่ผิดบรรพบุรุษต้นตระกูลของเจ้าน่าจะเป็นเผ่าภูตพฤกษาสวรรค์ เลือดของเจ้านั้นมีคุณสมบัติพิเศษเป็นอย่างมาก มันสามารถนำไปใช้เป็นส่วนผสมของโอสถเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของโอสถนั้น ๆ ได้ หรือถ้าหากตัวเจ้าได้รับการบ่มเพาะไปจนถึงระดับขอบเขตนภาแล้ว และมีผู้ล่วงรู้ว่าสายเลือดของเจ้าคือสายเลือดพฤกษาสวรรค์ เจ้าอาจจะถูกจับหลอมให้กลายเป็นโอสถมนุษย์ได้ ซึ่งโอสถมนุษย์ที่หลอมขึ้นด้วยร่างของเจ้านั้น ระดับของมันจะเทียบเท่าได้กับโอสถระดับสวรรค์เลยทีเดียว ฉะนั้นเจ้าไม่ควรจะให้ใครก็ตามได้ล่วงรู้ถึงความลับของสายเลือดเจ้า เจ้าเข้าใจไหม?”
โจวจื่อซินสีหน้าเปลี่ยนเป็นหวาดกลัวทันทีหลังจากได้ยินคำตอบของหลิงตู้ฉิง
นางนั่งตัวสั่นก้มหน้าเงียบไปได้สักพัก จากนั้นนางจึงเงยหน้าขึ้นและพูดกับหลิงตู้ฉิงว่า “หากข้าต้องการให้ท่านช่วยข้าฝึกฝนจนถึงระดับที่ข้าไม่จำเป็นต้องหวาดเกรงว่าผู้เชี่ยวชาญคนไหนจะจับเอาตัวข้าไปหลอมทำยา ข้าต้องแลกด้วยอะไร?”
หลังจากที่นางครุ่นคิดอยู่เมื่อครู่ นางก็เริ่มตระหนักอะไรได้หลายสิ่งหลายอย่างที่ผ่านมา นางได้ครุ่นคิดถึงการที่นางได้รับการปฏิบัติจากสำนักที่ดีต่อนางมากกว่าศิษย์คนอื่น ๆ อย่างคนละระดับ นางนั้นได้ทั้งทรัพยากรบ่มเพาะมากกว่าคนอื่นหลายเท่า และที่สำคัญเคล็ดการบ่มเพาะที่นางฝึกยังแตกต่างจากศิษย์คนอื่น ๆ เคล็ดการบ่มเพาะของนางจะเน้นการบ่มเพาะเกี่ยวกับการทำให้โลหิตของนางแข็งแกร่งและบริสุทธิ์ขึ้นโดยเฉพาะ
ตอนนี้นางเริ่มเข้าใจได้ราง ๆ แล้วว่าอันที่จริง สำนักของนางเองน่าจะเริ่มละแคะระคายเกี่ยวกับเรื่องสายเลือดของนางมาก่อนหน้านี้แล้วแน่นอน