ตอนที่ 129 สวรรค์และมนุษย์
วันเวลาในการบ่มเพาะพลังช่างเปล่าเปลี่ยวอย่างไม่น่าเชื่อ ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นและตกลง;หมู่เมฆรวมตัวและแตกกระจายไป เซียวเฉินราวกับรูปปั้น,ไม่เคลื่อนไหว หลังจากครึ่งเดือน สัญลักษณ์ค่ายกลเริ่มแตกร้าวอย่างช้าๆ,หินวิญญาณขั้นกลางทั้งหมดสิบชิ้นกลายเป็นฝุ่นผง
“บูม!” เซี่ยวเฉินลืมตาของเขาและยิงลําแสงสีม่วงออกมา หลังจากบ่มเพาะพลังอย่างสาหัสและตั้งตนรู้แจ้งมามากกว่าหนึ่งเดือน,บวกกับการบ่มเพาะพลังที่เขาฝึกในค่าย กลรวบรวมจิตวิญญาณ,ในที่สุดเขาก็มาถึงระดับขอบเขตเชี่ยวชาญยุทธขั้นสูงสุด
มีรอยยิ้มบางๆบนใบหน้าของเซี่ยวเฉินในที่สุดเขาก็มีสีหน้าพึงพอใจ อย่างไรก็ตาม เมื่อเขานึกขึ้นได้ว่าจี้ชาง คงก้าวขึ้นสู่ระดับขอบเขตนักบุญเมื่อนานมาแล้วได้เช่นไรและผู้สืบทอดของตระกูลชั้นสูงพร้อมจิตวิญญาณยุทธที่ตกทอดผู้ที่อยู่ระดับขอบเขตปรมจารย์ขั้นสูงสุด,เขาก็หมดกําลังใจอย่างช่วยไม่ได้
**จิตวิญญาณต่อสู้ เปลี่ยนเป็นจิตวิญญาณยุทธนะครับ
หากเพียงแค่เขาเป็นเหมือนคนพวกนั้น,ปลุกจิตวิญญาณยุทธของเขาขึ้นมาได้ตั้งแต่กําเนิดจากนั้นเขาไม่จําเป็นต้องเสียเวลาไปกว่า 15 ปี ด้วยพรสวรรค์ของเขา,ระดับการบ่มเพาะพลังของเขาจะต้องไม่ด้อยไปกว่าคนพวกนั้น
“บูม!”
เรือสงครามขนาดมหึมาค่อยๆลงจอดบนยอดเขา หลังจากที่ฟื้นฟูด้วยสายฟ้ามาเป็นเวลา 49 วัน,สมบัติลับชิ้นนี้ฟื้นคืนกลับไปอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ที่สุดของมัน
อย่างไรก็ตามเรือสงครามขนาดยักษ์ลํานี้ช่างดูประเจิดประเจ้อ เพียงความนึกคิดของเซี่ยวเฉิน,ธงบนหัวเรือลอยไปที่ดวงตาของเซียวเฉินและเรือสงครามก็หดขนาดลงอย่างรวดเร็ว
หลังจากผ่านไปไม่นานเรือสงครามสีเงินขนาดเล็กปรากฏขึ้น เซี่ยวเฉินยิ้มบางๆและกระโดดขึ้นไปบนเรือขนาดเล็ก เขามองไปยังเมืองไปสู่ยที่อยู่ไกลออกไปและพูดขึ้น เบาๆ “ได้เวลากลับไปแล้ว!”
ค่ายกลเริ่มทํางาน,และเรือสงครามสีเงินลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า มันไหลไปตามสายลมและรวดเร็วราวกับสายฟ้าเร็วกว่าคาถาแรงโน้มถ่วงของเซี่ยวเฉินไปหลายเท่าตัว
สายลมคํารามอยู่ในหูของเซี่ยวเฉิน เซี่ยวเฉินยืนอยู่ที่หัวเรือและมือของเขาไพล่ไปข้างหลังเสื้อผ้าหน้าผมของเขาไหวไปตามสายลม ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาเผยความสุขุม,มีความรู้สึกคลุมเครือของความอมตะ
เซี่ยวเฉินรู้สึกตื่นเต้นอย่างมากเขาไม่เคยบินได้รวดเร็วและนุ่มนวลได้เช่นนี้มาก่อน ทุกอณูในร่างของเขาผ่อนคลาย
ในที่สุด เซี่ยวเฉินลดความเร็วลงและเพิ่มระดับความสูงของเรือ,หลบเลี้ยงสัตว์อสูรวิญญาณประเภทปีกทั้งหลาย เขานั่งลงบนหัวเรือและหยิบเอาขวดเหล้า,รวมถึงของขบเคี้ยวอีกเล็กน้อยออกมาจากแหวนห้วงจักรวาล เขาเพลิดเพลินไปกับเหล้าและอาหาร
สายฝนที่ตกลงมากว่าหนึ่งเดือนได้หยุดลงดวงอาทิตย์หลังฝนนําความอบอุ่นเข้ามา เซียวเฉินเพลิดเพลินไปกับสายลมพร้อมกับกระดกเหล้าและกินของขบเคี้ยวของเขา เขาเผยรอยยิ้มพึ่งพอใจพร้อมกับมองไปยังทิวทัศน์รอบตัวของเขา
ในจังหวะนี้เอง ในที่สุดเขาได้เรียนรู้ว่ามันจะเป็นเช่นไร เมื่อมีความเป็นอมตะ, พเนจรไปรอบโลกพร้อมเหล้าสุรา,มองดูหมู่เมฆรวมตัวและแตกสลาย,บุปผาผลิบานและร่วงโรย,มองดูทั่วทั้งอาณาจักรทุกวันและคืนรู้สึกอิสระและเสรี
เซี่ยวเฉินนั่งบนหัวเรือ,ท่องไปบนฟ้าสูง ขณะที่เขากําลังจะพ้นเขตป่าอํามหิต,สัมผัสวิญญาณของเซียวเฉินตรวจจับเรือสีดําด้านล่างของเขาได้
เซี่ยวเฉินรู้สึกประหลาดใจ เขารีบเพิ่มระดับความสูงของเรือและตรวจสอบโดยรอบของเขาอย่างระมัดระวัง หลังจากนั้นครู่หนึ่ง,ราชวังน้ำแข็งลึกล้ำของตระกูลต้วนมู่เรือรบสีทองของขุนนางกุยยี่,และเรือรบทมิฬของตระกูลฮวาต่างปรากฏตัวขึ้น
เซี่ยวเฉินเผยรอยยิ้มบางเบา “คนพวกนี้ช่างอุตสาหะ เป็นเวลามากกว่าหนึ่งเดือนแล้ว และพวกเขายัง ม่กลับออกไปอีก”
“ฮู่ ชี!”
เรือสงครามสีเงินทันใดนั้นก็เพิ่มความเร็ว เซี่ยวเฉินขยับจากหัวเรือไปที่ท้องเรือ เขาควบคุมค่ายกลของสมบัติลับด้วยพลังทั้งหมดของเขา
สมบัติลับโบราณทันใดนั้นก็แสดงให้เห็นถึงความรวดเร็วอันน่าสะพรึง มันกลายเป็นแสงสีเงินและมุ่งหน้าตรงไปที่เมืองไปสุ่ยด้วยความรวดเร็วมหาศาล
เมื่อมันได้ระยะห่างหนึ่งพันเมตรจากเมืองไปสุ่ย, เซี่ยวเฉินก็หยุดเรือสงครามสีเงินไว้บนท้องฟ้า เขาไม่ได้เร่งรีบที่จะลงไปข้างล่าง
เขาสามารถจินตนาการได้ถึงสถานการณ์ภายในเมืองไป สุ่ยโดยไม่ต้องไปเสียเวลาคิดให้เยอะ ใบประกาศค่าหัวของเขาจะต้องแปะไว้ทั่วทุกมุมเมือง ค่าหัวที่เหล่าตระกูลชั้นสูง ทั้งหลายแปะไว้บนหัวเขา, อย่างไม่ต้องสงสัย,มันมากเกินกว่าที่ตระกูลเจียงสามารถทําได้
เซี่ยวเฉินนึกขึ้นได้ว่าในตําราบ่มเพาะพลังมีคาถาเปลี่ยนลักษณ์ เมื่อฝึกฝนไปถึงขั้นสมบูรณ์สุดยอดเขาจะสามารถเปลี่ยนกายไปเป็นสิ่งของได้มากมายะภูเขาสูงหรือธาร น้ำไหล, อสูรปีศาจประเภทปีกหรือสิ่งมีชีวิตบนบก,หรือแม้แต่ดวงอาทิตย์ จันทรา,หรือดวงดารา
เซี่ยวเฉินคิดว่ามันช่างมีประโยชน์ในสถานการณ์เช่นนี้ เซี่ยวเฉินไม่ได้คาดหวังว่าจะสําเร็จไปถึงขั้นระดับตํานาน; ทั้งหมดที่เขาต้องการมีเพียงแค่สามารถเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาของเขาเล็กน้อยเท่านั้น
ในไม่ช้า, ดวงอาทิตย์จมลงขอบฟ้า:มันเริ่มค่ํามืด เซี่ยวเฉินฝึกฝนคาถาเปลี่ยนลักษณ์ถึงระดับแรกเริ่มเรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตาม,เขาก็ยังไม่คุ้นชินกับมัน;เขาไม่สามารถเปลี่ยนความสูงหรือรูปร่างของเขาได้
ตั้งแต่ที่ทักษะอัสนีม่วงศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาถึงชั้นที่สาม, เขาสามารถฝึกฝนคาถาขั้นรองส่วนใหญ่ในตําราบ่มเพาะพลังได้หมด อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ได้มีเวลาไปศึกษา เป็นผลให้เซี่ยวเฉินต้องมาเรียนเอาหน้างานในตอนที่เขาจําเป็นต้องใช้คาถาเปลี่ยนลักษณ์
จันทร์เต็มดวงลอยสูงบนท้องฟ้า,ล้อมรอบด้วยดวงดาวนับไม่ถ้วน เซี่ยวเฉินเปลี่ยนกายเป็นชายกลางคนผิวคล้ำ เขาจะใช้ท้องฟ้ายามค่ําคืนแอบเข้าไปในเมืองไปสุ่ย
“ก้อง! ก๊อง!”
ในจังหวะนั้นเอง,หยกวิญญาณสีเลือดบนหน้าอกของเซี่ยวเฉินทันใดนั้นก็ขยับ เซี่ยวเฉินรู้สึกปิติยินดี หลังจากนั้นไม่นาน เสี่ยวไป๋ก็กระโดดออกมาจากหยกวิญญาณสีเลือด
หลังจากที่หลับลึกไปเป็นเวลานาน
ในจังหวะที่เสี่ยวไปกระโดดออกมามันกระโดดขึ้นไปในอ้อมกอดของเซี่ยวเฉินในทันที มองเห็นเซี่ยวเฉินที่ตัวดําคล้ำ,มันไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นมันมองไปที่เซี่ยวเฉินด้วยดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความไม่ไว้วางใจ
เซี่ยวเฉินยิ้มออกมาอย่างเป็นสุขและกลับคืนรูปร่างเดิม เสี่ยวไป๋กลายเป็นคุ้นเคยในทันทีเซี่ยวเฉินยิ้มขึ้น “ในตอนนี้ข้าถูกไล่ล่าโดยพวกคนไม่ดีและไม่อาจเผยรูปร่างหน้าตาที่แท้จริงได้ เจ้าควรหลบซ่อนอยู่ในหยกวิญญาณสีเลือดไปก่อนเข้าจะเลี้ยงข้าวต้มปลาเจ้าที่หลัง”
เสี่ยวไปพยักหน้าท่าทางน่ารัก มันกุมอุ้งเท้าของมันราวกับกําลังถือชามใบใหญ่ มันหมายความว่าอยากจะกินข้าวต้มปลาชามโตขนาดเท่านี้ ช่างน่ารักเป็นที่สุด:เซี่ยวเฉินหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้
เซียวเฉินขยายสัมผัสวิญญาณของเขาออกไปและพบสถานที่ไร้ผู้คน จากนั้นเขาก็ลดระดับลงมาจากท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว,กลายร่างเป็นชายกลางคนผิวสีดําเหมือเมื่อครู่ ตอนนี้เขาดูแตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง เขามุ่งหน้าเดินตรงไปที่ประตูเมืองอย่างวางมาด
มีใบค่าหัวของเซียวเฉินหกแผ่นแปะอยู่บนกําแพงเมือง ใต้แผ่นประกาศจับแต่ละแผ่นมีรายการรางวัลจับมหาศาล นอกจากเงิน,ตระกูลชั้นสูงแต่ละตระกูลยังเสนออาวุธวิญ ญาณและทักษะต่อสู้ระดับสูง
ที่ทําให้เซี่ยวเฉินต้องประหลาดใจก็คือใบป ระกาศจับจากตระกูลหยานจากเขตซีเขอ เขาส่ายหัวไปมาอย่าช่วยไม่ได้ “เมื่อตระกูลชั้นสูงลงมือ,พวกเขาช่างลงมือได้ เผด็จการเหลือเกิน”
“เขตตงหมิง,เขตซี่เขอ,เขตหนานหลิง และสํานักหลวง,ข้าถูกประกาศจับในสี่เขตของอาณาจักรต้าฉินดูเหมือจะไม่มีที่ให้เขายืนอีกต่อไปแล้ว”
เซี่ยวเฉินเข้าไปในเมืองไปสู่ยและมุ่งตรงไปที่ศาลาหลับไหล ในขณะที่ท้องฟ้ามืดลง,กิจการของศาลาหลับไหลกลายเป็นรุ่งเรือง เมื่อเซี่ยวเฉินเข้าไปในข้างใน,ที่ชั้นหนึ่ง แน่นขนัดเขามองไม่เห็นที่ว่างแม้แต่เก้าอี้เดียว
เซี่ยวเฉินเดินตรงไปที่ชั้นสอง ที่ชั้นสองเต็มไปด้วยนักบ่มเพาะพลังพวกเขาต่างถกเถียงกันถึงเรื่องที่ผ่านมาในเดือนนี้
“มันก็ผ่านมามากกว่าหนึ่งเดือนแล้ว:เหล่าตระกูลชั้นสูง แทบจะพลิกป่าอํามหิต อย่างไรก็ตาม,พวกเขาก็ยังไม่พบตัวเซี่ยวเฉิน”
“ข้าก็มีชีวิตอยู่มานาน และนี้เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นใคร บางคนกล้าท้าทายตระกูลชั้นสูงมากมายต่อหน้าทุกคน แม้แต่มู่เฉิงเซาแห่งวังราตรีเหมันต์ยังไม่ประกาศตนใหญ่โตเหมือนกับเซียวเฉิน”
“ข้าไม่เข้าใจบางอย่างเซี่ยวเฉินไปท้าทายตระกูลชั้นสูงมากมายในเวลาเดียวกันเช่นนี้ได้อย่างไร?”
“ฮ่าฮ่า, เซี่ยวเฉันท้าทายสามตระกูลชั้นสูงไปตั้งแต่เรื่อง แผนที่ซากโบราณแล้ว ข้าได้ยินมาจากผู้ที่หนีออกมาจาก ซากโบราณว่าหลังจากที่พวกเขาเข้าไปในซากโบ ราณ, เซียวเฉินปล้นตระกูลชั้นสูงทั้งสี่ตระกูล,ไม่เว้นแม้แต่ ขุนนางกุยย”
“เช่นนั้นเจ้าหมอนี้ก็แบกสมบัติมหาศาลเดินไปเดินมา? หากข้าจับตัวเขาได้,ข้าก็รวยเละ?”
“ไม่จําเป็นต้องไปจับตัวเขาเตราบใดที่เจ้ามีข่าวคราวเกี่ยว กับเขาและนําไปรายงานให้เหล่าตระกูลชั้นสูงเจ้าจะได้รับถึงหนึ่งพันเหรียญทอง”
เซี่ยวเฉินกําลังเดินตรงไปที่ชั้นสาม เสียงพูดคุยของเหล่าผู้บ่มเพาะพลังบนชั้นสองเสียงดังเกินไปเสียงพูดคุยทั้งหมดลอยเข้าหูเซี่ยวเฉิน เขาตกตะลึง;เขาไม่คาดคิดว่าหลังจากผ่านไปนานมากแล้ว เขายังคงเป็นข่าวลือและหัวข้อพูดคุยจนถึงวันนี้
เซี่ยวเฉินแสดงบัตรผ่านพิเศษและเข้าไปที่ชั้นสาม ที่ชั้นสามนั้นเงียบลงมาเยอะผู้คนส่วนใหญ่ต่างต่อรองราคากันด้วยเสียงเบา เซี่ยวเฉินมองไปรอบๆและเห็นผู้คนมาก มายทําการซื้อขายของที่ได้รับมาจากซากโบราณ
แม้ว่าจะมีผู้บ่มเพาะพลังมากมายตกตายในซากโบราณก็มีผู้บ่มเพาะพลังที่มีโชคหรือแข็งแกร่งบางคนที่จัดการหาของกลับมาได้
“หือ!” เมื่อเซี่ยวเฉินกําลังจะนั่งลง,เขาเห็นผู้บ่มเพาะพลังผู้หนึ่งกําลังขายกระดิ่งทองแด งชิ้นเล็กและสวยงามประณีต กระดิ่งทองแดงชิ้นนั้นดูเก่าแก่น่าเสียดาย,พื้นผิวของมันได้รับความเสียหายหนัก
เซี่ยวเฉินขยายสัมผัสวิญญาณของเขาออกไปและสัมผัสกับกระดิ่งทองแดง ทันใดนั้น,เสียงแหลมสูง ดังขึ้นในหัวของเขาจิตใจของเขาสั่นสะเทือนเขา เกือบจะหมดสติไป เซียวเฉินตกตะลึงอย่างที่สุด และเขารีบถอนสัมผัสวิญญาณของเขากลับมา
“เฮ! ข้าเสี่ยงชีวิตและพบของชิ้นนี้อยู่ในโลงศพภายใน ซากโบราณ ข้าแน่ใจว่ามันคือสมบัติลับ เจ้าเสนอเพียงหนึ่งพันเหรียญเงิน? ช่างไร้สาระ!” เจ้าของกระดิ่งเงินคือระดับ
ขอบเขตปรบอารย์ผู้คนใบชดดลบสีเทา ในตอนนั้นแอบเขามีท่าทีเดือดดาล
แขนขวาของเขาหายไปตั้งแต่ข้อศอก หลังจากที่เขาได้ยินข้อเสนอจากอีกฝ่าย,สีหน้าของเขากลายเป็นซีดเทา,และท่าทีของเขากลายเป็นเกรี้ยวโกรธหลังจากเดิน ทางไปซากโบราณครั้งนี้,แขนของเขาถูกตัดตั้งแต่ข้อศอกลงไปและกลายเป็นคนพิการ เดิมที่เขาคิดว่าสามารถขายกระดิ่งทองแดงชิ้นนี้ได้ราคางามใครจะรู้ว่ามันจะได้ราคาเพียงหนึ่งพันเหรียญเงิน?
ที่นั่งตรงข้ามของปรมาจารย์ชุดเทาคนนั้นคือพ่อค้า ท่าที่ของพ่อค้าคนนั้นแสดงออกถึงหมดความอดทน เขาพูดขึ้น,อย่างอารมณ์เสีย “มันมีความแตกต่างระหว่างคุณภาพของสมบัติลับ กระดิ่งมองแดงของเจ้าเห็นชัดว่าฟังและไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป มันจะได้ราคาไปมากกว่านี้ได้เช่นไร?”
“หากไม่ใช่ว่ามันยังมีค่าสําหรับนักสะสม,ข้าจะไม่แม้แต่เสนอราคาถึงหนึ่งพันเหรียญเงิน หากเจ้ายินดีก็ขายอย่าได้ ทําข้าเสียเวลา”
“เจ้ามันโหดเหี้ยม!” นักบ่มเพาะพลังที่เสียแขนไปสีหน้ามืดมน หลังจากพูดจบ,เขาลุกขึ้นและเดินจากไป
พ่อค้าที่โต๊ะหัวเราะอย่างเย็นชา “ตลก! มันเป็นเพียงแค่เศษเหล็ก,และเจ้าทํากับมันราวกับเป็นสมบัติ”
ผู้คนโดยรอบทั้งหมดหันมามอง เมื่อผู้บ่มเพาะพลังผู้นั้นได้ยินเช่นนั้น เขาอับอายอย่างแรง เขากลายเป็นขายขี้หน้าสุดขีดและเร่งฝีเท้าขึ้น
เซี่ยวเฉันเดินเข้ามาและหยุดเขาเอาไว้ คนผู้นั้นจ้องมองเซี่ยวเฉินอย่างเดือดดาลและพูดขึ้น “เจ้าต้องการอะไร?”
“เจ้ายังขายกระดิ่งทองแดงในมือเจ้าอยู่ไหม? ข้าสนใจมัน” เซี่ยวเฉินยิ้มบางเบา
ผู้บ่มเพาะพลังคนนั้นยิ้มอย่างเย็นชา “เจ้าจะมาฉวยโอกาส? ข้าเสี่ยงชีวิตเพื่อให้ได้มันมา และเจ้ายังจะมาฉวยโอกาส? มันจะไม่มีทางเกิดขึ้น”
เซี่ยวเฉินยิ้มนุ่มนวลและไม่ได้พูดอะไร เขาใส่หินวิญญาณระดับต่ำไว้ในกระเป๋าของผู้บ่มเพาะพลังคนนั้น เมื่อผู้บ่มเพาะพลังคนนั้นใช้มือซ้ายล้วงเข้าไปในกระเป๋าของเขา เขาตกตะลึง
“นี่ของเจ้า,ขอบคุณมาก!” เขาส่งกระดิ่งทองแดงให้กับเซี่ยวเฉินและคํานับให้กับเขา ไม่มีการพูดอะไรอีก เขาออกจากศาลาหลับไหลไปในทันที
เซี่ยวเฉินมองดูจนเขาจากไป เขาถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ นั่นคือเส้นทางแห่งการบ่มเพาะพลัง เพื่อใช้ชีวิตอย่างรุ่งโรจน์ ผู้นั้นต้องประสบพบเจออันตรายมากกว่าที่คนธรรมดาจะพบเจอเป็นหมื่นเท่า อย่างไรก็ตามเมื่อพวกเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส, พวกเขาก็ทําได้เพียงกลับไปใช้ชีวิตดุจเช่นคนธรรมดา